การเป็นเจ้าของกิจการที่ประสบความสำเร็จเป็นความฝันของทุกคน และปัจจุบันนี้คนมีแนวโน้มที่จะสรรหาวิธีประสบความสำเร็จให้เร็วยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าวันนี้คนมีทางเลือกที่จะประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้นจริง ๆ
ในช่วง 5-6 ปีที่ผ่าน เรามีโอกาสเห็นคนสำเร็จรุ่นใหม่เกิดจากอินเตอร์เน็ต เห็นคนสร้างตัวจากคนธรรมดาสู่นักธุรกิจเงินล้านภายใน 3-5 ปีจากการเป็นเจ้าของซอฟต์แวร์ แพลทฟอร์มออนไลน์ และขายของออนไลน์ โดยคนกลุ่มนี้มีแนวโน้มอายุน้อยลงเรื่อย ๆ และหนึ่งในนั้นคือ ปัณณวิชญ์ โชติเตชธรรมมณี หรือ คุณเจล ผู้ก่อตั้งธุรกิจอีคอมเมิร์ซไทยระดับ AEC ชื่อ Balance Thailand ยอดขายหลัก 1,000 ล้านบาท ด้วยอายุเพียง 25 ปี!
เกริ่นคร่าว ๆ เกี่ยวกับผู้ก่อตั้ง
คุณเจล ปัณณวิชญ์ เป็นบัณฑิต คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่มีความสนใจเรื่องอินเตอร์เน็ตและการตลาดออนไลน์
ระหว่างเรียนหนังสือ ได้มีการศึกษาการสร้างรายได้จากเกมส์ออนไลน์, การเทรด Forex, การขายของออนไลน์แบบซื้อมาขายไปและการเป็นตัวแทนขาย รวมไปถึงการพัฒนาแฟนเพจและไลน์แอดจนเกิดฐานผู้ติดตามรวมกันหลายล้านคน ต่อยอดเป็นช่องทางสร้างรายได้จำนวนมาก ก่อนที่จะคิดหาวิธีนำความรู้ในคณะที่เรียนมาต่อยอดกับความรู้ด้านการตลาดออนไลน์เพื่อกระจายประโยชน์ให้กับสังคมในวงกว้าง
จึงเกิดเป็นธุรกิจอาหารเสริมและเครื่องสำอาง ชื่อ Balance Thailand ดำเนินกิจการระบบตัวแทนขาย เปิดให้คนทั่วไปสามารถเข้ามาร่วมเป็นผู้แทนขายสินค้าของแบรนด์ มีฐานการจำหน่าย 7 ประเทศใน AEC และปัจจุบันขยับขยายเป็นโรงงานผลิตเครื่องสำอางรายใหญ่ที่สามารถรองรับคำสั่งซื้อแบบ OEM สำหรับคนที่ต้องการสร้างแบรนด์ของตนเอง
วันนี้ CEOblog จะนำเรื่องราวที่เป็นความรู้และแรงบันดาลใจจากเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุน้อยมาฝากกัน!
CEOblog: เชื่อว่าหลายคนอยากรู้เรื่องนี้เป็นอันดับแรก! Balance Thailand กับผลลัพธ์ด้านรายได้?
Answer:
ด้วยความยินดีครับ, นับตั้งแต่ปี 2015 ถึง 2017 ยอดขายสะสมภายใต้แบรนด์ของเราแตะหลัก 1,000 ล้านบาทเป็นที่เรียบร้อย
เป็นรายได้ที่เกิดจากพลังของตัวแทนมากกว่า 3,000 รายในประเทศไทย และเรายังมีฐานในกลุ่ม AEC ได้แก่ กัมพูชา เวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย พม่า และลาว อีกกว่า 2,000 ราย แต่หลัก ๆ จะกัมพูชาและลาวสำหรับยอดขายใน AEC
CEOblog: อะไรคือสาเหตุให้ Balance ประสบความสำเร็จมากมายขนาดนี้?
