Pete Cashmore แห่ง Mashable.com : Blog ข่าวไอทีมูลค่าพันล้าน

Pete Cashmore ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ข่าว Mashable.com มีทรัพย์สุทธิประมาณ 95 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 3,325 ล้านบาท+/- จากการรายงานของ Sunday Times UK Rich List ปี ค.ศ. 2012

และในปีเดียวกัน Mr. Felix Salmon นักข่าวการเงินแห่ง Reuters ได้รายงานอย่างไม่เป็นทางการว่า CNN เสนอขอซื้อเว็บไซต์ Mashable ในราคา 200 ล้านเหรียญฯ (Source: TheNextWeb.com) แต่ดีลที่แท้จริงเกิดขึ้นในปี 2017, Pete Cashmore ผู้ก่อตั้ง Mashable ขายเว็บไซต์ให้ Ziff Davis ในราคาประมาณ 50 ล้านเหรียญฯ หรือราว ๆ 1400 – 1600 ล้านบาทไทย (Source: Techcrunch.com)

Mashable.com คืออะไร

Mashable.com มีจุดเริ่มต้นจาก บล็อก เล็ก ๆ ที่เน้นการเขียนข่าวอัพเดทเทคโนโลยี อาทิ Gadgets, Software, Application, Digital marketing เป็นต้น ก่อนที่จะได้รับความนิยมจากผู้อ่านและพัฒนาเป็นเว็บไซต์ข่าวขนาดใหญ่ที่มีคนเข้าออกสูงถึงเดือนละกว่า 30 ล้าน Visits ในปี 2018

รายได้ของเว็บไซต์ (บล็อก) ได้แก่ ค่าโฆษณาและค่าลงประกาศต่าง ๆ อาทิ Google AdSense, Banner Ads, Sponsored Articles, Event Listing, Job Listing ฯลฯ โดยค่าพื้นที่ลง Banner Ads ราคาเริ่มต้นประมาณ 2,000 เหรียญต่อสัปดาห์เลยทีเดียว

ด้วยปริมาณผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ในปี 2015 สูงถึง 10 ล้าน – 16 ล้าน Visits ต่อเดือน ทำให้นักวิเคราะห์คาดการณ์รายได้จากค่าโฆษณาของ Mashable อาจสูงกว่า 4 แสนเหรียญสหรัฐฯ ต่อเดือน หรือกว่า 14 ล้านบาท +/-

จุดเริ่มต้นของ Mashable

Pete Cashmore เป็นชาวสก็อตแลนด์ ก่อตั้ง Mashable ในปี 2005 ตอนอายุ 19 ปี เขาหลงใหลการติดตามกระแสเทคโนโลยี, และธุรกิจไฮเทค, และเขารักการเขียนเรื่องราวที่เขาสนใจ จึงเลือกที่จะเขียนลงในบล็อก โดยตอนนั้นเขายังไม่มีแนวทางที่ชัดเจนของบล็อกเสียทีเดียวเขาจึงไม่อยากตั้งชื่ออะไรที่เป็นการผูกมัดตัวเองจนเกินไป เขาจึงตั้งชื่อเว็บไซต์กว้าง ๆ ว่า Mashable

นอนวันละ 4 ชั่วโมง

เขาทุ่มเทให้กับการสร้างเว็บไซต์เป็นอย่างมาก ใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนกับการเขียนบทความ และนอนพักเพียงวันละ 4 ชั่วโมงในช่วงเริ่มต้น เขาพบว่าผู้เข้าเยี่ยมชมส่วนใหญ่มาจากทางอเมริกา โดยตัวเขาเองตอนนั้นอาศัยอยู่ในฝั่งยุโรป เขาจึงพยายามปรับเปลี่ยนการโพสต์บทความให้ตรงกับช่วงเวลาที่คนอเมริกันจะอ่านบทความของเขาได้อย่างสดๆร้อนๆ — เรียกได้ว่าแทบจะหมกตัวอยู่กับการการทำเว็บไซต์โดยที่แม้แต่พ่อแม่ก็ไม่รู้ว่าวัน ๆ ลูกของเขาทำอะไรอยู่ในห้องเงียบ ๆ

