ส่อง 7 เว็บไซต์ ไม่มีสินค้ามีแต่บทความ ก็ทำเงินเป็นล้าน

News Site หรือ เว็บข่าว เป็นหนึ่งในโมเดลสร้างรายได้ออนไลน์ที่น่าทึ่ง เพราะคุณไม่ต้องมีสินค้าที่เป็น Physical products ผลิตภัณฑ์ทำเงินบนเว็บข่าวส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบ Intangible products ไม่ต้องสต็อก ไม่ต้องแพ็ก ไม่ต้องส่งของ และในระยะยาว เว็บข่าว มีโอกาสสร้างรายได้แบบ Passive income และอาจขายได้ในราคาหลายล้านบ้านประดุจเป็น อสังหาริมทรัพย์ในเวอร์ชั่นออนไลน์

Pete Cashmore เจ้าของเว็บไซต์ Mashbale.com ขายเว็บไซต์ไปในราคา 50 ล้านเหรียญ

ทำไมเว็บข่าวจึงเป็นธุรกิจที่น่าทำในวันนี้?

สื่อโฆษณาออนไลน์กำลังแซงหน้าสื่อเจ้าตลาดอย่างสื่อโฆษณาโทรทัศน์…

Source: https://www.recode.net/2017/12/4/16733460/2017-digital-ad-spend-advertising-beat-tv

สถิตินี้จัดทำโดยบริษัทวิจัยตลาด Magna Global กราฟแสดงเม็ดเงินที่สะพัดในวงการสื่อโฆษณาทั้วโลกในปี 2017 และกราฟสีแดงคือเม็ดเงินในการซื้อสื่อโฆษณาออนไลน์ที่จู่ ๆ ก็เติบโตแบบพุ่งทะยานแซงสื่อโทรทัศน์ภายในปีเดียว

แบรนด์และนักธุรกิจใช้จ่ายเงินให้กับโฆษณาโทรทัศน์ 178,000 ล้านเหรียญ คิดเป็นสัดส่วน 35% ในขณะที่โฆษณาออนไลน์ 208,000 ล้านกว่าเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 41% ของตลาดโฆษณา ตัวเลขนี้จะยังคงโตต่อไป โดยเว็บไซต์วิจัยและจัดทำสถิตินามว่า Statista คาดการณ์ว่าตัวเลขจะพุ่งขึ้นไปที่ 335,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และครองตลาดโฆษณามากกว่า 50% ภายในปี 2020

สำหรับเม็ดเงินโฆษณาในประเทศไทย ทางสมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) สรุปออกมาพบว่าสื่อออนไลน์ 11,152 ล้านบาท [อัพเดท] 12,402 ล้านบาท โต 31% จากปีที่แล้ว คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของมูลค่าตลาดโฆษณาทั้งหมด และคาดการณ์ว่าปี 2018 จะมีมูลค่ารวมประมาณ 12,000 ล้านบาท [อัพเดท] 14,973 ล้านบาท (Ref เดิม: Brand Inside) (Ref ใหม่: Marketing Oops)

แนวโน้มความต้องการซื้อสื่อโฆษณาออนไลน์ในปัจจุบันและอนาคต ทำใครก็ตามที่เป็นเจ้าของเว็บข่าวที่มี Traffic เข้าเว็บไซต์จำนวนมาก และมีผู้ติดตามบน Social media จำนวนมากจะเป็นที่ต้องการของแบรนด์ต่าง ๆ เพราะพวกเขาต้องการซื้อพื้นที่สื่อเหล่านั้นเพื่อการประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการนั่นเอง

ที่สำคัญ! อุตสาหกรรมเว็บข่าวในประเทศไทยยังถือว่ามีคู่แข่งไม่มาก จึงเป็นโอกาสที่คุณเริ่มต้นได้ง่ายกว่าหากเริ่มตั้งแต่ตอนนี้

ส่อง 7 เว็บไซต์สุดยอดแรงบันดาลใจสำหรับคนอยากทำเว็บข่าว

CEOblog จะพาคุณไปเจาะลึก 7 เว็บข่าวที่ประสบความสำเร็จอันดับต้น ๆ ของโลกว่าเขาเป็นมาอย่างไร และทำเงินเท่าไรกันบ้าง

The Huffington Post

 

 

