Jeff Bezos

ประวัติโดยละเอียด เจฟ บีซอส (Jeff Bezos) แห่ง Amazon ผู้ติดอันดับรวยที่สุดในโลก

Jeff Bezos มหาเศรษฐีที่สร้างตัวมาด้วยตนเอง (Self made billionaires) ผู้ก่อตั้งและเป็นประธานบริหารของเว็บไซต์ Amazon.com เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ของโลก บุคคลผู้นี้นับเป็นอัจฉริยะที่คิดค้นนวัตกรรมมากมายให้กับโลกในศตวรรษที่ 21 นี้ ไม่น้อยไปกว่า สตีฟ จ๊อบส์ หรือ อีลอน มัสก์ เลย อะไรคือจุดเริ่มต้น ของแนวคิดที่พลิกโลกของ Jeff Bezos ติดตามได้ในบทความนี้

กำเนิดเด็กชาย Jeffrey

เมษายน ปี 1963 วัยรุ่นสองคน คือ Ted Jorgensen (อายุ 18 ปี) และ สาวน้อย Jacklyn Preston  Gise (อายุ 16 ปี) กลายเป็นคุณพ่อคุณแม่วัยใส ในขณะที่กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย Jacklyn ตั้งครรภ์ และ 9 เดือนต่อมา เด็กชาย Jeffrey Preston Jorgensen ก็ถือกำเนิดขึ้น ในวันที่ 12 มกราคม 1964 ที่เมือง แอลบูเคอร์คี (รัฐนิวเม็กซิโก) หลังจากนั้น Ted พ่อของ Jeff ก็ทำงานเป็นนักขี่จักรยานล้อเดียว แสดงในโรงละครท้องถิ่น Unicycle Wranglers แต่ด้วยความที่ Ted ติดสุราและขี้เมา ทำให้ Jacklyn หมดความอดทนและขอหย่าร้างหลังจากแต่งงานได้ไม่ถึง 1 ปี และพอ Jeffrey อายุได้ 4 ขวบ Jacklyn ก็ได้แต่งงานใหม่ กับชาวคิวบาที่อพยพเข้ามาในสหรัฐอเมริกา ชื่อว่า Miguel Bezos (Mike Bezos)

– Jeff ใช้ชื่อกลาง Preston ตามแม่ และใช้นามสกุล Jorgensen ตามนามสกุลของพ่อแท้ ๆ ส่วน Bezos เป็นนามสกุลของพ่อเลี้ยง –

Jeff มีคุณตาที่มีดีกรีเป็นถึงผู้อำนวยการพลังงานปรมาณู

Lawrence Preston Gise พ่อของ Jacklyn มีตำแหน่งเป็นถึง ผู้อำนวยการฝ่ายภูมิภาคของคณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณูสหรัฐอเมริกา (U.S. Atomic Energy Commission) มีส่วนสำคัญให้ Jeff มีความสนใจในเทคโนโลยีต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคอมพิวเตอร์ รวมถึงคุณตายังให้ Jeff ได้ฝึกหัดทำงานทุกอย่างด้วยตนเองด้วย

วัยเด็กของอัจฉริยะ Jeffrey

Jeff ในวัย 5 ขวบ ได้ดูการถ่ายทอดการลงจอดบนดวงจันทร์ของยานอวกาศ Apollo 11 ซึ่ง Jeff ชื่นชอบมาก และตัดสินใจเลยว่า ต้องเป็นนักบินอวกาศให้ได้ หลังจากนั้น เด็กชาย Jeffrey ก็กลายเป็นหนอนหนังสือ ที่อ่านทุกอย่างที่ขวางหน้า จนพ่อกับแม่ของ Jeff อดเป็นห่วงไม่ได้กลัวว่าจะบ้าแต่ตำรา จึงต้องพาไปเล่นอเมริกันฟุตบอล  ต่อมา Jacklyn ได้พา Jeff ไปเข้าเรียนในโปรแกรมของเด็กที่มีพรสวรรค์ และตอนอายุ 10 ขวบ Jeff เพิ่งจะรู้ความจริงว่า Miguel ไม่ใช่พ่อแท้ ๆ ของเขา

