Matt Mullenweg CEO ของ WordPress ประกาศขายสำนักงาน เหตุพนักงานไม่เข้าออฟฟิศ

หากกล่าวถึง Matt Mullenweg อาจไม่ค่อยคุ้นชินกันมากนัก แต่ถ้าหากพูดถึง WordPress แล้ว ย่อมเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับเจ้าของไซต์ที่ใช้ Content Marketing และ Blog Marketing ในการทำการตลาด เนื่องจาก WordPress คือ Software ฟรีที่ใช้ในการสร้าง Blog ถือว่าเป็นหนึ่งใน CMS (Content Management System) หรือระบบการจัดการกับ Content ที่ดีที่สุดตัวหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้ และนอกจากนั้นยังเปิดให้พัฒนาและใช้งานได้ฟรีอีกด้วย

โดย Matt Mullenweg ในวัย 28 ปี มีทรัพย์มูลค่าอยู่ที่ 40 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว ๆ 1,400 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายได้เพียง 1% จากผู้ใช้งานทั้งหมดบน WordPress ซึ่ง WordPress เป็นเพียงหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่อยู่ภายใต้บริษัทที่ชื่อว่า Automattic แต่นั่นมันก็เพียงพอที่จะทำให้บริษัทนี้คงอยู่ได้

และเนื่องจาก WordPress เป็นซอร์ฟแวร์ที่เปิดให้ผู้ใช้งานทั่วโลกร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์กันแบบฟรี ๆ หรือที่เราเรียกกันว่า Open source software และ WordPress เองก็มีพนักงานหลายร้อยชีวิต จาก 20 กว่าประเทศทั่วโลก ซึ่ง Matt Mullenweg ไม่ได้ประสบปัญหาเกี่ยวกับการเงินแต่อย่างใด เพราะเขาได้ลงทุนในการสร้างออฟฟิศที่ทันสมัย หรูหรา และมีโซนไลฟ์สไตล์ที่พนักงานวัยรุ่นรุ่นใหม่ ๆ ต้องชอบอย่างแน่นอน โดยเขาลงทุนสร้างออฟฟิศของ WordPress มีขนาดเนื้อที่ใช้สอยถึง 15,000 ตารางฟุต แต่กลับมีพนักงานเข้ามาทำงานเพียง 5 คนเท่านั้น!

WordPress Office
Image Credit – http://ideasfordesign.org/2013/10/30/inside-automatticwordpress-san-francisco-offices/

เหตุเพราะ Matt Mullenweg มีนโยบายให้กับพนักงาน WordPress ว่า คุณสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ โดยทางบริษัทมีสวัสดิการเพิ่มเติมให้อีก 250 เหรียญสหรัฐฯ สำหรับใช้จ่ายในสถานที่ที่คุณอยากทำงาน ไม่ว่าจะเป็นชายหาด หรือร้านกาแฟ ทางบริษัทก็ยินดีจ่ายเงินส่วนนี้เพิ่มเติมให้ ขอเพียงงานเสร็จเป็นพอ

และนั่นก็เป็นเหตุทำให้ บริษัท Automattic ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ WordPress ประกาศขายออฟฟิศนั่นเอง

10 ข้อคิดที่ได้จาก Matt Mullenweg CEO ของ WordPress

Matt Mullenweg
Image Credit – https://www.prolificnorth.co.uk/wp-content/uploads/2014/11/matt-mullenweg.jpg

ข้อคิดที่ 1 จงมอบอิสระเสรีในการแสดงความคิดเห็น

ผมเชื่อว่าลึก ๆ แล้วทุกคนล้วนมีดีในตนเอง ถ้าเราเปิดโอกาสให้ผู้คนได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นแบบอิสระเสรี ผมเชื่อว่าในท้ายที่สุดแล้ว ความดีจะมากล้นจนชนะความชั่วร้ายได้ ดังนั้นในโลกออนไลน์มันเป็นพื้นที่เสรีสำหรับทุก ๆ คน

ข้อคิดที่ 2 จงสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับพนักงานตั้งแต่วันแรกที่ทำงาน