ผู้ (ร่วม) ก่อตั้งหลัก: Arianna Huffington
ปีที่ก่อตั้ง: 5 พฤษภาคม 2005

The Huffington Post เป็นข่าวที่มุ่งเน้นสังคมและการเมือง ร่วมก่อตั้งโดย Arianna Huffington, Andrew Breitbart, Kenneth Lerer, และ Jonah Peretti ในปี 2005 ภายหลังรีแบรนด์เป็น HuffPost ในปี 2017, โดยมี Arianna Huffington เป็นทั้งผู้ร่วมก่อตั้งและ Editor in Chief ให้แก่เว็บไซต์ โดยเธอมีประสบการณ์การทำเว็บข่าวมาก่อน

เธอเริ่มต้นก้าวแรกอย่างเป็นทางการในปี 1998 กับการเป็นเจ้าของสื่อออนไลน์นามว่า Resignation.com ที่พูดเรื่อง การเมืองของ Bill Clinton โดยเฉพาะ และ Ariannaonline.com ซึ่งปัจจุบัน Re-direct มายัง Huffpost ก่อนที่ AOL ได้เข้าซื้อเว็บไซต์ HuffPost ในปี 2011 ราคา 315 ล้านเหรียญ หรือประมาณกว่า 11,000 ล้านบาท นับเป็นหนึ่งในเว็บไซต์ที่มีมูลค่ามหาศาลเทียบเท่าโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่

ศักยภาพด้านเว็บทราฟฟิก

The Huffington Post มีผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์เฉลี่ยเดือนละ 100 – 130 ล้าน Visitors และกว่า 43% มาจาก Search engine อีก 40% เศษเป็นการเยี่ยมชมแบบ Direct traffic หรือเข้าไปยังเว็บไซต์โดยตรงซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วน Direct traffic สูงมาก แสดงถึงศักยภาพของแบรนด์อันแข็งแกร่ง ในขณะที่ Social traffic มีเพียง 5% เท่านั้น แม้ว่าจะมีผู้ติดตามบน Facebook และ Twiiter รวมกันสูงถึง 21 ล้านบัญชีก็ตาม

The Huffington Post มี Search keyword ที่นำคนเข้าเว็บไซต์มากเป็นอันดับต้น ๆ จากคีย์เวิร์ด ‘huffington post’ มีคนค้นหาคำนี้เฉลี่ย 2 – 2.2 ล้านครั้งต่อเดือน และส่งคนเข้าเว็บไซต์ 1 – 1.2 ล้านครั้งต่อเดือนจากคีย์เวิร์ด ซึ่งเป็นคีย์เวิร์ดหลัก

รองลงมาคือคำว่า ‘wells fargo’ เป็นชื่อบริษัทประกันที่มีจำนวนคนค้นหาสูงถึงกว่า 13 ล้านครั้งเดือน และนำคนเข้าเว็บไซต์ The Huffinton Post 278,000 ครั้งต่อเดือน (สถิตเดือน สิงหาคม 2018)

โมเดลรายได้

The Huffington Post มีโมเดลรายได้จากค่าโฆษณา หลัก ๆ ได้แก่ Pay-per-Click โดย Google AdSense และจากการจ้างวานโดยแบรนด์และเอเจนซี่ อาทิ Advertorial content, PR post เป็นต้น Income Diary คาดคะเนรายได้จากค่าโฆษณาของเว็บไซต์ในปี 2017 เฉลี่ย 2 – 2.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อ เดือน ในขณะที่ CEOblog คาดคะเนรายได้เฉพาะจาก Google AdSense ประมาณ 40 – 50% ของรายได้ทั้งหมด

หมายเหตุ: แนวคิดการคาดคะเนรายได้จาก Google AdSense

Web Traffic: 100 ล้านต่อเดือน
Click-Through-Rate: 1%
Pay-per-Click: $1
Click รวม 1 ล้านคลิ๊ก
รายได้ $ 1 ล้าน +/- 10% ต่อเดือน

* เป็นการคาดคะเนโดยอิงจากสถิติ ตัวเลข และความน่าจะเป็น ไม่ได้อิงจากรายงานอย่างเป็นทางการของเจ้าของเว็บไซต์

TechCrunch

 

 

ผู้ (ร่วม) ก่อตั้งหลัก: Michael Arrington และ Keith Teare
ปีที่ก่อตั้ง: 10 มิถุนายน 2005