ในวันจบการศึกษาระดับมัธยมปลาย Jeff ได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ จากนั้นปี 1982 เขาได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย Princeton ในสาขาฟิสิกส์ แต่ก็ขอย้ายไปเรียนที่สาขาวิศวะคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิคส์ จบการศึกษาในปี 1986 ด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1

การเริ่มต้นทำงานที่แรกของ Jeff Bezos

งานแรกของ Jeff เริ่มที่บริษัทสตาร์ทอัพด้านการสื่อสาร แต่ไม่นานก็ย้ายเข้าทำงานกับบริษัทต่าง ๆ ใน Wall Street เช่น Fitel, Banker Trust และงานสุดท้ายที่ D. E. Shaw & Co (เป็นบริษัทเฮจฟันด์) ในตำแหน่งรองประธานอาวุโสของบริษัท ในขณะที่ Jeff มีอายุเพียง 28 ปีเท่านั้น ต่อมาในปี 1993 Jeff ได้แต่งงานกับ Mackenzie S. Tuttle แฟนสาวที่รู้จักกันในที่ทำงานนี้เอง

วิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของ Jeff Bezos

ไม่ใช่ว่า Jeff มีตาทิพย์หรือมีพลังพิเศษ แต่ด้วยการที่ทำงานด้านการเงิน ที่ต้องรับรู้ข้อมูลข่าวสารใหม่ ๆ ตลอดเวลา ทำให้ Jeff ได้ข้อมูลมาว่า ธุรกิจอินเทอร์เน็ตมีอัตราการเติบโตสูงถึง 2,300 % ต่อปี เขานำเรื่องนี้ไปคุยกับหัวหน้าของเขา (เจ้าของบริษัท D. E. Shaw) เพื่อจะหาแนวร่วมในการทำธุรกิจ แต่เจ้านายของเขาไม่เห็นด้วย และคิดว่าธุรกิจบนอินเทอร์เน็ตเสี่ยงเกินไปและไม่มั่นคง แถมยังไม่มีกฎหมายรองรับในขณะนั้นอีกด้วย

เลือกของที่ขายยากที่สุด

Jeff มีความคิดว่าอยากจะทำเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ ที่ขายของทุกอย่าง และผู้คนที่ต้องการสินค้าต้องนึกถึงเว็บไซต์ของเขาเป็นอันดับแรก แต่ในตอนเริ่มต้น Jeff ทำการลิสต์รายชื่อสินค้าที่คิดว่าน่าจะเติบโตเร็วที่สุด มา 20 รายชื่อ และสุดท้ายคิดว่า หนังสือนี่แหละเหมาะที่สุด (อาจจะมาจากการที่เป็นคนชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็กก็เป็นได้) ซึ่งพอเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาหัวหน้า ก็ยิ่งได้รับกำลังใจอย่างล้นหลามเลยว่า “นายมีงานที่ดี ๆ ทำอยู่แล้วนะ ทั้งรายได้และเงินโบนัส คิดดี ๆ นะเจฟฟ์” Jeff จึงตัดสินใจยื่นใบลาออก และเดินหน้าทำตามความฝันของเขา ซึ่งแม้แต่พ่อแม่ของเขาก็ยังไม่เห็นด้วยกับการลาออกและไอเดียธุรกิจดอทคอมของเขา เพราะในขณะนั้นยังไม่เคยมีใครเคยเห็นเว็บไซต์แบบที่ Jeff พูดว่าจะทำเลย และยิ่งไม่ต้องพูดถึงเว็บไซต์ขายหนังสือออนไลน์ ไม่มีใครเชื่อว่าหนังสือจะขายผ่านเว็บไซต์ได้

คนที่สนับสนุนและส่งเสริมเขามีเพียงคนเดียวคือ Mackenzie ภรรยาของเขานั่นเอง ทั้งสองได้ย้ายไปอยู่ที่ ซีแอตเทิล (ลาออกทั้งคู่)