Answer:
ก่อนอื่นต้องขอยกเครดิตความสำเร็จของแบรนด์ให้แก่พาร์ทเนอร์และตัวแทนทุกคน ส่วนผมในฐานะเจ้าของแบรนด์และแพลทฟอร์ม ผมโฟกัสที่การสนับสนุนให้พาร์ทเนอร์และตัวแทนทำงานง่ายที่สุดครับ
CEOblog: สนับสนุนให้พาร์ทเนอร์และตัวแทนทำงานง่าย ได้แก่อะไรบ้าง?
Answer:
อันดับแรกคือเราตอบสนอง First need ของมนุษย์…
ทุกคนต้องการมีคุณภาพชีวิตที่ดี ชีวิตดี มีรายได้ดี ผลิตภัณฑ์ของ Balance จึงต้องมีคุณภาพสูง ปลอดภัยเชื่อถือได้ คนซื้อจึงจะกล้าใช้ และคนขายจึงจะกล้าขาย ดังนั้นกระบวนการวิจัย ออกแบบ และการผลิต เรามีทรัพยากรของตัวเองและควบคุมการทำงานเองทั้งหมด สินค้าแต่ละตัวมีเอกลักษณ์ และเรามีสินค้าออกใหม่ให้ตัวแทนนำไปขายทุกเดือน
ต่อมาเมื่อมีสินค้าดีแล้ว…
เราให้ผลตอบแทนแก่ตัวแทนขายสูง ตัวแทนได้รับส่วนแบ่งกันครึ่งต่อครึ่ง (50%) ของยอดขาย โดยส่วนแบ่งจำนวนนี้ไม่มีเงื่อนไขเรื่องสต็อกสินค้า เพราะ Balance เป็นทั้งคลังสินค้าและระบบจัดส่งให้
นอกจากนั้น…
ตัวแทนที่ไม่มีประสบการณ์ในการขายและการตลาด Balance มีศูนย์ความรู้ทั้งแบบคลาสสดและแบบออนไลน์ เพื่อให้ความรู้แก่ตัวแทนไปทำงานต่อได้ โดยศูนย์ความรู้ของเราเรียนฟรีทั้งหมด ผมมองว่าเราเป็นครอบครัวมากกว่า ถ้าเราทำให้เขาประสบความสำเร็จ นั่นแหละคือความสำเร็จที่แท้จริงของเราครับ
CEOblog: ตัวแทนมากขนาดนี้ Balance มีวิธีจัดการกับออเดอร์ทั้งภูมิภาคอย่างไร?
Answer:
เราทำงานอย่างเป็นระบบครับ โดยมีเว็บไซต์ที่มีระบบ Membership เต็มรูปแบบ ตัวแทนสมัครแล้วจะเข้าหลังบ้าน หลังบ้านจะมีกระดานข่าวสาร, ข้อมูลสินค้า, marketing materials, และระบบป้อนข้อมูลการสั่งซื้อ — ต่อมาคือ Group Line เปรียบเสมือน Call center สำหรับสื่อสารกับตัวแทนเกือบตลอด 24 ชั่วโมง
ฉะนั้นตัวแทนจะโฟกัสอยู่ที่การขายและการตลาดเป็นหลัก มีอิสระในการขายเต็มที่ตามความถนัด จะขายผ่านเฟซบุ๊ค ขายผ่านเว็บไซต์ หรือเดินไปขายตรง ๆ กับเพื่อนในวงสนทนา สุดท้ายก็ต้องกลับมาคีย์ออเดอร์และข้อมูลการจัดส่งเข้าระบบที่เราจัดเตรียมไว้ให้ การทำงานจึงเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างเที่ยงตรงและแม่นยำ
การสมัครตัวแทน Balance มีค่าใช้จ่ายเพียง 3,200 บาท ซึ่งจะได้สินค้าไปหนึ่งชุดเพื่อทดลองใช้เองหรือจะขายก็ได้ และหากแนะนำคนมาสมัครตัวแทนก็จะได้ค่าแนะนำอีก 2,000 บาท โดยเราจะ Track จากรหัสตัวแทนที่ระบบแบบฟอร์มกำหนดให้กรอกตอนคนใหม่มาสมัครที่หน้าเว็บครับ
เหล่านี้เราสร้างระบบขึ้นมาเพื่อการรองรับงานอย่าง ถูกต้อง แม่นยำ และมีประสิทธิภาพสูง
CEOblog: การทำแบบนี้จะเหมือนกับธุรกิจเครือข่าย หรือ Multi-level marketing หรือไม่?