TechCrunch เป็นเว็บข่าวด้าน เทคโนโลยี และ สตาร์ทอัพ ก่อตั้งในปี 2005 โดย Archimedes Ventures ซึ่งมี Michael Arrington และ Keith Teare เป็นเจ้าของบริษัทดังกล่าว ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนเป็นนักธุรกิจสตาร์ทอัพที่เคยมีประสบการณ์ก่อตั้งและกิจการมาแล้วหลายครั้งก่อนจะมาเริ่มทำเว็บข่าว Techcrunch ดังกล่าว

นอกจากนั้น TechCrunch ยังกลายเป็นแบรนด์ติดหูคนที่สามารถแตกไลน์ผลิตภัณ์ฑลูก ได้แก่ Crunch Fund กองทุนสตาร์ทอัพ และ CrunchPad อุปกรณ์แท็บเล็ต — ต่อมา AOL ได้เข้าซื้อกิจการและเว็บไซต์ TechCrunch ในปี 2010 ในราคา 25 ล้านเหรียญสหรัฐ

ศักยภาพด้านเว็บทราฟฟิก

TechCrunch มีผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์เฉลี่ยเดือนละ 20 – 30 ล้าน Visitors และกว่า 46% มาจาก Search engine อีก 30% เศษ ๆ มาจาก Direct traffic ในขณะที่ Social traffic มีเพียง 9 – 10% จากผู้ติดตามบน Facebook และ Twiiter รวมกันสูงถึง 12 ล้านบัญชี

TechCrunch มี Search keyword ที่นำคนเข้าเว็บไซต์มากเป็นอันดับต้น ๆ จากคีย์เวิร์ด ‘amazon’ มีคนค้นหาคำนี้เฉลี่ย 70 – 80 ล้านครั้งต่อเดือน และส่งคนเข้าเว็บไซต์ 2 ล้านครั้งจากคีย์เวิร์ดนี้เมื่อเดือน กันยายน 2018 ที่ผ่านมา

โมเดลรายได้

TechCrunch สร้างรายได้จาก Google AdSense, Advertorial Content, PR Content และการจัดการ Event ต่าง ๆ เว็บไซต์ Income Diary คาดคะเนรายได้ของเว็บไซต์ ณ ปี 2017 เฉลี่ย 800,000 เหรียญต่อเดือน

Mashable

 

 

ผู้ (ร่วม) ก่อตั้งหลัก: Pete Cashmore
ปีที่ก่อตั้ง: 19 กรกฏาคม 2005

เว็บข่าวธุรกิจ เทคโนโลยี และไอที โดย Peter Cashmore วัยรุ่นชาว Scotland ที่หลงใหลในข่าวสารด้านไอที เขาดรอปเรียนตอนอายุ 19 ปีเพื่อมาเขียนบทความลง Mashable ทั้งวันทั้งคืนโดยเขานอนเพียงวันละ 4 ชั่วโมงเท่านั้น

Pete Cashmore เขียนบทความลงเว็บข่าวด้วยตัวเองอยู่ 18 เดือน เขาก็มีรายได้ก้อนแรกจากค่าโฆษณา 3,000 เหรียญ และ 3 ปีต่อมาเขาย้ายไปเปิดสำนักงานอย่างจริงจังในสหรัฐอเมริกา ก่อนที่บริษัทสื่อรายใหญ่นามว่า Ziff Davis จะเข้าซื้อกิจการ Mashable ในราคา 50 ล้านเหรียญฯ ในปี 2017

ศักยภาพด้านเว็บทราฟฟิก

Mashable มีผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์เฉลี่ย 20 – 30 ล้าน Visitors ต่อเดือน มากกว่า 60% มาจาก Search engine อีก 20% เศษ ๆ มาจาก Direct traffic ในขณะที่ Social traffic 10 – 12% ของจำนวนทราฟฟิกทั้งหมด และจากฐานผู้ติดตามบน Facebook และ Twiiter รวมกันสูงถึง 17 ล้านบัญชี

Mashable มี Search keyword ที่นำคนเข้าเว็บไซต์มากเป็นอันดับต้น ๆ จากคีย์เวิร์ด ‘hotmail’ มีคนค้นหาคำนี้เฉลี่ย 15 – 17 ล้านครั้งต่อเดือน และส่งคนเข้าเว็บไซต์กว่า 1 ล้านครั้งจากคีย์เวิร์ดนี้ รองลงมาคือ ‘pornhub’ เว็บโป๊ที่หนุ่ม ๆ รู้จักกันดี มีคนค้นหาคำนี้เดือนละ 17 – 18 ล้านครั้ง เป็นผลพลอยได้ให้ทราฟฟิกเข้าเว็บไซต์ Mashable ถึง 2 – 3 ครั้งทุกเดือน!

