Digital Asset คืออะไร

ทุกคนรู้จักการลงทุนในสินทรัพย์อย่าง หุ้น, อสังหาริมทรัพย์, ที่ดิน, หรือ กิจการแบบมีอาคารและหน้าร้านแล้ว แต่บทความนี้ไปรู้จักการลงทุนอีกโลกหนึ่ง เการลงทุนที่ใช้เงินสดเริ่มต้นเพียงหลักพัน ความเสี่ยงช่วงแรกเกือบจะเป็นศูนย์ แต่ให้ผลตอบแทนในระยะยาวหลักสิบล้านไปจนถึงร้อยล้านบาทได้เช่นกัน เป็นการลงทุนที่อยู่ในโลกออนไลน์ และนั่นคือการลงทุนสร้าง Digital Asset

Digital Asset คืออะไร

ก่อนจะลงรายละเอียด Digital Asset คืออะไร CEOblog ขอพาไปดูตัวอย่างส่วนหนึ่งเพื่อให้เห็นภาพคร่าว ๆ ก่อนไปต่อ

ตัวอย่างแรก คือ เว็บไซต์ Pantip.com

แทบทุกคนรู้จัก Pantip ว่าเป็นหนึ่งในเว็บไซต์เก่าแก่ของบ้านเรา ชื่อของ พันทิป นั้นมาจากคำว่า จำนวนเลขหลักพัน และ ทิป ที่แปลว่าเคล็ดลับและคำแนะนำ รวมเป็น พันทิป ก่อตั้งปี 1996 โดย คุณวันฉัตร ผดุงรัตน์ โดยช่วงแรกไม่ได้มีหน้าตาแบบวันนี้

เดิมที Pantip เป็นเว็บข้อมูลข่าวสารด้านไอที ก่อนที่จะกลายมาเป็นเว็บไซต์ประเภทเว็บบอร์ดในหลากหลายหัวข้อสนทนา Digital Asset ของ Pantip เริ่มตั้งแต่ Domain Name หรือ ชื่อโดเมนเนม ซึ่งมี 2 พยางค์จำง่ายเขียนง่าย และเป็นนามสกุล dot-com ถือเป็นชื่อโดเมนที่หายากและมีราคาแพงในปัจจุบัน

Pantip มีฐานผู้ใช้งานในระบบหลายล้านคน มีบทความจำนวนมหาศาล และหลายบทความของพันทิปติดอันดับต้น ๆ ในหน้าแรกของ Google search engine ปริมาณผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์พันทิประหว่าง ต้น มกราคม ถึง ปลาย กุมภาพันธ์ ปี 2019 อยู่ที่ประมาณ 110 – 115 ล้าน visitors โดย 74% มาจากคนค้นหาผ่านทาง Google

องค์ประกอบเหล่านี้ส่งผลให้เว็บไซต์ Pantip มีรายได้หลักร้อยล้านบาทต่อปี โดยที่มีการเผยแพร่ล่าสุดคือปี 2016 รายได้ 115 ล้านบาท [Source : ลงทุนแมน] รายได้หลักมาจากค่าโฆษณา อาทิ แบนเนอร์ และ Advertorial 

ตัวอย่างที่สอง คือ เว็บไซต์ ThinkofLiving.com

เว็บไซต์ข่าวสารและการรีวิวอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังของไทย เป็นเว็บที่มีเนื้อหารีวิวสุดละเอียด น่าเชื่อถือ และบทความมักติดอันดับต้น ๆ ของ Google search engine

Think of Living มีปริมาณทราฟฟิกประมาณ 3 – 4 แสน Visitors ต่อเดือน ไม่สูงเหมือนพันทิป แต่นั่นเป็นเพราะแนวทางของเว็บไซต์ที่มีความนิช โฟกัสเรื่องอสังหาริมทรัพย์เพียงอย่างเดียว แล้วทำเว็บไซต์แนวนี้ให้สุดทางไปเลย ส่งผลให้นายทุนอย่าง iProperty Group จากมาเลเซีย เข้าซื้อกิจการและเว็บไซต์ Think of Living ในปี 2013 ด้วยเงินและหุ้นมูลค่ารวมกันโดยประมาณ 200 ล้านบาทไทย [Source : Blognone]