กำเนิด Amazon.com มีห้องคลอดเป็นโรงรถ

ในปี 1994 Jeff ในวัย 30 ปี กับ Mackenzie ภรรยาของเขา ก็ได้ก่อตั้งบริษัทแรกชื่อ Cadabra แต่เพราะว่าคนทั่วไปจะเข้าใจผิดและคิดว่าเป็น Cadaver (แปลว่าซากศพ) จึงคิดจะเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น MakeItSo.com เพราะเป็นส่วนหนึ่งของบทกลอนของกัปตัน Picard ในภาพยนตร์ Star Trek และก็มีชื่อ Aard.com ซึ่ง Jeff คิดว่ามันจะช่วยในผลการค้นหา (ในยุคแรกเริ่มผลการค้นหาเว็บไซต์เรียงลำดับตามตัวอักษร ซึ่งเริ่มด้วยตัวเลข 1, 2, 3, … ไปจน A, B, C … – ตอนนั้นยังไม่มี Google) นอกจากนี้ Mackenzie ยังได้จดโดเมนอีกหลายชื่อ เช่น Awake.com, Browse.com, Bookmall.com และ Relentless.com แต่ในที่สุด Jeff ก็กวาดตาไปมาในพจนานุกรม และไปสะดุดกับคำว่า Amazon แม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่ง Jeff อยากให้เว็บไซต์เป็นร้านหนังสือออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก จึงกลายเป็นชื่อ Amazon.com ในที่สุด

Jeff เริ่มต้นธุรกิจด้วยการเอาโรงรถในบ้านของตัวเองเป็นออฟฟิศโดยเอาบานประตูไม้มาทำเป็นโต๊ะทำงาน เริ่มจากพนักงานเพียงแค่ 2 คน ในตำแหน่งโปรแกรมเมอร์ รวม Jeff และ Mackenzie ด้วยจึงทำให้ เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซในตำนานเริ่มต้นด้วยคนเพียง 4 คน ในโรงรถและเงินลงทุนของ Jeff เอง 10,000 เหรียญสหรัฐฯ

เบื้องหลังชีวิตสโลว์ไลฟ์ไม่มีอะไรง่ายดาย

แม้ Jeff จะให้สัมภาษณ์กับสื่อทั่วไปว่า ธุรกิจอภิมหาโปรเจ็คของเขา เริ่มต้นอย่างง่าย ๆ ในโรงรถ และไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย เขาไม่ได้มีความทะเยอทะยานมากนัก เริ่มต้นก็แค่ต้องการให้ร้านหนังสืออนไลน์ของเขาเจาะตลาดเล็ก ๆ ได้ก็พอใจแล้ว และห้องประชุมของเขาก็คือร้านสตาร์บัคส์ใกล้กับออฟฟิศ ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นเหมือนสิ่งที่ปลุกเร้าให้คนรุ่นใหม่ก้าวเข้าสู่ธุรกิจดอทคอม เพราะคิดว่ามันเริ่มต้นและเติบโตได้ง่าย อีกทั้งเรื่องราวเหล่านี้ยังเป็นสตอรี่ที่สื่อสามารถหยิบมาเล่าได้อีกไม่รู้จบ

แต่ในความเป็นจริงคือ Jeff Bezos มีเงินมากพอที่จะไม่ต้องใช้โรงรถทำเป็นออฟฟิศก็ได้ และกว่าที่จะผลักดันจนเปิดตัวเว็บไซต์ Amazon ได้นั้น เขาต้องไปกู้ยืมเงินนับล้านดอลล่าร์จากญาติ ๆ และธนาคาร เอาสินทรัพย์ที่มีไปจำนองไว้ เพื่อนำเงินมาลงทุน และจ้างทีมงานระดับหัวกะทิ โดยที่ตัว Jeff เองก็ลงมือเขียนโปรแกรมเว็บไซต์ร่วมกับทีมงานด้วย และทุ่มเทเวลาให้กับเว็บไซต์ไปมากมาย กว่าจะเปิดตัวเว็บไซต์ได้ทั้ง Jeff และ Mackenzie ก็แทบจะกินนอนกันในโรงรถเลยทีเดียว

เปิดตัวเว็บไซต์ Amazon.com

16 กรกฎาคม 1995 Jeff Bezos ได้เปิดตัวเว็บไซต์ Amazon.com และเคลมตัวเองว่าเป็นร้านหนังสือออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพราะอะไร? เพราะ Jeff ติดต่อกับร้านขายส่งหนังสือหรือสำนักพิมพ์โดยตรง แรกเริ่มก็เฉพาะในอเมริกาก่อน ทำให้ Jeff สามารถขายหนังสือได้ทุกเล่มที่มี โดยไม่ต้องสต็อกหนังสือแม้แต่เล่มเดียว เมื่อมีคำสั่งซื้อผ่านเว็บไซต์ Jeff จะส่งออเดอร์นั้นไปยังร้านขายหนังสือหรือสำนักพิมพ์ทันที

