การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่มีสิ่งไหนจีรังยั่งยืน ทุกอย่างเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
แม้แต่ทฤษฎีบางอย่างก็ยังถูกลบล้างด้วยการค้นพบใหม่ ๆ แม้แต่ช่องทางที่คิดว่าสามารถทำเงินให้กับธุรกิจก็ยังซบเซา เครื่องมือบางอย่างสามารถทำยอดให้ขายให้ธุรกิจมากมาย กลับกลายเป็นช่องทางที่ต้องทบทวนกันอีกครั้ง ว่าเราจะทุ่มเทพลังและทรัพยากรทั้งหมดไปกับ 1 เครื่องมือ ที่มันไม่สามารถควบคุมได้หรือเปล่า?
ในกรณีนี้ ผมกำลังพูดถึง Facebook ที่ออกมาประกาศปรับ อัลกอริธึม (Algorithm) หรือค่าการแสดงข้อมูลบน News feed อย่างเป็นทางการ และกำลังเป็นข่าวดังไปทั่วโลกเมื่อปลายเดือน มิถุนายน 2016 ที่ผ่านมา
“เราสร้าง Facebook มาเพื่อเชื่อมต่อกับผู้คนบนโลกออนไลน์ เพื่อนและครอบครัว ฟีดข่าวที่เราส่งไปนั้นยังคงใช้หลักการนี้ ลำดับความสำคัญหลักของเราคือเชื่อมต่อกับผู้คน สถานที่ และสิ่งที่ผู้คนต้องการ เริ่มต้นจากเพื่อนในเฟซบุ๊ค”
(ประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อ 29 มิถุนายน 2016)
ผลกระทบจากการปรับ Facebook Algorithm
การประกาศการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ผมขอตั้งข้อสังเกตุดังนี้
Facebook ให้ความสำคัญกับ เพื่อนและครอบครัว มากกว่าสิ่งใด หากมีการโพสต์รูป วีดีโอ ข้อความ เช็คอิน แชร์ลิงก์ หรืออัพเดทสถานะอะไรก็ตามบน Timeline ของเพื่อน ฟีดข่าวนั้นจะถูกส่งมาแสดงบน News Feed ของคุณ เป็นอันดับแรกเสมอ ยิ่งเป็นเพื่อนที่คุณมีปฏิสัมพันธ์อยู่บ่อย ๆ และสม่ำเสมอ (กดไลค์ แชร์ คอมเม้น) Facebook จะให้ความสำคัญมากที่สุด และส่งฟีดข่าวนั้นมาให้แสดง
ฟีดข่าวอื่นที่ไม่ใช่เพื่อน และครอบครัว จะถูกลงความสำคัญลงทันที นั่นหมายถึง
- เพจธุรกิจ
- เพจข่าวสาร
- เพจขายของออนไลน์
- เพจอื่น ๆ
ถ้าจำไม่ผิดคราวก่อน Facebook ปรับ Algorithm ฟีดข่าวจากเพจอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เพื่อนและครอบครัว เหลือไม่ถึง 1% และการเปลี่ยนแปลงคราวนี้ อัตราการมองเห็น ต่ำกว่า 1% แน่นอน และที่ผมเข้าใจ คือ 0% นั้นหมายถึง ไม่ส่งข่าวไปให้คนที่เข้ามากด Like เพจเลย! ยกเว้นกรณีที่ Algorithm ส่งฟีดข่าวนั้นไปถึงคนที่กด Like เพจ โดยเเฉพาะผู้ติดตามเพจที่กดตั้งค่า ‘เห็นโพสต์ก่อน‘ และแฟนเพจมี Engangement กับเพจนั้น ๆ อย่างสม่ำเสมอ
ทั้งนี้ เงินค่าโฆษณาที่คุณลงไปในโพสต์ หรือเพจนั้น ๆ ไม่สามารถทำให้อัตราการมองเห็นเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด อัตราการมองเห็นโฆษณาอยู่ที่ 30-50% เท่านั้น (จากการทดสอบกว่า 1 สัปดาห์) ทำให้รู้ว่า
แม้จะจ่ายเงินให้เฟซบุ๊คก็ใช่ว่าโฆษณานั้น ๆ จะถูกส่งไปหากลุ่มเป้าหมายของคุณแต่อย่างใด หรือกล่าวอย่างน่าเจ็บใจคือ มีเงินก็ซื้อ Reach ไม่ได้เท่ากับแต่ก่อน!