ส่วนตัวอย่างในต่างประเทศ ได้แก่ เว็บไซต์ข่าวการเมือง HuffPost.com

เว็บข่าวรอบโลกก่อตั้งในปี 2005 มีผู้ร่วมก่อตั้งหลายคน แต่คนที่เป็นกัปตันทีมและออกสื่อบ่อยที่สุดคือ Arianna Huffington ซึ่งเธอทำธุรกิจเว็บข่าวมาก่อน โดยเน้นหนักไปทางข่าวการเมือง ทำให้ช่วงแรกของ HuffPost เป็นข่าวการเมืองก่อนขยายไปสู่สารพัดข่าวรอบโลก ถ้าเปรียบก็จะคล้าย ๆ กับเว็บไซต์ The Standard ในบ้านเรา

HuffPost มีผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์เฉลี่ย 50 – 150 ล้าน Visitors ต่อเดือน และกว่า 43% มาจาก Search engine อีก 40% เศษเป็นการเยี่ยมชมแบบ Direct traffic หรือ การที่คนพิมพ์ชื่อเว็บไซต์ตรง ๆ ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วน Direct traffic สูงมาก

เว็บไซต์ Income Diary เคยคาดคะเนรายได้จากค่าโฆษณาของ HuffPost ในปี 2017 ว่าน่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 2 – 2.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว ๆ 60 กว่าล้านบาทต่อเดือน แต่ด้วยความที่เว็บไซต์เขาใหญ่มาก เราจึงไม่รู้จริง ๆ ว่าเขามีโมเดลอื่นแทรกอยู่ด้วยหรือไม่ 

การเติบโตของเว็บไซต์ HuffPost ส่งผลให้ธุรกิจสื่อยักษ์ใหญ่อย่าง AOL เข้าสื่อกิจการไปในปี ค.ศ. 2011 ด้วยมูลค่า 315 ล้านเหรียญสหรัฐ และเหตุการที่คล้ายกันเกิดขึ้นกับเว็บข่าวเทคโนโลยีนามว่า Mashable ก่อตั้งในปี 2005 โดย Peter Cashmore และถูกซื้อโดยบริษัท Ziff Davis ในปี 2017 ด้วยมูลค่าประมาณใกล้ ๆ 50 ล้านเหรียญสหรัฐ [Source : CEOblog / ประวัติ Peter Cashmore แห่ง Mashable]

ทั้ง 2 เว็บไซต์นี้เป็นเว็บข่าวที่มี เนื้อหา (Content) และ ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ (Web Traffic) จำนวนมหาศาล มีรายได้จากค่าโฆษณา และมีมูลค่าเว็บไซต์คิดเป็นเงินไทยในระดับ พันล้านบาท และนี่คือตัวอย่างเบื้องต้นของสิ่งที่เรียกว่า Digital Asset

นอกจากนั้น หากคุณลองเข้า Google และพิมพ์คำว่า ‘โดเมนเนมแพงสุดราคาเท่าไร’ คุณจะพบกับรายชื่อโดเมนเนมที่ถูกซื้อไปในราคาคิดเป็นเงินไทยเริ่มต้นที่ราว ๆ 40 ล้านบาท ไปจนถึง 400 ล้านบาท และย้ำว่าเป็นราคา โดเมนเนม เปล่า ๆ ยังไม่มีเว็บไซต์โครง และไม่มีเนื้อหา

10 อันดับเว็บไซต์ Digital Asset ทำเงินเดือนละหลักหลายล้านบาท ปี 2017

Source : https://www.incomediary.com/top-earning-blogs

สรุป Digital Asset คืออะไร

Digital Asset คือ สินทรัพย์ดิจิตัล ที่สามารถสร้างรายได้และมีโอกาสมูลค่าเพิ่มขึ้นในระยะยาว Digital Asset พื้นฐานที่สุด ได้แก่ โดเมนเนม, เว็บไซต์, ซอฟต์แวร์, หรือ แอปพลิเคชั่น, และ ดาต้า อาทิ Facebook Tracking Pixel เป็นต้น รวมไปถึง ยูเซอร์ในระบบเว็บไซต์ อาทิ Email list, Chatbot Subscribers, Website Membership subscribers