Jeff เรียนรู้มาจากการทำงานที่เก่า เขาใช้ Email marketing ในการขายหนังสือ และด้วยระบบที่เขาสร้างขึ้น ทำให้สามารถนำเสนอหนังสือได้ตรงกลุ่มเป้าหมายส่งผลให้ยอดขายหนังสือของเขาเติบโตอย่างงดงาม โดย Amazon.com จำหน่ายหนังสือทั่วทั้งอเมริกาและอีก 45 ประเทศทั่วโลก จัดส่งภายใน 30 วัน ซึ่งใช้เวลาเพียง 2 เดือนเท่านั้น ยอดขายก็พุ่งไปถึง 20,000 ดอลล่าร์ต่อสัปดาห์(ราว ๆ 6 แสนกว่าบาท) โตเร็วกว่าที่ Jeff และทีมงานคาดการณ์ไว้ ทำให้มีนักลงทุนเข้ามาลงทุนในบริษัทเพิ่ม และในอีก 2 ปีต่อมา ในปี 1997 Jeff สามารถนำ Amazon เข้าตลาดหลักทรัพย์ได้เป็นผลสำเร็จ ในวันที่ 15 พฤษภาคม 1997 ราคา IPO คือ 18 ดอลล่าร์สหรัฐฯ มูลค่าที่ขายไปทั้งหมดคือ 54 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ (หลังจากผ่านไป 20 ปี ปัจจุบันราคาหุ้นของ Amazon คือ 967.99 ดอลล่าร์สหรัฐฯ ซึ่งมูลค่าของหุ้นเพิ่มขึ้นมากถึง 54 เท่า)

Jeff Bezos ลงทุนใน Google

Jeff Bezos ได้พบกับสองหนุ่มนักศึกษา คือ Larry Page และ Sergey Brin ผู้ก่อตั้ง Google ในปี 1998 ซึ่งในขณะนั้นโปรเจ็ค Google ที่ก่อตั้งโดยนักศึกษาสองคน ที่บอกว่าจะทำ เครื่องมือการค้นหาเว็บไซต์ (Search Engine) ที่ดีที่สุดในโลก ในขณะที่ Yahoo ครองโลกอยู่ คงต้องเป็นเรื่องที่บ้ามาก ๆ แต่จะด้วยความอัจฉริยะ หรือมองเห็นอนาคตก็แล้วแต่ Jeff ลงทุนใน Google ไป 250,000 เหรียญสหรัฐฯ แลกกับหุ้นจำนวน 3.3 ล้านหุ้น และการลงทุนในวันนั้นเอง ส่งผลให้เงิน 250,000 เหรียญสหรัฐฯ กลายเป็น 29,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในวันนี้

ในปี 1998 เช่นกัน Jeff Bezos เล็งเห็นโอกาสมากขึ้น จึงตั้งใจจะเพิ่มหมวดสินค้าใน Amazon และปรับเปลี่ยนโลโก้ของเว็บไซต์ โดยมีลูกศรลากจาก A ไปที่ตัว Z มีความหมายว่า คุณสามารถหาซื้อสินค้าที่มีได้ตั้งแต่ A ถึง Z เลยทีเดียว

ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง

ไม่ใช่ว่าการลงทุนของ Jeff Bezos จะทำกำไรได้ทั้งหมด และกฎ 80/20 ทำงานของมันอย่างเคร่งครัดเสมอ ในขณะที่ Jeff ใส่เงินลงทุนไปใน Google เพียง 250,000 เหรียญแล้วได้กำไรมหาศาล แต่กับ Junglee.com เว็บไซต์เปรียบเทียบราคาสินค้าในอินเดีย Jeff ลงทุนไปมากถึง 170 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ กลับเจ๊งยับไม่เหลือชิ้นดี ทั้ง ๆ ที่ช่วงแรก Junglee เป้นเว็บไซต์ฟอร์มดีที่เติบโตเร็วมากคล้ายกับ Amazon เลยทีเดียว การลงทุนครั้งนี้ของ Jeff เหมือนกับเผาเงินทิ้ง 170 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ไปในพริบตา