หากคุณกำลังเริ่มต้นที่จะสร้างบริษัทใหม่ หรือสร้างทีมใหม่ ขั้นแรกคุณต้องแน่ใจก่อนว่า คุณแฮปปี้ที่จะทำงานกับคน ๆ นั้นเสียก่อน แล้วจากนั้น จงสร้างประสบการณ์ที่ดีตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้นทำงานด้วยกัน เพราะคุณจะต้องทำงานร่วมกันไปอีกสักพักใหญ่ ๆ

ข้อคิดที่ 3 คนที่ประสบความสำเร็จมักเป็นผู้อ่านชั้นเลิศ

กล่าวคือคนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง มักจะเป็นคนที่หลงใหลในการอ่านหนังสือเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกัน คนที่อ่านหนังสือไม่ได้การันตีว่าจะประสบความสำเร็จเสมอไป

ข้อคิดที่ 4 ต้นทุนทางเวลาเป็นสิ่งที่มักถูกมองข้าม

หลาย ๆ องค์กรมักมองข้ามต้นทุนทางเวลา ซึ่งถือว่าเป็นต้นทุนแฝงที่มีราคาแพงมาก เพราะหากคุณลองสังเกตดี ๆ แล้วจะพบว่า เพียงแค่เช็ค E-mail ไม่กี่ครั้งต่อวัน ก็ทำให้สูญเสียเวลาในการทำงานไปไม่น้อย แต่หากคิดรวม ๆ กันแล้วทั้งเดือน ทั้งองค์กร ก็จะพบว่า ผู้คนสูญเสียเวลาไปอย่างมาก กับการเช็ค E-mail ซึ่งในหลาย ๆ ครั้ง Email เหล่านั้น ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์หรือทำให้รายได้ขององค์กรเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด

ข้อคิดที่ 5 เทคโนโลยีที่ดีสุดคือเทคโนโลยีที่สามารถเชื่อมต่อผู้คนเข้าหาถึงกันได้

เนื่องจาก Matt Mullenweg เป็นผู้พัฒนาซอร์ฟแวร์เกี่ยวกับ Blog ที่นำพาให้ Blogger ต่าง ๆ ทั่วโลก ได้เชื่อมต่อเข้าหากัน และมันก็ทำให้ WordPress กลายเป็นเครื่องมือที่เปลี่ยนโลกได้ด้วยการเชื่อมต่อผู้คนเข้าหากัน มันก่อให้เกิดความคิดเห็นใหม่ ๆ ก่อให้เกิดความรู้ใหม่ ๆ แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน และยังก่อให้เกิดธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างมากมายในการทำ Blog Marketing และ Content Marketing อีกด้วย

ข้อคิดที่ 6 ไอเดียย่อมเป็นไอเดียวันยังค่ำ

ผมมักจะพบว่า ผมไม่ค่อยมีไอเดียดี ๆ เด็ด ๆ เจ๋ง ๆ กับเขาสักเท่าไหร่นัก แต่ผมมักจะพบว่า เพียงแค่เป็นไอเดียเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วค่อย ๆ พัฒนามันให้เป็นจริงขึ้นมา เพียงแค่นั้น มันก็ดูเหมือนว่า ไอเดียเล็ก ๆ เหล่านั้น ก็สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ผ่านการลงมือทำอย่างจริงจัง

ข้อคิดที่ 7 คุณไม่มีทางรู้ได้หรอกว่ามันเป็นไอเดียที่เจ๋งหรือเจ๊ง

ไอเดียก็เปรียบเสมือนอากาศที่ลอยเคว้งคว้างไปมา คุณไม่ทางรู้ได้แน่ชัดหรอกว่า ไอเดียที่คุณคิดขึ้นมานั้น ผลลัพธ์มันจะเป็นอย่างไร ผู้คนจะตอบสนองดีหรือไม่ จนกว่าคุณจะนำไอเดียนั้น ทำให้มันเป็นรูปเป็นร่างแล้วเผยแพร่มันออกไปสู่สาธารณชน