โมเดลรายได้

Mashable สร้างรายได้จาก Google AdSense, Advertorial Content, และ PR Content เว็บไซต์ Income Diary คาดคะเนรายได้ของเว็บไซต์ ณ ปี 2017 เฉลี่ย 600,000 เหรียญต่อเดือน

Universe Today

 

 

ผู้ (ร่วม) ก่อตั้งหลัก: Fraser Cain
ปีที่ก่อตั้ง: 23 มีนาคม 1999

เว็บไซต์ Universe Today เป็นเว็บข่าวดาราศาสตร์และเทคโนโลยีอวกาศก่อตั้งโดย Fraser Cain ผู้มีความหลงใหลเรื่องดาราศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก ๆ พอโตขึ้นเขามีโอกาสได้ทำงานในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์และต่อมาได้ทำงานในแวดวงการพัฒนาเว็บไซต์ และเพื่อให้เข้าใจความต้องการของลูกค้า เขาจึงทดลองสร้างเว็บไซต์เอง โดยจับ Niche อวกาศที่เขาชื่นชอบและมีความถนัด หลังจากเปิดเว็บไซต์ Universe Today ในปี 1999 เขาจึงค้นพบว่าตัวของเขาต้องการที่จะลุยกับเส้นทางนี้

ในช่วงแรก Fraser Cain เขียนบทความเองทั้งหมด โดยตลอดระยะเวลา 19 ปี (1999 – 2018) เขาเขียนบทความมากกว่า 15,000 บทความ! ทั้งนี้ ในปัจจุบันเขามีทีมนักเขียนของตนเองกระจายอยู่ทั่วโลก และชื่อของ Fraser Cain ก็เป็นที่รู้จักอย่างดีในวงการนักเขียนหมวดดาราศาสตร์

ศักยภาพด้านเว็บทราฟฟิก

Universe Today มีผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์เฉลี่ย 1 – 1.5 ล้าน Visitors ต่อเดือน มากกว่า 60% มาจาก Search engine อีก 20% เศษ ๆ มาจาก Direct traffic ในขณะที่จาก Social traffic จำนวน 4 – 5% ของจำนวนทราฟฟิกทั้งหมด โดยฐานผู้ติดตามบน Facebook และ Twiiter รวมกัน 4 แสนบัญชี

Universe Today มี Search keyword ที่นำคนเข้าเว็บไซต์มากเป็นอันดับต้น ๆ จากคำว่า ‘Solar System’ มีคนค้นหาคำนี้เฉลี่ย 3 แสนครั้งต่อเดือน รองมาคือ ‘milankovitch cycles’ และ ‘what’s my zodiac sign’ จำนวนการค้นหา 20,000 ครั้ง และ 8,000 ครั้งต่อเดือนตามลำดับ

โมเดลรายได้

Universe Today มีรายได้จากการติดป้ายโฆษณา Google AdSense, การขายหนังสือชื่อ The Universe Today Ultimate Guide to Viewing The Cosmos และรายได้จากการเก็บค่าสมาชิกรายได้เพื่อเยี่ยมชมเว็บไซต์โดยไม่มีป้ายโฆษณารบกวนพร้อมโบนัสอื่น ๆ โดยมีอัตราค่าสมาชิกตั้งแต่ 3 เหรียญ ไปจนถึง 50 เหรียญต่อเดือน — จำนวนรายได้ต่อเดือนไม่เป็นที่เปิดเผย

Viral Nova

 

 

ผู้ (ร่วม) ก่อตั้งหลัก: Scott DeLong
ปีที่ก่อตั้ง: พฤษภาคม 2013

Viral Nova เป็นเว็บสารพัดข่าวเน้นการพาดหัวแบบ Click-Bait หรือ หัวข้อล่อให้คลิ๊ก อาทิ “แม่กลับบ้านดึกเปิดเข้าห้องนอนพ่อถึงกับอึ้งเมื่อเจอสิ่งนี้”, “เด็กชาย 5 ขวบเดินเข้าป่าเจอสิ่งนี้ถึงกับทึ่ง” ก่อตั้งโดย Scott DeLong ผู้มีประสบการณ์ในการพัฒนาเว็บข่าวและขายเว็บเพื่อทำกำไรจำนวนมาก และนำประสบการณ์มาสร้าง Viral Nova ในปี 2013