Answer:
ไม่เหมือน ไม่คล้าย และไม่ใกล้เคียงใด ๆ เลยครับ
ส่วนนี้เสมือนเงินรางวัลเสริม เพราะคนขายหรือคนใช้ Balance ได้ผลลัพธ์ในชีวิตจริง ก็บอกต่อกันเป็นปกติ แม้จะไม่ได้อะไรก็ตาม เราเล็งเห็นน้ำใจในจุดนี้จึงเพิ่มส่วนนี้เข้ามาเป็นรางวัลเสริมแก่สมาชิกที่บอกต่อ
เรื่องเงินรางวัลและค่าแนะนำคนมาซื้อสินค้าและบริการเป็นระบบสากลมีใช้กันทั่วโลก ในต่างประเทศเรียกว่า Affiliate marketing ครับ
CEOblog: Affiliate marketing คือ? เผื่อท่านที่ยังไม่รู้จักคำนี้
Answer:
แปลให้เข้าใจตรง ๆ คือ นายหน้า มีรายได้จากการแนะนำสินค้าและบริการ หรือเชิญชวนคนมาสมัครบริการอะไรก็แล้วแต่ ก็จะได้ส่วนแบ่งไป Affiliate marketing เป็น, ได้ผลตอบแทนต่อหน่วยการขาย ไม่ได้ได้ต่อกันเป็นทอด ๆ แบบ Multi-level
ธุรกิจของ Balance ก็เช่นกันครับ เราเป็น Single level ธุรกิจค้าส่ง/ค้าปลีกในรูปแบบอีคอมเมิร์ซเป็นหลัก รายได้บริษัทและตัวแทนมาจากการนำสินค้าไปขายผ่านช่องทางที่ตนเป็นเจ้าของ 100%
CEOblog: คนที่ขายเก่ง ๆ เขาขายกันอย่างไรบ้าง?
Answer:
หลัก ๆ แบ่งออกเป็น 5 แนวทางครับ
1. Personal brand กลุ่มนี้เน้นขายตัวเอง เอาตัวเองนำสินค้า สร้างแบรนด์บุคคลให้คนติดตามเยอะ ๆ ผ่านการให้ความรู้ในการพัฒนาตัวเอง การดูแลตัวเอง ฯลฯ และเมื่อเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนจำนวนมาก เวลาขายอะไรก็ง่าย เพียงโพสต์ขายตรง ๆ เน้นลงในเฟซบุ๊คส่วนตัวก็สามารถขายของได้มากครับ
2. Internet marketing กลุ่มนี้จะเป็นสาย Tech จะอยู่กับโปรแกรมต่าง ๆ วิเคราะห์คำค้นหาบน Google จากนั้นสร้างเว็บไซต์ให้ติด Google ใส่ระบบตะกร้าและช่องทางชำระเงิน
3. Social media marketing บางคนอาจไม่ถึงกับเป็นสาย Tech แต่หากมีทักษะในการออกแบบคอนเทนต์เก่ง ๆ หรือเรียกว่าสาย Content marketing ก็จะใช้วิธีสร้างคอนเทนต์เพื่อดึงฐานผู้ติดตามผ่าน Facebook business page และ Line@ จากนั้นขายแพลทฟอร์มเหล่านั้นโดยไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองออกสื่อก็ได้
4. Affiliate/ Lead marketing กลุ่มนี้จะเป็นนักสื่อสาร หรือนักสร้างคอนเนคชั่น และพาคนเข้ามายังธุรกิจและรับค่าตอบแทนเป็นค่าแนะนำ หรือ Affiliate marketing อย่างที่เล่าไปเมื่อสักครู่ จะชวนคนผ่านออฟไลน์ก็ได้ ออนไลน์ก็ได้ แล้วแต่ แต่สุดท้ายสมาชิกใหม่ก็จะมาลงทะเบียนผ่านระบบและใส่รหัสผู้แนะนำ