วิธีเพิ่มอัตราการมองเห็นใน Facebook Page
- ลงโฆษณาเพิ่ม อันนี้ได้นิดหน่อย
- อัพเดทเนื้อหาบ่อยขึ้น ความถี่และจำนวนโพสต์ ไม่ได้ทำให้อัตราการมองเห็นเพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่นัก
- เปลี่ยนเวลาโพสต์ เลือกช่วงเวลาที่ดีที่สุด ที่ผู้คนเปิดมาเข้ามาเล่นเฟซบุ๊ค แล้วโพสต์เนื้อหานั้น ๆ ออกไป อาจะช่วยได้นิดหน่อย แต่ช่วงเวลานั้น เพื่อน ๆ และครอบครัว ก็เข้ามาโพสต์เช่นเดียวกัน เมื่อมีเพื่อนและครอบครอบครัวเข้ามาโพสต์ ฟีดข่าวในเพจของคุณก็จะถูกลดความสำคัญในทันที!
- เปลี่ยนประเภทของเนื้อหา เช่น ไม่ใช่ลิงก์โพสต์เพียงอย่างเดียว ลองเปลี่ยนเป็นรูปภาพ บทความยาว ๆ Meme วีดีโอ หรือ Facebook Live เผื่อจะดีขึ้น
จะว่าไปแล้วนั่นคือการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ที่สามารถทำได้ แต่อาจจะไม่ได้ผลเท่าที่ควร และอาจจะไม่ถูกใจ Algorithm ใหม่ของ Facebook เท่าไหร่นัก
Value content ในความหมายของ Facebook
Facebook ออกมาเปิดเผยว่า เขาให้ความสำคัญกับฟีดข่าวของเพื่อนและครอบครัวมากกว่า แต่หากเพจธุรกิจ เพจข่าว เพจขายของ หรือเพจอื่น ๆ ต้องการที่จะแทรกฟีดข่าวของคุณเข้าไปในฟีดข่าวนับพันของเพื่อนและครอบครัว คุณจะต้องทำดังนี้
ต้องน่าสนใจ — สูตรลับ ทำให้เป็นเรื่องของเขา!
กฏการทำเนื้อหาบนเฟซบุ๊คคือ ‘ต้องน่าสนใจ‘ คำง่าย ๆ แต่นำมาปฏิบัติไม่ง่าย เพราะความสนใจของแต่ละคนไม่เหมิอนกัน ดังนั้นคุณต้องคิดให้จบแต่แรกว่ากลุ่มเป้าหมายของเพจคือใคร มีปัญหาอะไร และพวกเขาอยากรู้เรื่องอะไรที่จะทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น หรือทำให้เขาเป็นคนอินเทรนด์ขึ้น (กรณีเพจข่าวสาร)
กรณีศึกษาเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ผมขอพาไปดูตัวอย่างจริงกับการสร้างเนื้อหาที่มี Engagement สูง และบางเพจสูงกว่าจำนวน Page Like เสียอีก หลักคิดมาจากคำสอนของ พี่นิค วิเชียร ฤกษ์ไพศาล ผู้บริหาร Genie Record ผู้อยู่เบื้องหลังศิลปินดัง ๆ อาทิ ลาบานูน บอดี้สแลม ป้าง นครินทร์ ฯลฯ ที่ผลิตมิวสิควีดีโอออกมาทีปังทั้งชื่อศิลปิน เพลง และยอดวิวบนยูทูป
หลักคิดคือ เจ้าของธุรกิจหลายรายมักสร้างเนื้อหาออกมาเป็นเรื่องของเรา (เรื่องของธุรกิจตัวเอง) ซึ่งผู้บริโภคไม่ได้สนใจ และพี่นิค ชูหลักคิดว่าถ้าอยากให้เขาสนใจ คุณต้อง สร้างเนื้อหาให้เป็นเรื่องของเขา!