ภายใน 8 เดือน เว็บไซต์ Viral Nova เติบโตและสร้างรายได้จำนวนมากจากผู้อ่านมากกว่า 100 ล้านครั้งต่อเดือน ทราฟฟิกส่วนใหญ่มาจาก Facebook และด้วยความเป็นเว็บ Click bait ทำให้แพร่กระจายบนโซเชียลอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ Facebook จะปรับอัลกอริธึ่มส่งผลให้เว็บ Click bait ถูกลดการมองเห็นจาก Facebook ไปเกือบหมด และนั่นทำให้ Scott DeLong ถึงกับเซบนเส้นทางธุรกิจ ก่อนที่ในปี 2014 — Zealot Networks จะเข้ามาซื้อกิจการด้วยเงินสดและหุ้นรวมมูลค่า 100 ล้านเหรียญ และ Scott DeLong นั่งแท่นบริหารเว็บต่อไป ร่วมกับทีมงานอีกกว่า 22 ชีวิตจนถึงปัจจุบัน

ศักยภาพด้านเว็บทราฟฟิก

Viral Nova เคยมีทราฟฟิกมหาศาลเพราะการแชร์อย่างไวรัลบน Facebook ที่มีคนติดตามมากถึง 2.5 ล้านบัญชี แต่ปัจจุบันเหลือทราฟฟิกจากช่องทางหลักอย่าง Google รองลงมาคือ Direct จำนวนรวมกัน 600,000 – 700,000 Visitor ต่อเดือน โดยไม่มีคีย์เวิร์ดนำทราฟฟิกเข้าเว็บไซต์เด่น ๆ เนื่องจากเป็นเว็บสารพัดข่าวหัวข้อถูกออกแบบมาสำหรับ Social media

โมเดลรายได้

Viral Nova มีรายได้หลักจาก Google AdSense

CarAdvice.com.au

 

 

ผู้ (ร่วม) ก่อตั้งหลัก: Alborz Fallah
ปีที่ก่อตั้ง: 2006

Car Advice เป็นเว็บข่าวและเว็บรีวิวรถยนต์ ก่อตั้งโดย Alborz Fallah นักธุรกิจ Serial entrepreneur เขาซื้อโดเมนเนมมาในราคา 35 เหรียญ โดยเขาบอกว่าโชคดีมากที่โดเมนนี้ยังว่างอยู่ เป้าหมายของเขาคือการเป็นเว็บไซต์รีวิวรถยนต์อย่างตรงไปตรงมา

หลังจาก Car Advice ก่อตั้งได้ 18 เดือน ก็ยังถือว่าเป็นเว็บไซต์ที่ใหม่มากในวงการ Alborz Fallah จึงใช้วิธีเสนอผลิตวีดีโอรีวิวให้ซูเปอร์คาร์ Bugatti Veyron ราคา 1.5 ล้านเหรียญ และนำวีดีโอนั้นมาประชาสัมพันธ์บนเว็บไซต์ให้ค่ายรถฟรี ๆ ผลงานในครั้งนั้นสร้าง Credit ให้แก่ Car Advice และเริ่มดึงดูดสปอนเซอร์เข้ามาเรื่อย ๆ และเติบโตมาถึงปัจจุบัน

ศักยภาพด้านเว็บทราฟฟิก

Car Advice มีผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์เฉลี่ย 2 – 2.5 ล้าน Visitors ต่อเดือน โดยทราฟฟิก 50 – 60% มาจาก Search traffic และอีก 30% เศษ ๆ มาจาก Direct traffic ส่วน Sociall traffic มีเพียง 3% โดยมีผู้ติดตามบน Facebook 800,000 บัญชี++

Search keyword ที่นำคนเข้าเว็บไซต์ Car Advice มากเป็นอันดับต้น ๆ หากไม่นับคำว่า Car Advice ได้แก่ Hyundai, Subaru, Kia และ Honda