ต่อมาในปี 1999 Jeff มีความพยายามที่จะโค่น ebay ด้วยการเปิดตัวระบบประมูล ซึ่งลงทุนไปกับส่วนนี้ค่อนข้างมาก แต่ก็ล้มเหลว และไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ใช้ได้ ในปี 2000 สูญเงินอีกนับ 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ไปกับการลงทุนในเว็บไซต์ pets.com, gear.com ฯลฯ จนทำให้ผู้บริหารของบริษัทต้องจับ Jeff เข้าห้องเย็น ประชุมลับ และร่ายยาวความผิดพลาดในการตัดสินใจลงทุนของเขา ที่ทำให้บริษัทสูญเงินนับร้อยล้านดอลล่าร์

ในช่วงปี 1997-2000 เรียกว่ายุคฟองสบู่ดอทคอมในอเมริกา บริษัทเทคโนโลยีที่ประกอบกิจการบนอินเทอร์เน็ตทั้งหลาย เติบโตอย่างรวดเร็วและสวยหรู หลายบริษัทมีฟอร์มดี(ผู้ใช้เยอะ คนเข้าชมเยอะ – ตัวเลขเหล่านี้ปั่นกันได้) แต่ยังไม่มีรายได้ และแทบจะไม่มีแผนรายได้ด้วยซ้ำ แต่ด้วยกระแสที่กำลังมาแรง ประกอบกับ “ใคร ๆ ก็อยากลงทุน” จนดันให้มูลค่าของธุรกิจดอทคอมเหล่านี้พุ่งขึ้นสูงกว่าที่ควรจะเป็น และฟองสบู่ลูกนี้ก็แตกในเวลาอันรวดเร็วในปี 2000 นี้เอง และ Jeff Bezos ก็คือหนึ่งในนักลงทุนที่ตกเป็นเหยื่อของเหตุการณ์นี้เช่นกัน

เริ่มวางแผนการลับสู่ห้วงอวกาศ

ทำไมเศรษฐีแทบทุกคนอยากไปเที่ยวอวกาศ?  ไม่ว่าจะเป็น ริชาร์ด  แบรนสัน, อีลอน มัสก์ ฯลฯ เพราะพวกเขาต่างได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือหรือภาพยนต์อวกาศ และการเหยียบดวงจันทร์ครั้งแรกของโลก เช่นเดียวกับ Jeff Bezos ที่เป็นสาวกของ Star Trek ตั้งแต่วัยเด็ก และในปี 2000 นี้เอง เขาก็เริ่มวางแผนการก่อตั้งบริษัท Blue Origin ขึ้นมาเองอย่างลับ ๆ ในปี 2003 ก็เริ่มสร้างจรวดที่ขึ้นลงแนวดิ่ง และในปีเดียวกันนี้เอง Jeff ประสบอุบัติเหตุทางเฮลิคอปเตอร์ และตั้งแต่นั้นมาเขาไม่เคยขึ้นเฮลิคอปเตอร์อีกเลย

ก้าวสู่การเป็นเจ้าพ่อนวัตกรรม

ในปี 2004 เริ่มต้นโครงการลับที่จะทำอุปกรณ์ในการอ่านหนังสือแบบ E-Book ปี 2006 เปิดตัวบริการ AWS (Amazon Web Service) โดยเป็นบริการบนระบบคลาวด์เต็มรูปแบบ และในปี 2007 เขาก็ได้เปิดตัว Kindle อุปกรณ์ที่ใช้อ่าน E-Book คล้าย Tablet อย่าง iPad แต่ใช้อ่านหนังสืออย่างเดียว มีหน้าจอเป็นขาวดำ โดยออกแบบมาให้ถนอนสายตามากกว่าการอ่านบนจอแบบ iPad และมีขนาดกะทัดรัด บางเบากว่า iPad จนเกิดศึกชิงจ้าวตลาด E-book กันระหว่าง Amazon กับ Apple

ในปี 2010 ยอดขาย E-book เติบโตแซงหน้าหนังสือเล่ม ทำให้ Amazon เน้นขาย E-Book อย่างจริงจังมากขึ้น ในปี 2011 จน Amazon สามารถสร้างยอดขาย Kindle Fire ได้อย่างถล่มทลาย ซึ่งมียอดจองผ่านเว็บไซต์กว่า 2,000 เครื่องต่อชั่วโมง หรือประมาณ 50,000 เครื่องต่อวัน