ปัจจัยอะไรที่ทำให้ Digital Asset อย่างเว็บไซต์มีมูลค่าสูง

1. Domain Name

คุณสมบัติของ โดเมนเนม ที่มีโอกาสสร้างมูลค่าเพิ่มในอนาคต ได้แก่ สั้น จำง่าย มีระหว่าง 1 – 3 พยางค์ เช่น ebay, amazon, facebook, google, pantip, sanook, kapook และสกุลลงท้ายด้วย dot-com เหล่านี้คือคุณสมบัติของโดเมนที่มีราคา ซึ่งปัจจุบันโดเมนที่เข้าข่ายนี้หายากเต็มทน เพราะถูกนักล่าโดเมนสอยไปเก็บไว้ทำกำไรกันมากแล้ว

2. Website Content

ถ้าคุณไม่ได้เป็นเจ้าของ ‘โดเมนเนมสวยสั้นจำง่าย ลงท้ายด้วยดอทคอม’ ก็ไม่ต้องกังวล เพราะ CEOblog ก็มีถึง 4 พยางค์ และ ไม่ได้ลงท้ายด้วยดอมคอม แต่มันก็สามารถสร้างรายได้เช่นกัน เพราะสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าและยังเป็นหลักประกันว่าเว็บไซต์ของคุณจะมีทั้ง รายได้ และ มูลค่าเพิ่ม คือ Website Content หรือ เนื้อหา ที่อยู่ข้างใน

เนื้อหา คือ สิ่งสำคัญที่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณติด Google Search Engine, ทำให้คนค้นหาคุณเจอบน Google ทำให้คนแชร์บทความของคุณบน Social Media และเป็นเหตุผลที่คนติดตามอ่านเว็บไซต์ของคุณเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

ที่ใดมีคน ที่นั่นมีเงิน — เมื่อเว็บไซต์ของคุณมี Traffic จำนวนมาก คุณจะมีช่องทางในการ Monetize หรือ ทำเงินจาก Traffic เหล่านั้นโดยปริยาย

3. User

Website traffic ก่อให้เกิดรายได้ และ User หรือ ฐานข้อมูลผู้ใช้งานในระบบ ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มของเว็บไซต์

คนที่ติดตามข่าววงการ Startup ต้องเคยได้ยินข่าวธุรกิจสตาร์ทอัพหลายรายทั้งในไทยและต่างประเทศที่มีมูลค่ากิจการเป็นร้อยและเป็นพันล้านบาท จากการมีนักลงทุนยินดีให้ลงทุนจำนวนเงินมหาศาลถึงแม้ว่าธุรกิจเหล่านั้นอาจจะยังไม่ทำกำไร

ทำไมธุรกิจเหล่านั้นจึงมีมูลค่ามาก? — เพราะเขามี User ฐานข้อมูลผู้ใช้งานในระบบดาต้าเบสจำนวนมาก ข้อมูลเหล่านี้เป็น Digital Asset ชนิดหนึ่ง และมีค่าราวกับ ทองคำแห่งโลกดิจิตัล เพราะ คนที่ถือครองข้อมูลนี้ สามารถนำไปใช้พัฒนาและออกแบบ ผลิตภัณฑ์ แผนการตลาด ลักษณะข้อความที่จะใช้สื่อสาร และยังสามารถนำไปทำ Direct selling, Re-targeting และ Re-marketing เพื่อเสนอขายสินค้าไปหาพวกเขาโดยตรงได้อีกด้วย

กรณีของ เว็บไซต์ หรือ Blog ก็สามารถสร้างและสะสมฐานข้อมูลลักษณะนี้ได้เช่นกัน กิจกรรมในการสร้างฐานข้อมูล User ในเว็บไซต์เรียกว่า List building

4. Revenue

Revenue หรือ รายได้ นั้นจัดอยู่ในอันดับสุดท้าย — คุณอาจจะแปลกใจใช่ไหมว่า รายได้ สำคัญที่สุด แต่ทำไมอยู่อันดับท้ายสุด นั่นก็เพราะว่า รายได้จะเกิดขึ้นโดยปริยาย ไม่ว่าคุณจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ขอเพียงคุณทำข้อ 2) สร้าง Website content เพื่อดึงทราฟฟิกเข้ามา และ 3) เปลี่ยนทราฟฟิกให้กลายไปเป็น User

หากคุณทำสำเร็จไม่ว่าจะอย่างใดก็อย่างหนึ่ง หรือทั้งสองอย่างนี้ คุณจะไม่มีทางหนีการมีรายได้พ้น เพราะเงินจะวิ่งเข้ามาหาคุณโดยปริยาย

อ่านบทวิเคราะห์เจาะลึก 7 เว็บไซต์ Digital Asset ตัวท็อปของโลก ที่นี่