โมเดลรายได้

Car Advice มีรายได้จากโฆษณา Banners และ Advertorial รวมไปถึงรายได้จากการเป็น Affiliate partner ร่วมกับบริษัทสินเชื่อรถยนต์ และบริษัทขายรถยนต์ โดยมีรายงานว่าเว็บไซต์สร้างรายได้ 7 ล้านเหรียญในปี 2017

Search Engine Land

 

 

ผู้ (ร่วม) ก่อตั้งหลัก: Danny Sullivan
ปีที่ก่อตั้ง: 2006

Search Engine Land เป็นเว็บข่าวและความรู้ในแวดวงการตลาดออนไลน์และ Google Search Engine โดยก่อนก่อตั้ง Search Engine Land เขาเคยก่อตั้ง บริหาร และขายเว็บไซต์ Search Engine Watch เว็บไซต์เน้นความรู้การทำเว็บให้ติด Search engine โดย Matt Cutt ผู้บริหาร Google แนะนำให้เป็นเว็บไซต์ที่คนต้องการทำ SEO ต้องอ่าน

ศักยภาพด้านเว็บทราฟฟิก

Search Engine Land มีผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์เฉลี่ย 2 – 2.5 ล้าน Visitors ต่อเดือน โดยทราฟฟิกมากว่า 60% มาจาก Search traffic และอีก 20% เศษ ๆ มาจาก Direct traffic ส่วน Sociall traffic มีเพียง 3% โดยมีผู้ติดตามบน Facebook และ Twitter รวมกันประมาณ 620,000 บัญชี++

Search keyword ที่นำคนเข้าเว็บไซต์ Search Engine Land มากเป็นอันดับต้น ๆ ได้แก่ facebook search, search, what is the mountain of butterflies, และ bing images ตามลำดับ

โมเดลรายได้

Search Engine Land มีรายได้หลักจากการจัด Event หัวข้อการตลาด และโฆษณาแบบ Advertorial —ไม่มีรายงานรายได้ที่แน่ชัดของเว็บไซต์

แถม! 4 เว็บข่าวประสบความสำเร็จในไทย

ต่อไปนี้เป็น 4 เว็บข่าวที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในประเทศไทยโดยไม่นับเว็บเก่าแก่ขึ้นหิ้งอย่าง Sanook และ Kapook เว็บไซต์เหล่านี้มีรายได้จากค่าโฆษณา อาทิ Banners, Advertorial และ Google AdSense

Blognone

เว็บข่าวไอที เน้นรายงานข่าวสั้นทันเหตุการณ์ จำนวนคนเข้าเว็บ 3 – 4 ล้าน Visitor/ เดือน มาจาก Search traffic 30%++ จาก Direct 40%++ จาก Social 10 – 15% ผู้ติดตามบน Facebook จำนวน 135,000 กว่าบัญชี ภายหลัง Wongnai เข้าซื้อกิจการไปในปี 2017 ด้วยตัวเลขที่ยังไม่ได้รับการเปิดเผย

Think of Living

เว็บข่าวอสังหาริมทรัพย์ รีวิวบ้านและคอนโดแบบละเอียดยิบ จำนวนคนเข้าเว็บ 5 – 6 แสน Visitor/ เดือน มาจาก Search traffic สูงถึงกว่า 80%++ จาก Direct 14%++ จาก Social 3% ผู้ติดตามบน Facebook จำนวนกว่า 540,000 บัญชี ภายหลัง บริษัท iProperty Group จากมาเลเซีย เข้าซื้อกิจการไปในปี 2015 ด้วยเงินสดและหุ้นรวมมูลค่า (อย่างไม่เป็นทางการ) ประมาณ 200 ล้านบาท

The Standard

เว็บข่าวสังคม การเมือง และไลฟ์สไตล์ จำนวนคนเข้าเว็บมากกว่า 1 ล้าน Visitor/ เดือน มาจาก Search traffic กว่า 50%++ จาก Direct 11%++ จาก Social กว่า 30% ผู้ติดตามบน Facebook จำนวนกว่า 400,000 บัญชี

Mango Zero

เว็บข่าวบันเทิงและไลฟ์สไตล์ จำนวนคนเข้าเว็บมากกว่า 5 – 7 แสน Visitor/ เดือน มาจาก Search traffic สูงถึงกว่า 80%++ จาก Direct 6%++ จาก Social กว่า 10% ผู้ติดตามบน Facebook จำนวนกว่า 300,000 บัญชี