เข้าซื้อ Washington Post

สิงหาคม 2013 Jeff Bezos ได้เข้าซื้อ Washington Post สื่อสิ่งพิมพ์อเมริกันที่มีประวัตศิศาสตร์มาอย่างยาวนานกว่า 136 ปี  ด้วยมูลค่าสูงถึง 250 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ซึ่งกลายเป็นเรื่องฮือฮามากว่า Jeff Bezos จะซื้อธุรกิจหนังสือพิมพ์ที่อยู่ในช่วงขาลงมาทำไม แต่ด้วยสินทรัพย์ของ Washington Post นี่เอง เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ในเดือนเมษายน ปี 2017 Jeff Bezos มีทรัพย์สินรวม มากที่สุดในโลก ชนะทั้ง บิล เกตส์ และ วอร์เรน บัฟเฟต์ (แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ก็ตามที)

ในปี 2013 เช่นกัน Amazon ประกาศแผนการส่งสินค้า ภายใน 30 นาที ด้วย “โดรน” ในโปรเจ็ค Amazon Prime Air

ปี 2014 ได้เปิดตัว Amazon Echo ลำโพงอัจฉริยะ มาพร้อมกับ Ai ที่ชื่อ Alexa ที่ทำงานได้เหมือน Siri บน iPhone

ปี 2015 ทดสอบจรวดและกลับมาลงจอดได้สำเร็จ หลังบินออกไปนอกโลกเกิน 100 กิโลเมตร และในปีเดียวกันนี้ Amazon ก็ได้เปิดร้านขายหนังสือแบบมีหน้าร้านจริง ๆ หลังจากที่ร้านค้าปลีกหนังสือของคู่แข่งได้ล้มหายตายจากไปจนหมดแล้ว

บิ๊กดีลครั้งประวัติศาสตร์ เข้าซื้อกิจการ Whole Foods Market

ในเดือน กรกฎาคม ปี 2017 นี้เอง Amazon เข้าซื้อกิจการของ Whole Foods Market ห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของอเมริกา ที่มีสาขามากกว่า 400 สาขา ทั่วสหรัฐฯ ที่มีสินค้าอุปโภค บริโภค รวมถึงของสดมากมายจำหน่าย ซึ่ง Amazon จะนำระบบการสั่งซื้อออนไลน์มาใช้กับ Whole Foods จะทำให้ลดขั้นตอนการจ่ายเงินลงไปได้อย่างมาก และถือเป็นการส่งสัญญาณของ Ecommerce ยุคใหม่ ที่เรียกว่า O2O (Online to Offline)