แฟนเพจ Diana Kiss
Page Like 31,882
แฟนเพจ Diana Kiss ขายผลิตภัณฑ์ชุดนอน และชุดว่ายน้ำสำหรับสาว ๆ ซึ่งเพจขายสินค้าส่วนใหญ่จะโพสต์รูปสินค้า บอกสเปก และราคา ซึ่งเป็นเรื่องของเรา (ของเจ้าของธุรกิจ) แต่สิ่งที่เพจนี้ทำแตกต่างคือ สร้าง Value content ที่ไม่ใช่การขายของ แต่เป็นการหยิบยกประเด็นที่ผู้หญิงสนใจ เช่น เรื่องวิธีปราบผู้ชายเจ้าชู้, วิธิสร้างคุณค่าสำหรับผู้หญิงสาววัย 30 และ ฯลฯ ก่อให้เกิดการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายจำนวนมาก และ Engagement จำนวนมหาศาลโดยไม่ต้องใช้โฆษณาสักบาทเดียว ด้านล่างคือ Performance ของโพสต์ Value content และตัวอย่างโพสต์
จำนวน Post Like 10,000 ++
จำนวน Post Share 20,587++
จำนวน Post Comment 1,185++
* จำนวน ณ 01 กรกฏาคม 2016
แฟนเพจ Leader Wings
Page Like 56,947
เป็นเพจข้อมูลความรู้ในการพัฒนาตัวเองเพื่อการทำงานและทำธุรกิจ ร่วมก่อตั้งโดย Co-founder 3 คน หนึ่งในนั้นคือเจ้าของเพจ CEOblog นั่นเอง โมเดลธุรกิจคือการขายสื่อการเรียนการสอนสำหรับผู้ประกอบการ โดยเราใช้ Value content เป็นตัวสร้างแฟนและดึงคนเข้าเว็บไซต์ สลับกับโพสต์โดยตรงบนเฟซบุ๊ค ด้านล่างเป็นหนึ่งในโพสต์ที่ได้รับ Engagement สูง เป็นการพูดถึงชีวิตคนทำงานบริษัท แต่ปิดท้ายด้วยการให้กำลังใจในที่สุด แม้จะไม่ได้ Traffic เข้าเว็บไซต์ แต่เพจได้รับ Organic page like จำนวน 5,000 Like ใน 5 วันโดยไม่ได้ยิงโฆษณาสักบาทเดียว
จำนวน Post Like 21,000 ++
จำนวน Post Share 13,444++
จำนวน Post Comment 249++
* จำนวน ณ 01 กรกฏาคม 2016
แฟนเพจ Marketing in Black
Page Like 182,302
เป็นเพจให้ความรู้ด้านการตลาดออนไลน์ เจ้าของคือ ครูชัย ผู้ร่วมก่อตั้งสถาบันสอนภาษา Mind English นำประสบการณ์การทำการตลาดออนไลน์มาให้ความรู้ในเพจ และด้านล่างเป็นหนึ่งในโพสต์ที่มี Engagement จำนวนมาก
จำนวน Post Like 11,000 ++
จำนวน Post Share 16,606++
จำนวน Post Comment 269++
* จำนวน ณ 01 กรกฏาคม 2016
ต้องสร้างความบันเทิง
อย่าลืมว่าคนเข้า ‘มาเล่น’ เฟซบุ๊ค พวกเขาต้องการความบันเทิง เขาเข้ามาเล่นเพราะเพื่อนและครอบครัวของเขาเล่นมันมาก่อน เนื้อหาและเรื่องราวของคุณที่ต้องการสื่อสารออกไปนั้นต้องสร้างความบันเทิง สร้างความสุขให้กับผู้คน
ความคิดสร้างสรรค์
เฟซบุ๊คบอกว่า “เราไม่ได้อยู่ในธุรกิจที่บอกว่าอะไรที่คุณต้องการ แต่เราเชื่อมต่อผู้คนและความคิดสร้างสรรค์”
เฟซบุ๊คพยายามที่เรียนรู้ ทุกกิจกรรม ทุกความสนใจ และความสัมพันธ์บนดลกออนไลน์เข้าด้วยกัน และหากโพสต์หรือเรื่องราวของคุณเป็นไอเดียใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ ฟีดข่าวนั้นจะถูกส่งไปยังผู้คนที่ให้ความสนใจในไอเดียนั้น ๆ โดยไม่จำกัดว่าไอเดียหรือเรื่องราวนั้น ๆ มาในรูปแบบใด ๆ อาจจะเป็นตัวอักษร รูปภาพ วีดีโอ หรือลิงก์โพสต์ ก็ได้ทั้งนั้น
สดใหม่ ไม่ซ้ำใคร
เนื้อหาและเรื่องราวที่คุณสร้างขึ้นมานั้น ต้องมีความเป็นต้นฉบับ ไม่คัดลอกหรือดัดแปลงจากเนื้อหาอื่น ๆ ของใคร (ที่เคยโพสต์ใน Facebook)
ไม่สร้างความรำคาญ
การโพสต์เนื้อหา เรื่องราวที่ผู้คนไม่สนใจ และมีความถี่มากเกินไป คนที่เห็นโพสต์สามารถกด เลิกติดตาม ไม่ชอบ หรือซ่อนโพสต์ ยิ่งมีกิจกรรมที่กล่าวมาทั้งหมดจากผู้คนจำนวนมากขึ้น เฟซบุ๊คอาจจะพิจารณาไม่ส่งฟีดข่าวต่อไปที่คุณจะโพสต์ไปยังแฟนเพจคนอื่น ๆ ด้วย
คุณสามารถเข้าไปดูสถิติจำนวนคนที่ Unlike (ยกเลิกถูกใจ) ได้ดังนี้:
– คลิก ข้อมูลเชิงลึก (Insight) ที่ด้านบนของหน้าแฟนเพจ
– คลิกเมนู ถูกใจ (Like)
– เลือกช่วงเวลา
– และเลื่อนมาด้านล่างเพื่อดูกิจกรรม อาทิ Organic Like, Paid Like และ Unlike ในช่วงเวลาที่กำหนด
คุณจะเห็นจำนวนการ ยกเลิกถูกใจ ในเพจของคุณได้ และหน้าที่ของเราคือ พยายามลดจำนวนการยกเลิกถูกใจนี้ให้ลดลงมากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้
สม่ำเสมอและต่อเนื่อง
นอกจากปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมดแล้ว คุณจำเป็นต้องสร้าง ผลิต เนื้อหานั้น ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เพราะมันคือเนื้อหาที่ดี หากนาน ๆ ทีคุณอยากโพสต์ นึกขึ้นได้แล้วมาโพสต์ ฟีดข่าวนั้นจะไม่ถูกส่งไปยังผู้คนหรือแฟนเพจเลย (ยกเว้น คนที่กด “เห็นโพสต์ก่อน” อาจจะได้เห็นฟีดข่าวของคุณ)
สรุปรอบแรกก่อนไปต่อ
เห็นหรือไม่ว่า Facebook ไม่ได้เจาะจงว่าต้องทำอะไรแบบไหนบ้าง แต่บอกภาพกว้าง ๆ ให้เห็นว่าฟีดข่าวของคุณต้องน่าสนใจ และสร้างความบันเทิง เป็นหลัก ฟีดข่าวของคุณ ‘อาจจะ’ ได้รับพิจารณาให้ ‘ถูกส่ง’ หรือ ‘แทรก’ เข้าไปบนฟีดข่าวนับพัน
Facebook ยังกล่าวว่า “เราพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อเข้าใจโพสต์ เนื้อหา และเรื่องราว นั้น ๆ ว่ามีความสำคัญ น่าสนใจ กับผู้คนหรือไม่”
แต่เราไม่รู้ว่าเฟซบุ๊คใช้เงื่อนไข และเครื่องมืออะไรในการตรวจสอบเนื้อหา หรือโพสต์ต่าง ๆ ของเรา เพราะมันเป็น Algorithm!
ปรับตัวหรือตาย!
เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2014 เว็บไซต์ชื่อดังของต่างประเทศชื่อว่า Copyblogger.com ออกมาประกาศแบน Facebook และลบแฟนเพจของตัวเองที่มีเพจไลค์เกือบ 40,000 Like โดยให้เหตุผลว่า
- เฟซบุ๊คไม่คุ้มที่จะลงทุน ลงแรง
- ได้ไลค์ผี แม้จะซื้อโฆษณาจากเฟซบุ๊คเองก็ตาม
- อัตราการมองเห็นโพสต์น้อยมาก
- อัตราการมีส่วนร่วมน้อย
- มีโซเซียลอื่นที่ดีกว่า
ผมยังจำคำที่ครูชัย เจ้าของธุรกิจ Mind English และ Marketing in Black พูดไว้ว่า “เฟซบุ๊คคือบ้านเช่า เว็บไซต์คือบ้านเรา” ได้ดี และตอนนี้บ้านเช่าที่ว่า กำลังทำให้ธุรกิจหลาย ๆ ธุรกิจลำบากขึ้น แม้ว่าจะเพิ่มค่าเช่า แต่เงินที่กลับมาจากการลงทุนนั้น ไม่คุ่มที่จะลงแรงอีกต่อไป
หากคุณเป็นเพจขายของที่ไม่มีเว็บไซต์เลย แต่ขายของได้มากเพราะเฟซบุ๊ค เงินค่าโฆษณาที่จ่ายไปแต่ละวัน แต่ละเดือน หลายบาท แต่นั่นไม่ใช่ค่าใช่จ่ายที่เป็นต้นทุนทั้งหมด ยังมีค่าแรงแอดมินที่มาช่วยตอบข้อความ ขายของ คนช่วยแพ็คของ ค่าขนส่ง ค่ากล่อง ค่าไปรษณีย์ และอีกมากมาย
ความเสี่ยงทั้งหมดเกิดขึ้นแน่นอน และ สิ่งที่เราสามารถทำได้ คือ
ปรับเนื้อหาให้ Facebook ชอบ
อย่างที่แนะนำไปแล้วว่า Facebook ชอบเนื้อหาแบบไหน และคุณต้องทำตามเงื่อนไขนั้น ๆ เพื่อทำให้อัตราการมองเห็นมากขึ้น โดยก่อนหน้าที่ Brian Boland รองประธานกรรมการ Advertising Technology ของ Facebook ออกมาโพสต์บทความลงในบล็อก Facebook Business ว่า อัตราการมองเห็นที่ลดลงนั้นมีสาเหตุมาจากการเริ่มปรับตัวของ Algorithm ตัวใหม่ของเฟซบุ๊ค ที่เน้นที่เนื้อหาที่น่าสนใจของผู้ใช้มากขึ้น
โดยบอกว่า…
“We’ve gotten better at showing high-quality content And we’ve cleaned up News Feed spam”
นั่นหมายถึง Facebook ให้ความสำคัญกับเนื้อหาคุณภาพสูง และพยายามลดเนื้อหาคุณภาพต่ำออกไปจากฟีดข่าวของเฟซบุ๊ค
ดังนั้น “เนื้อหาคุณภาพสูง” จึงเป็นปัจจัยหลักในการเพิ่มอัตราการมองเห็น
อ่านบทความ Organic Reach on Facebook: Your Questions Answered
https://www.facebook.com/business/news/Organic-Reach-on-Facebook
เพิ่มช่องทางอื่น ๆ
หากนี่คือความเปลี่ยนแปลที่ส่งผลกระทบ และคุณไม่สามารถไว้วางใจช่องทางที่มั่นคงสำหรับธุรกิจของคุณ “การเพิ่มช่องทาง” “เพิ่มทางเลือก” คือสิ่งที่ควรทำ ไม่ว่าคุณจะมีช่องทางอื่นมาก่อนหรือไม่ ตอนนี้อาจถึงเวลาที่คุณต้องมอง โซเซียลมีเดียอื่น การตลาดแบบอื่น เข้ามาช่วยเสริม มากกว่าที่จะหวังยอดขายจากเฟซบุ๊คเพียงช่องทางเดียว หรือหวังผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์จาก Facebook เพียงอย่างเดียว
โซเซียลมีเดีย อื่น ๆ
Youtube ยังเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนำเสนอเนื้อหาผ่านวีดีโอ
Instagram แอพฯ แชร์รูปยอดนิยม เหมาะสำหรับสร้างแคตตาล็อกออนไลน์ โพสต์รูปสวย ๆ
Twitter สำหรับโพสต์ ข่าวสั้น ทันเหตุการณ์ เนื้อหาสั้น ๆ ที่สามารถทำให้คนเข้าเว็บไซต์ได้ดี
Website คือบ้านเรา การสร้างเนื้อหาหรือใช้ Content marketing ผ่านเว็บไซต์ยังสามารถสร้างการรับรู้ จดจำ และผลักผู้ชมไปที่หน้าขายสินค้า เพื่อปิดการขายได้
Google Adword เป็นแสดงโฆษณาของคุณผ่านหน้าค้นหาของ Google ใน “คีย์เวิร์ด” ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าของคุณ
Email marketing ยังไม่ตาย คนที่ออนไลน์ในปัจจุบันทุกคนต้องมีอีเมล์ ไม่งั้นก็สมัคร Facebook ไม่ได้ (แต่ Facebook สามารถโดยใช้เพียงเบอร์โทรศัพท์ก็ได้) สำหรับสินค้าที่เน้นขายให้องค์กรณ์หรือกลุ่มคนทำงาน การใช้การตลาดผ่านอีเมล์ยังคงได้ผล
SEO ยังได้ผลอยู่ การปรับแต่งเว็บไซต์ให้สามารถค้นหาได้ง่าย และแสดงอันดับต้นในหน้าค้นหาของ Google ยังสามารถหาผู้เข้าชมได้ดี เพราะมีค้นเข้าไปค้นหาบน Google.co.th มากกว่า 17.2 ล้าน ต่อวัน เป็นอันดับ 2 รองจาก Facebook.com
Magazine Ads แบบเจาะกลุ่มผู้อ่าน ยังได้ผล สำหรับสินค้าที่เฉพาะเจาะจง เหมาะสำหรับบางากลุ่มที่ไม่ได้เข้ามาออนไลน์ การโฆษณาผ่านนิตยสารยังได้ผลดีเสมอ เช่น โฆษณาขายเครื่องมือเกษตร ผ่านนิตยสารเกี่ยวกับการเกษตร เป็นต้น
เลิกใช้ Facebook เหอะ
มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะบอกแบบนี้ หลายคนทำใจไม่ได้ ผมเองไม่คิดจะทำแบบนั้นในตอนนี้ (แต่ไม่แน่ในอนาคต) การเลือกใช้ช่องทางอื่นเข้ามาเสริมเพิ่มน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
แต่หากมาวิเคราะ์ SWOT ของการลงทุนบนเฟซบุ๊คดี ๆ แล้ว พบว่าข้อเสียมากกว่า โอกาศลดลง ไม่คุ้มที่จะลงทุนลงแรง การทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดมาที่ Facebook น่าจะเป็นเรื่องที่เราต้องมาทบทวนกันอีกครั้ง
อย่างกรณีของ CopyBlogger.com และอีกหลาย ๆ เว็บ ในต่างประเทศ ที่มองไม่เห็นคุณค่าที่จะต้องใช้ Facebook เพื่อสร้างยอดขาย เพราะเขามีตัวเลือกที่ดีกว่า ช่องทางที่สร้างยอดขายได้มากกว่าและตกลงเลิกใช้ Facebook ในที่สุด
สุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุด
เราไม่สามารถโทษคนอื่นได้ เพราะเราเองที่เข้ามาใช้แฟลตฟอร์มของเขา (ใช้ฟรีด้วยนะ) และเขามีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนแปลง ขึ้นค่าเช่า เพิ่มเงื่อนไขต่าง ๆ มากขึ้น (ในเงื่อนไขของ Facebook บอกไว้อย่างชัดเจน ก่อนที่คุณจะสมัครเข้าเป็นสมาชิกในเว็บไซต์แห่งนี้)
สิ่งที่ทำได้ คือ ปรับตัวตามเงื่อนไขนั้น หรือไม่เช่นนั้น…
เราสามารถที่จะเลือกได้ สื่ออื่น ๆ ก็ยังมีอยู่ Advertising Network อื่น ๆ ก็มีเพื่อการโฆษณา
แต่ก็อย่างว่า ตลาดอื่น สื่ออื่น คนก็ใช้งานน้อยกว่า Facebook ที่มีคนไทยเข้าไปใช้งานมากกว่า 40 ล้านบัญชี และมี Active user มากกว่า 28 ล้านบัญชี ต่อวัน ซึ่งนั้นก็มากที่สุด มากกว่าสื่ออย่าง Sanook หรือ Pantip ที่มีคนเข้าอยู่ที่ 4-5 ล้านคน ต่อวัน และนั้นคือเว็บไซต์อันดับต้น ๆ ของไทย
ทางเลือกมีไว้ให้เลือก คุณจะเลือกแบบไหนก็ต้องใคร่ครวญกันดี ๆ นะครับ
ผลกระทบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกเพจ บางเพจที่มีการมีส่วนร่วมจำนวนมากอยู่แล้ว แทบจะไม่มีผลกระทบเลย หรือกระทบนิดหน่อย เพราะ Facebook อาจเข้าใจว่า นั้นคือเพจที่คนชอบ และนั้นอาจจะหมายถึงเพจเหล่านั้นคือ Value Content ที่คนชอบ และจะส่งฟีดข่าวนั้น ๆ อยู่
เพจธุรกิจและเพจขายของออนไลน์คงได้รับผลกระทบบ้าง ไม่มากก็น้อย