ซึ่งนัก Lead คนเก่ง ๆ บางราย สามารถสร้างรายได้จากการแนะนำสมาชิกใหม่เป็นเงินหลักหลายหมื่นบาทต่อวันก็มีครับ
5. Traditional retailers กลุ่มนี้เป็นออฟไลน์ เน้นหาพันธมิตรที่มีสถานที่และหน้าร้านต่าง ๆ เพื่อเป็นตัวแทนจำหน่าย สายนี้จะเป็นตัวแทนจำหน่ายประจำภูมิภาคครับ คือเราให้ 1 คน 1 พื้นที่ และเขาต้องไปพัฒนาธุรกิจในพื้นที่นั้น ๆ ต่อไปครับ
เรียกว่าใครถนัดแนวทางไหนก็ทำงานกับเราได้ทั้งสิ้น
CEOblog: ตอนนี้ได้เห็นวิธีการทำงานแล้วเป็นระบบมาก ๆ อยากให้แชร์แนวคิดสำหรับคนที่ยังไม่ได้เริ่มธุรกิจและอยากเริ่มจริงจัง
Answer:
นำมาฝาก 3 ข้อ ได้แก่ การค้นหาตัวเองให้เจอ, การตั้งเป้าหมายธุรกิจ, การสร้างแบรนด์ธุรกิจ
การค้นหาตัวเองให้เจอ
ข้อนี้สำคัญมากที่สุด หลายคนชอบถามว่าทำอะไรรวย ซึ่งแทบทุกอย่างบนโลกทำแล้วรวยได้ทั้งสิ้นแม้แต่ขายขยะ ขายไส้เดือน ก็มีคนทำแล้วรวยมาแล้ว ฉะนั้นไม่เกี่ยวเลยว่าทำอะไรแล้วรวย หรือทำตามคนรวยแล้วจะรวย สำคัญคือ คุณต้องทำในสิ่งที่ชอบและถนัด เพราะคุณจะต้องอยู่กับมันไปตลอดชีวิต หรือถ้าค้นพบว่าชอบอะไรแต่ยังไม่ถนัดก็ฝึกจนชำนาญ ทุกอย่างฝึกกันได้ แต่ความชอบมันต้องมาจากใจ หากยังหาไม่เจอ ผมมีวิธีง่าย ๆ ในการค้นหาตัวเองว่าคุณเก่งอะไร
- สิ่งไหนที่คุณทำแล้วสนุก ลองโฟกัสสิ่งนั้น
- สิ่งไหนที่คุณทำได้ดี ลองโฟกัสสิ่งนั้น
- ลองฝึกฝนในสิ่งที่อยากทำ เพื่อดูว่าคุณถูกจริตกับมันมากแค่ไหน
สรุปคือ คิดอะไรได้ให้ลองทำ มันไม่มีวิธีอื่นอีกแล้วที่จะรู้ว่าอะไรใช่หรือไม่ใช่นอกจากการลงมือทำ ถ้าไม่ใช่ก็เปลี่ยน ถ้าใช่ก็ไปต่อ
การตั้งเป้าหมายธุรกิจ
สมมุติใน 100 คนธรรมดา ๆ ต้นทุนชีวิตปกติ ไม่รวยแต่ไม่ติดลบที่คิดในใจว่า ‘อยาก’ มีธุรกิจ จะมีคนที่ลุกขึ้นมาทำจริงประมาณ 10 คน และจะเหลือคนที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามติดลมบน 2-3 คน
Success rate ในทางปฏิบัตินั้นไม่สูง แต่ปัจจัยนั้นมาจากตัว ‘เจ้าของความอยาก’ เป็นหลัก นั่นคือความสามารถในการ ‘ตั้งและทำตามเป้าหมาย’
ตั้งเป้าหมายไม่สำเร็จหลัก ๆ มี 3 ปัจจัย…
- เป้าหมายไม่ชัดเจน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเสมอ
- ไม่กำหนดเวลาในการทุบสถิติเป้าหมายนั้นให้ชัดเจน
- ตั้งเป้าชัดแล้วไปขยันลดเป้าหมายระหว่างทาง
ผมขอเชิญชวนลองเปลี่ยนมาตั้งเป้าหมายใหม่กัน
1. ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนสุด ๆ กับผลลัพธ์ที่อยากได้ อยากเป็นจริง ๆ เพียง 2-3 รายการ อย่าเยอะ เพราะเดียวจะท้อและไม่โฟกัส
