3 บทเรียนธุรกิจจากการดูรายการ Shark Tank

Shark Tank เป็นรายการที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเข้ามาเสนอแผนธุรกิจเพื่อระดมทุนจากเหล่านักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ โดยเปรียบเทียบนักลงทุนมากประสบการณ์เหล่านี้เป็นเหมือนฉลามดุดัน คนเป็นล้าน ๆ จึงติดตามรายการนี้เพื่อดูความพยายามของผู้ประกอบการแต่ละคนที่ต้องการเอาชนะใจนักลงทุนอย่างสุดความสามารถ

นอกจากความบันเทิงระหว่างกลุ่มฉลามและความหวังของผู้ประกอบการแล้ว รายการนี้ยังเป็นห้องเรียนคุณภาพสำหรับศึกษาธุรกิจที่บ้าน เหมาะกับนักลงทุน ผู้ประกอบการ และกลุ่มนักเรียนนักศึกษาที่เรียนด้านธุรกิจโดยเฉพาะ ซึ่งมาตรฐานการตัดสินของกลุ่มฉลามสามารถสร้างบทเรียนชั้นยอดได้ 3 บทเรียนหลัก ดังนี้

1. พิสูจน์ให้ได้ว่ามีตลาดรองรับ

ผู้ประกอบการทุกคนที่ได้มายืนใน Shark Tank จำเป็นต้องมีไอเดีย มีตัวสินค้าหรือธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่หลายต่อหลายครั้ง ทางรายการพยายามบอกว่า คุณไม่ควรมองหานักลงทุนจนกระทั่งคุณสามารถขายสินค้าได้ นั่นหมายความว่า คุณต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าสินค้าของคุณมีความต้องการทางตลาด และมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายแน่ชัด โดยวิธีการพิสูจน์ตำแหน่งทางการตลาดมีหลายทาง ขึ้นอยู่กับแต่ละธุรกิจ ผู้ประกอบการบางรายเลือกให้ความสำคัญที่การขายออนไลน์ ในขณะที่บางรายเลือกหาผู้ค้าส่งเพื่อกระจายสินค้าต่อให้ผู้ขายปลีก

Joel Goldstein ประธานบริษัท Mr. Checkout Distributors เครือข่ายผู้ค้าปลีก และผู้ค้าส่งที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการจัดส่งสินค้าของว่าที่ผู้ประกอบการจาก Shark Tank มากมายไปยังร้านค้านับร้อย ๆ แห่ง ได้นำเสนอว่า “ยิ่งผลิตภัณฑ์ได้รับการพิสูจน์โดยการถูกผลักดันออกสู่ร้านค้าหลายแห่งมากเท่าไร ความเสี่ยงในความรู้สึกของผู้ลงทุนก็น้อยลงเท่านั้น”

Goldstein จึงให้ความสำคัญเรื่องการดันสินค้าออกสู่ร้านค้าให้เร็ว และการจัดเรียงสินค้าในตำแหน่งที่เหมาะสม เพราะจะมีผลต่อการขายโดยเขาบอกว่า ตำแหน่งและช่วงเวลาที่ถูกต้องที่ลูกค้าจะได้เห็นสินค้าเป็นสิ่งสำคัญ ลูกค้าต้องเห็นสินค้าคุณ ไม่งั้นคุณจะขายไม่ได้ ดังนั้น เมื่อจะผลิตสินค้าใหม่ ๆ คุณควรทดสอบหลายอย่าง เช่น การทดสอบการตลาดในร้าน การทดสอบเรื่องแพ็คเกจสินค้า และการเสนอขายสินค้า เป็นต้น

Goldstein บอกว่า การนำสินค้าไปวางบนชั้นขายเป็นอุปสรรคขั้นแรก คุณต้องคิดว่าจะวางสินค้ายังไงให้กลายเป็นแบรนด์ระดับประเทศ จากนั้นจะทำยังไงให้ผู้ค้าปลีกขายสินค้าได้มากขึ้น และอยู่ในรายการขายได้นานที่สุด และที่สำคัญคุณควรสร้างเสียงฮือฮาในตัวสินค้าให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะเวลาเสนอขายให้ผู้ขายปลีก คุณต้องทำให้เขาได้รู้จักสินค้าคุณก่อนที่คุณจะเดินเข้าไปหา ถ้าคุณตอบโจทย์ทุกอย่างนี้ได้ คุณจะผ่านด่านนักลงทุนไปอีกขั้นแน่นอน

2. เน้นที่จุดแข็งของคุณ

อย่าขยายกิจการเร็วเกินไปจนกว่าคุณจะทำจุดเริ่มต้นแรกให้ดีที่สุดได้ บางครั้งการขยายกิจการอย่างรวดเร็วไม่ใช่คำตอบ ความยึดมั่นในการพัฒนาคุณภาพแบรนด์ของตัวเองอาจพาคุณไปสู่ความสำเร็จได้ดีกว่า เมื่อคิดจะผลิตสินค้าก็ต้องพัฒนาไปให้ถึงที่สุด คุณต้องใส่ใจกับแบรนด์ และทำแบรนด์ของตัวเองให้แกร่งก่อนจะลงทุนอย่างอื่น หลายครั้งผู้ประกอบการไม่ผ่าน Shark Tank เพราะพลาดตรงจุดนี้

เหมือนกับกรณีของธุรกิจโบว์หูกระต่าย Mo’s Bows แม้ว่านักธุรกิจเด็กอย่าง Mo Bridges เดินออกจากรายการโดยไม่ชนะ เขาก็ได้รับบทเรียนเรื่องนี้โดยตรงจาก Daymond John

Mo Bridges ได้รับคำเตือนจาก Daymond John เรื่องแผนธุรกิจที่จะขยายไปเป็นธุรกิจเครื่องประดับชายอย่างเต็มรูปแบบ John บอกว่าการขยายกิจการอาจเร็วเกินไป Bridges ต้องโฟกัสที่ศักยภาพหลักของสินค้าแรกเริ่มที่เป็นของเขาจริงๆ คือ ‘โบว์หูกระต่าย

หลายครั้งนักลงทุนมักมองหาความหลงใหลในการทำธุรกิจจากผู้ประกอบการตอนนำเสนอแผนธุกิจ บางครั้งนักลงทุนต้องการลงทุนกับไอเดียแห่งอนาคต และความมุ่งมั่นในการทำธุรกิจที่มองเห็นโอกาสเดียวกันมากกว่าตัวสินค้า ดังนั้น คุณควรนำความหลงใหลที่เป็นเครื่องกระตุ้นความสำเร็จมาสร้างความประทับใจและเป็นจุดแข็งในช่วง 2-3 นาทีแรกของนำเสนอแผนธุรกิจ เพราะจะทำให้นักลงทุนมองเห็นว่าคุณมีความตั้งใจอยากทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จจริง ๆ ไม่ว่าคุณต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม

3. อย่าจำกัดตัวเอง

สินค้าที่แปลกใหม่และเติมเต็มช่องว่างในชีวิตได้มักจะประสบความสำเร็จ แต่ต้องไม่ใช่สินค้าที่จำกัดกลุ่มลูกค้าหรือการตลาดที่แคบเกินไป เพราะคุณจะเกิดปัญหาเรื่องการขยายกิจการและการทำกำไร ซึ่งความจริงการจำกัดกลุ่มลูกค้าแบบเฉพาะด้านเป็นเรื่องที่ดี แต่คุณต้องมั่นใจว่าการตลาดแบบเฉพาะด้านสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้หลากหลาย และอยู่ในตลาดได้นาน

การจำกัดกลุ่มลูกค้าแคบเกินไปก็เหมือนจำกัดศักยภาพการพัฒนาธุรกิจของตัวเอง เช่น Ledge Pillow หมอนที่ถูกออกแบบพิเศษเพื่อผู้หญิงที่ชอบนอนคว่ำ และเสริมหน้าอก แน่นอนว่าทาง Shark Tank มีคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าการตลาดของธุรกิจนี้แคบเกินไป เพราะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมีแค่ 3 อย่างเท่านั้น คือ 1. เป็นผู้หญิง, 2. ชอบนอนคว่ำ, และ 3. คนที่เสริมหน้าอก

นั่นหมายความว่า คุณจะไม่มีโอกาสขายสินค้าให้คนส่วนมากที่อยู่นอกเหนือเงื่อนไขสามข้อนี้เลย และทำให้คุณพลาดโอกาสทางธุรกิจอย่างน่าเสียดาย คุณจะตีกรอบให้ตัวเองทำไม ในเมื่อคุณสามารถเพิ่มการขายให้สูงกว่าที่เป็นได้

สุดท้าย

ศักยภาพในการกระจายสินค้าออกสู่ตลาด เป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของสินค้าใหม่ทุกชนิด ไม่ว่าคุณจะนำเสนอแผนธุรกิจต่อ Shark Tank หรือต่อหน้าที่ประชุมผู้บริหารในบริษัท คุณต้องแม่นเรื่องตัวเลข มีแผนโปรโมชั่นตามฤดูกาลอย่างชัดเจน และแผนการนำสินค้าเข้าสู้ร้านค้าปลีก

การบริหารการกระจายสินค้าสู่ร้านค้าปลีกที่กระจายอยู่ทั่วประเทศไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากคุณทำสำเร็จ มันจะให้ผลตอบแทนระยะยาวที่คุ้มเหนื่อย

Ref: Entrepreneur.com