ข้อคิดที่ 8 จงอย่าเขินอายที่จะเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมา

หากคุณยังไม่เคยอับอายหรือโดนล้อ โดนว่า โดนดูถูก ในผลงานที่คุณพึ่งสร้างเวอร์ชั่นแรกขึ้นมา นั่นแสดงว่า คุณยังไม่พร้อมที่จะทำงานหรือทำธุรกิจอะไรต่อไปทั้งสิ้น เพราะการล้มเหลวในครั้งแรก หรือการที่ผู้คนรอบ ๆ ตัวคุณนั้นไม่เห็นด้วยกับไอเดียหรือผลงานของคุณ มันเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก ๆ เพราะกว่าคุณจะได้ผลงานเวอร์ชั่นสมบูรณ์แบบ คุณก็ต้องเจอเหตุการณ์ทำนองนี้อีกนับไม่ถ้วน ดังนั้น จงเดินหน้าต่อไป อย่าได้สนใจกับคำถากถางระหว่างทาง

ข้อคิดที่ 9 ธุรกิจ Open Source มักนำไปสู่ไอเดียแปลกใหม่ให้ประหลาดใจอยู่เสมอ

ธุรกิจ Open Source คือธุรกิจส่วนใหญ่ที่เป็นซอร์ฟแวร์ ซึ่งเปิดให้ผู้ใช้งานทั่วโลกเข้ามาร่วมพัฒนาโปรแกรมและเขียนโค้ดภาษาคอมพิวเตอร์ ซึ่งแน่นอนว่า ความล้มเหลวที่คุณจะพบได้จากการทำซอร์แวร์แบบ Open Source เป็นเรื่องปกติมาก ๆ เพราะหากโปรแกรมเมอร์ทั่วโลกให้ความสนใจ มันจะก่อให้เกิดการทดลองใหม่ ๆ นับล้าน ๆ ครั้ง จนกระทั่งคุณอาจจะแปลกใจว่า ในประเทศเล็ก ๆ ที่มีประชากรไม่ถึงล้านคน อาจมีโปรแกรมเมอร์มือฉมัง ที่เขียนโปรแกรมได้ในระดับเทพ จนเกิดเทคโนโลยีใหม่ ๆ

ในทางกลับกัน หากเป็นบริษัทซอร์แวร์ทั่ว ๆ ไป ที่ไม่ได้เป็น Open Source ก็ต้องใช้เงินลงทุนในการพัฒนาซอร์แวร์หลายล้านดอลล่าร์ ซึ่งหลาย ๆ บริษัทอาจล้มเหลวได้เช่นกันแถมยังอาจไม่ได้อะไรใหม่ ๆ ขึ้นมาเลย แต่ในขณะที่ หากนำเงินหนึ่งล้านดอล่าร์ไปลงทุนกับซอร์ฟแวร์ Open Source มันน่าจะได้อะไรที่เจ๋งกว่านั้นอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

ข้อคิดที่ 10 ทางออกของบริษัทซอร์ฟแวร์ไม่ใช่เฉพาะคนในอออฟฟิศ

Matt Mullenweg เชื่อเสมอว่า ถ้าหากบริษัทของคุณเป็นบริษัทเกี่ยวกับซอร์ฟแวร์ และต้องการให้ซอร์ฟแวร์มันเติบโตจนถึงขีดสุด คนภายในองค์กรของคุณเพียงอย่างเดียวอาจเอาไม่อยู่ และผมเชื่อเสมอว่า คนภายนอกองค์กรหรือภายนอกออฟฟิศของเรา ยังมีคนเก่ง ๆ อีกมากมายที่จะช่วยให้บริษัทเติบโตมากยิ่งขึ้น ดังนั้น อย่าใช้กรอบที่องค์กรคุณกำหนดว่าต้องมาทำงานในออฟฟิศมาเป็นตัวปิดกั้นความเจริญก้าวหน้าของบริษัท

จงอย่าให้ออฟฟิศมาเป็นตัวปิดกั้นความเจริญก้าวหน้าของบริษัท