2. ตั้งเป้าหมายระยะสั้น คือใน 3-6 เดือนจากนี้อะไรต้องเกิดขึ้นมาบ้าง ระยะกลางคือ 1-2 ปี และระยะยาว 3-5 ปี
3. มูลค่าของเป้าหมายต้องสามารถวัดผลได้ และเป็นไปได้ ไม่ใช่ตอนนี้มีเงินพันบาทจะเปลี่ยนเป็นพันล้านใน 12 เดือน อันนั้นรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นลองเปลี่ยนจาก พันบาทเป็นพันล้าน ไปเป็น พันบาทไปเงินแสนใน 12 เดือนดูก่อน แล้วค่อย ๆ ขยับตัวเลขรอบต่อรอบ
4. กำหนดเวลาแล้วเสร็จของเป้าหมายต้องมี! ลงวันที่ เดือน ปี ไปเลย อย่ากำหนดลอย ๆ ว่า 6 เดือน 12 เดือน
5. ต้องตั้งเกินตัวอย่างน้อย 1 ขั้นเสมอ เพื่อให้เกิดการพัฒนาตัวเองเพิ่มอีก 1 ขั้น
6. สร้างบทลงโทษหากพิชิตเป้าหมายไม่ได้ ต้องเป็นบทลงโทษที่ทำให้เราไม่อยากเจอมัน เช่น สมมติเป็นคนชอบกินขนมหวาน ก็ห้ามกิน 1 ปี หากพิชิตเป้าหมายไม่ได้
7. ประกาศเป้าหมายเพื่อให้มีพยานรับรู้ เพราะถ้าประกาศแล้วทำไม่ได้ อายแน่นอน! 555
อย่าลืมสร้างแบรนด์ธุรกิจ
ขอยกตัวอย่างโดยสมมุติครับ
ธุรกิจ A — เจ้าของเป็นสุดยอดนักขาย
ธุรกิจ B — เจ้าของเป็นสุดยอดนักการตลาดสร้างแบรนด์
หากวันหนึ่งเจ้าของทั้งสองธุรกิจไม่อยู่แล้ว ธุรกิจใดที่จะได้รับการจดจำและไปต่อโดยกระทบน้อยกว่า… คำตอบคือ ธุรกิจ B เพราะตลาดจดจำ อุตสาหกรรมรับรู้
ขอย้ำว่าอันนี้เป็นเพียงตัวอย่างสมมุติคร่าว ๆ ที่ยังไม่รวมปัจจัยอื่น ๆ เข้าไปนะครับ แต่เพื่อให้เห็นว่า การขายสำคัญ แต่อย่าลืมพัฒาแบรนด์คู่กันไป
นักธุรกิจที่รายได้มาจากการออกไปล่าหาลูกค้าทำยอดขายเป็นหลัก จะต้องทำแบบนี้ทุกวันตลอดไป และเมื่อขาดทีมขายเก่ง ๆ ก็อาจประสบปัญหาเรื่องยอดขาย
ในขณะที่ธุรกิจที่ปั้นกิจการให้เป็นแบรนด์ เมื่อถึงจุดหนึ่ง ลูกค้าจะเป็นฝ่ายอยากเข้ามาหา และธุรกิจที่แบรนด์ก็สามารถขายสินค้าในราคาที่ตนมีอำนาจต่อรองสูสีกับลูกค้า ในทางธุรกิจ แบรนด์ ถือ Intangible asset หรือ เป็นสินทรัพย์ชนิดหนึ่งแม้ไม่มีตัวตนแต่มีมูลค่า สร้างทั้งมูลค่าเพิ่ม และอำนาจต่อรองกับผู้ซื้อครับ
สรุป
และหมดทั้งนี้คือเรื่องราวของ CEO น้อยร้อยล้าน (จริง ๆ พันล้านแล่ว) ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Balance Thailand สนใจข้อมูลเพิ่มเติม ท่านสามารถติดตามเรื่องราวในหนังสือ CEO น้อยร้อยล้าน ความสำเร็จของเด็กหลังห้อง หรือ Follow Line@ คุณเจล ที่ http://line.me/ti/p@jellywalker