ทำบล็อก 18 เดือน สู่รายได้ก้อนแรก

Pete Cashmore เขียนบทความด้วย Passion ทำให้เนื้อหาของเขามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีสำนวนและสไตล์ในแบบของเขาเองหรือจะเรียกว่านี่คือ Unique content สไตล์เหล่านี้ทำให้เนื้อหาถูกจริตผู้อ่านเฉพาะกลุ่ม ดึงดูดคนคอเดียวกันเข้าเว็บมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งย่างเข้าเดือนที่ 18 เขาได้รับการติดต่อจากบริษัทที่ทำธุรกิจด้านโปรแกรม Chat ออนไลน์เพื่อขอลงโฆษณา ในที่สุดตกลวราคาค่าเช่าเดือนละ $3,000 ซึ่ง ณ ตอนนั้น Mashable มีผู้เยี่ยมชมเว็บสูงถึงเดือนละ 2 ล้าน Unique visitors

เดินทางสู่อเมริกาเพื่อขยับขยาย

Mashable เติบโตขึ้นเรื่อยๆ และมีรายได้จากค่าโฆษณาอย่างต่อเนื่อง, ในปี 2008 Pete Cashmore จึงตัดสินใจย้ายไปอเมริกาเพื่อพัฒนาเว็บไซต์ให้เป็นธุรกิจอย่างจริงจัง เปิดเป็นบริษัท และจ้างทีมงานผลิตเนื้อหาเพื่อผลักดันบทความให้มีหลากหลายและมีจำนวนมากขึ้น

จากทีมงานหลักสิบเติบโตสู่หลักร้อย และจากบล็อกข่าวเทคโนโลยีสู่บล็อกข่าวธุรกิจและไลฟ์สไตล์ ปัจจุบัน Mashable แตกกลุ่มเนื้อหาออกเป็น Social media, Tech, Business, Entertainment, US& World, Life Style ฯลฯ

ขาย Mashable ในราคา 50 ล้านเหรียญฯ

แม้จะมีข่าวออกมาเป็นระยะ ๆ เกี่ยวกับการขายกิจการ Mashable ให้แก่ผู้สนใจซึ่งไปถึงบริษัทสื่อยักษ์ใหญ่อย่าง CNN แต่ในที่สุดผู้ซื้อกิจการอย่างเป็นทางการ คือ Ziff Davis บริษัทสื่อด้าน เทคโนโลยี เกม และสุขภาพ ที่ซื้อ Mashable ไปในราคา 50 ล้านเหรียญฯ หรือประมาณ 1400 – 1600 ล้านบาท +/- เมื่อปลายปี 2017

ณ ปีที่เข้าสื่อกิจการ — Mashable มีรายได้ 42 ล้านเหรียญฯ โตขึ้นถึง 36% จากปีก่อน แต่ขาดทุนสุทธิอยู่ประมาณ 10 ล้านเหรียญฯ ซึ่ง Ziff Davis มองเห็นโอกาสและศักยภาพของ Mashable จึงเข้าซื้อในราคาสุดคุ้ม เพราะมูลค่าประเมินที่ตลาดให้แก่เว็บไซต์/กิจการ อยู่ที่ 250 ล้านเหรียญฯ

Ziff Davis เป็นธุรกิจสื่อที่มีสื่อดัง ๆ ในมือ ซึ่งบางสื่อคนไทยก็รู้จักดี อาทิ IGN, PCMag, AskMen, Speedtest, ExtremeTech, and Everyday Health — การเข้าซื้อ Mashable จึงเป็นการขยายกำลังสื่อของ Ziff Davis ต่อไป

อะไรที่ทำให้ Mashable ประสบความสำเร็จ

เว็บไซต์ข่าวเทคโนโลยีเป็น Niche ที่มีความต้องการของตลาด แต่ส่วนน้อยจะประสบความสำเร็จอย่างสูง ดังนั้นที่มาที่ไปของผลลัพธ์ของเว็บไซต์ Mashable เป็นสิ่งที่น่าเรียนรู้อย่างยิ่ง

Mindset ของ Pete Cashmore ในการทำ Mashable คือ:

ต้องการสร้างเว็บไซต์ที่ประกาศข่าวเทคโนโลยีที่เร็วและมีประโยชน์
+
โดยเชื่อว่าเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็ว มีการพัฒนาตลอดเวลา
+
คนที่ไม่รู้การเปลี่ยนแปลงจะเสียโอกาสในการใช้เทคโนโลยีอย่างเต็มประสิทธิภาพ

=

ดังนั้น… จงมาอ่านที่ Mashable!

และกลายเป็น Tag line ประจำเว็บไซต์ของเขาว่า…

Leading source for news, information & resources for the CONNECTED GENERATION.

Pete Cashmore ยกตัวอย่าง Twitter ว่าในวันที่เปิดตัว มีคนจำนวนมากไม่รู้ว่าเจ้าเครื่องมือนี้มีประโยชน์อย่างไร ทำไมต้องพิมพ์ข้อความได้เพียง 160 ตัวอักษร ฯลฯ — Mashable จึงทำหน้าที่รายงานข่าวและให้ข้อมูลวิธีใช้งาน Twitter เพื่อให้คนทันข่าวและเข้าใจเทคโนโลยี แอพพลิเคชั่น และซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นบนโลก และให้ผู้คนเหล่านั้นสามารถนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องและเกิดประโยชน์

เขาใส่ใจรายละเอียดของบทความไล่ตั้งแต่ ชื่อ, รูปภาพประกอบ (Feature image), ความสัมพันธ์ของเนื้อหาภายในต่อชื่อบทความ, และต่อรูปภาพประกอบ การส่งต่อผู้อ่านไปยังเนื้อหาที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกเว็บไซต์ การหาคำกระตุ้นให้คนมีส่วนร่วมกับบทความ เช่น Comment และ Share ทำให้ Mashable กลายเป็นชุมชนย่อยๆ บนโลกออนไลน์ที่มีผู้คนร่วมกันแชร์บทความไม่ต่ำกว่า 2.5 ล้าน Shares ต่อเดือน (ณ ปี 2016)

รวมรวมข้อคิด Pete Cashmore จากสื่อต่าง ๆ

“Put a face to your product or company. Make yourself known to give a more personal impression to everyone…”

แสดงตัวตนของคุณลงไปในสินค้าหรือบริษัท ทำให้ตัวตนของคุณป็นที่รับรู้เพื่อที่จะเข้าถึงใจผู้คนได้มากขึ้น

“Loyalty is incredibly important. There’s a base of stability in [our] organization that [feels] like we can weather anything because we have these relationships with key people and they’re going to be with us whatever we do…”

ความจงรักภักดีเป็นสิ่งสำคัญมาก เป็นรากฐานความมั่นคงขององค์กรและเราสามารถจะก้าวไปข้างหน้าได้เพราะความสัมพันธ์อันดีทำให้ผู้คนพร้อมจะสนับสนุนเราไปตลอดไม่ว่าจะทำอะไร

“Failure has to be built into your business model. You only need more than a 50 per cent hit rate to be successful. It’s the mistakes that will teach you the way…”

อันที่จริงความล้มเหลวมีประโยชน์ต่อการทำธุรกิจ คุณทำถูกแค่ 50% ก็สามารถประสบผลได้แล้ว ความผิดพลาดต่างๆจะเป็นตัวสอนและชี้แนวทางที่ถูกต้องให้คุณ

ส่งท้าย โฟกัสที่ผู้อ่านให้มากกว่าเรื่องเงิน (แม้เงินจะสำคัญมาก)

Pete Cashmore บอกว่าการเริ่มต้นทำ บล็อก (เว็บไซต์) และเขียนบทความเพื่อหวังจะทำเงินล้านในข้ามคืนเป็นเรื่องตลก ไม่ได้แปลว่าเงินไม่สำคัญ แต่หากคุณเอาเรื่องเงินขึ้นนำจนละเลยที่จะลงมือทำงานที่มีคุณภาพและสร้างคุณค่าออกไปก่อน คุณจะท้อ เหนื่อย และเลิกราไปเสียก่อน

การพัฒนา บล็อก หรือ เว็บไซต์ และการสร้างเนื้อหาดี ๆ ให้แก่ผู้อ่าน ถือเป็นการสร้าง สินทรัพย์ ชนิดหนึ่ง นการทำ บล็อก คือการสร้าง สินทรัพย์บนโลกออนไลน์ ที่อาศัยเวลาและความอดทนอย่างต่อเนื่อง คุณอาจจะยังมองไม่เห็นรายได้เป็นเวลาหลายเดือน แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งคุณจะเริ่มสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตจากเว็บไซต์ของคุณได้ และพูดได้เต็มปากว่ามันจะกลายเป็นเครื่องจักรผลิตเงินให้คุณไม่รู้จบ