สรุปอุปนิสัยของ Jeff Bezos

  • Jeff Bezos เป็นคนที่มีความทะเยอทะยาน และมีความมุ่งมั่นสูงมาก สังเกตได้จากความคิดในวัยเด็ก ที่อยากเป็นนักบินอวกาศเหมือนกับฮีโร่ของเขา แต่จากความคิดของเด็กน้อยในวันนั้น เขาก็ยังคงมุ่งมั่นจะออกไปเที่ยวนอกโลกให้จงได้
  • ไล่บี้คู่แข่ง จนต้องยอมขายกิจการ โดย Amazon มีเป้าหมายอยู่อย่างเดียวคือ ทุกสินค้าที่ขายใน Amazon จะต้องมีราคาถูกที่สุด โดยมีครั้งหนึ่งที่ Jeff Bezos สนใจจะซื้อกิจการของบริษัท Quidsi เจ้าของเว็บไซต์ Diapers.com ที่ขายสินค้าแม่และเด็ก ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่เจ้าของ Quidsi กลับไม่ยอมขายให้ ทำให้ Jeff ใช้มาตรการลดกระหน่ำราคาสินค้าใน Amazon ของหมวดหมู่แม่และเด็ก โดยเช็คราคาของเว็บ Diapers.com ทุกตัว แล้วขายให้ถูกกว่า โดยเปิดหมวด Amazon Mom เป็นเซ็คชั่นเพื่อแม่และเด็กเน้นสินค้าราคาถูกและจัดส่งฟรี จน Quidsi สู้ไม่ไหว สุดท้าย Diapers.com ก็ตกเป็นของ Amazon ในที่สุด
  • แม้จะเป็นคนร่าเริง แต่ก็ปากร้ายและอารมณ์ร้ายสุด ๆ โดย Jeff Bezos จะไม่ยอมทนต่อความไร้สามารถของพนักงาน เขามักจะพูดแรง ๆ กับพนักงานเสมอ “นี่ขี้เกียจหรือไร้ความสามารถกันแน่” “เราต้องการความฉลาดของมนุษย์ในการแก้ปัญหานี้นะ”
  • ให้ความสำคัญกับลูกค้าเสมอ หากคุณเป็นลูกค้า Amazon และมีปัญหาเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ คุณสามารถส่งอีเมลไปได้ที่ jeff@amazon.com เขาจะส่งต่อไปให้ทีมงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมข้อความที่สั้นที่สุดคือ เครื่องหมาย? จากนั้นเขาจะไล่บี้หาคำตอบกับผู้รับผิดชอบในทุกครั้งที่มีการประชุม
  • สร้างกฎของตัวเอง – การประชุมของ Amazon จะไม่เหมือนบริษัทอื่น หากใครจะเสนอโครงการหรือไอเดียใด ๆ ต่อที่ประชุม ต้องเขียนรายงานมาให้จบภายในกระดาษ 6 แผ่น ที่นี่จะไม่นำเสนองานบน Power Point หรือ keynote แต่ผู้นำเสนอต้องเขียนเป็นรายงานที่เสนอจุดเด่น หรือปัญหา พร้อมวิธีแก้มาโดยละเอียด โดยผู้เข้าประชุมจะตั้งใจอ่านเนื้อหาและพิจารณาไปพร้อม ๆ กัน ซึ่ง Jeff เชื่อว่ามันดีกว่าที่จะมานั่งดูพรีเซนเทชั่นสวย ๆ หรือคำพูดเท่ ๆ
  • ชอบเสี่ยง – Jeff Bezos เชื่อว่าการได้ลองเสี่ยงแม้จะล้มเหลวก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ตั้งแต่ที่เขาลาออกจากงานประจำ ทั้งที่มีรายได้ดี และมั่นคงอยู่แล้ว เมื่อ 20 ปีก่อน การออกมาเปิดบริษัทเองถือว่าเสี่ยงมาก แต่เขาก็ทำให้บริษัทเติบโตทันยุคฟองสบู่ได้ และยังประคองให้รอดพ้นวิกฤติมาได้อีกด้วย และกับอีกหลายเรื่องที่ล้มเหลว เขาก้ยังคิดว่าอย่างน้อยก็ได้ทำและเรียนรู้ว่า ต่อไปไม่ควรทำสิ่งเหล่านั้น
  • อดทนต่อสู้ไม่ยอมแพ้ – ในช่วงปี 2000 ถือเป็นปีที่หนักหน่วงที่สุดปีหนึ่งในชีวิตของ Jeff Bezos แม้จะสูญเงินไปหลายร้อยล้านดอลล่าร์ แต่ Jeff ก็ไม่ยอมแพ้ และกลับมาลุยงานต่อ จนในที่สุดก็สามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาล

บทเรียนจาก Jeff Bezos อีกอย่างหนึ่งคือ จงฟังเสียงหัวใจตัวเองเป็นหลัก หากคุณศึกษาข้อมูลมาดีแล้ว จงอย่าถามความเห็นจากคนที่ยังไม่ได้ศึกษาเรื่องนั้น ๆ มา เพราะไม่มีวันที่เขาจะแนะนำอะไรคุณได้ เมื่อพวกเขารู้ในสิ่งนั้นน้อยกว่าคุณ หากในวันที่ Jeff จะลาออกเพื่อมาเปิดเว็บไซต์ขายของ แล้วเขาเชื่อคำทักท้วงจากหัวหน้างาน เชื่อคำค้านจากพ่อแม่ วันนี้เราก็คงไม่มีเว็บไซต์ที่ชื่อ Amazon.com

Jeff Bezos
Image credit: forbes

หากคุณต้องการประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ จงใส่ใจทุก ๆ รายละเอียดในธุรกิจของคุณ
– Jeff Bezos –

 

Resources: