AI คืออะไร ทำงานอย่างไร ช่วยงานคุณอย่างไรได้บ้าง

Facebook
Twitter
Email
Print

ปัญญาประดิษฐ์กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญ หลายคนอาจสงสัยว่า AI คืออะไร และส่งผลกระทบต่อเราอย่างไร บทความนี้มีคำตอบ

AI หรือ Artificial intelligence แปลว่า ปัญญาประดิษฐ์ เป็นศาสตร์ที่พยายามให้คอมพิวเตอร์คิดและทำงานอย่างมนุษย์ โดยเรียนรู้จากข้อมูลจำนวนมหาศาลเพื่อวิเคราะห์รูปแบบและสร้างการทำนาย AI ต่างจาก Machine Learning และ Deep Learning โดยเป็นคำที่ครอบคลุมเทคโนโลยีอัจฉริยะทั้งหมด และสามารถประยุกต์ใช้ได้หลากหลายด้าน

คุณอาจสนใจ:

AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์คืออะไร

ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI คือการจำลองกระบวนการคิดและการทำงานของสมองมนุษย์ด้วยเครื่องจักร โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย เช่น ระบบผู้เชี่ยวชาญ การประมวลผลภาษาธรรมชาติ การรู้จำเสียงพูด และการมองเห็นของคอมพิวเตอร์

หลักการทำงานของ AI

โดยทั่วไป AI จะทำงานโดยรับข้อมูลจำนวนมากที่ผ่านการกำกับ จากนั้นจะวิเคราะห์หาความสัมพันธ์และรูปแบบ แล้วนำมาใช้ทำนายผลลัพธ์ในอนาคต ยกตัวอย่างเช่น แชทบอทที่ฝึกด้วยข้อความจำนวนมาก ก็จะสามารถสนทนากับมนุษย์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ หรือระบบจดจำภาพที่เรียนรู้จากภาพนับล้าน ก็จะอธิบายวัตถุในภาพได้

ความแตกต่างระหว่าง AI, Machine Learning และ Deep Learning

แม้ AI มักถูกเข้าใจผิดว่าเหมือนกับ Machine Learning (ML) และ Deep Learning แต่จริงๆ แล้ว AI เป็นแนวคิดที่กว้างกว่า โดยครอบคลุมเทคโนโลยีอย่าง ML และ Deep Learning เอาไว้ด้วย ในขณะที่ ML คือการทำให้คอมพิวเตอร์เรียนรู้ได้เองโดยใช้อัลกอริทึมวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อหารูปแบบและทำนายผลในอนาคต ส่วน Deep Learning ซึ่งเป็นสาขาย่อยของ ML จะเลียนแบบการทำงานของสมองผ่านโครงข่ายประสาทเทียม อย่างไรก็ตาม Deep Learning ก็เป็นกุญแจสำคัญของความก้าวหน้าของ AI ยุคใหม่ เช่น ใช้ขับเคลื่อนรถยนต์ไร้คนขับ หรือ ChatGPT

ข้อดีและข้อเสียของ AI

การนำ AI มาใช้งานนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย โดยข้อดีของ AI ได้แก่

1) ทำงานที่ซับซ้อนและต้องใส่ใจรายละเอียดได้ดี เช่น ใช้ตรวจหามะเร็งได้อย่างแม่นยำ
2) ช่วยลดเวลาในการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่
3) ช่วยประหยัดแรงงานและเพิ่มผลผลิต
4) ให้ผลลัพธ์ที่สม่ำเสมอ
5) สามารถปรับแต่งให้เหมาะกับแต่ละบุคคลได้
6) ให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง

อย่างไรก็ตาม AI ก็มีข้อเสียบางประการ

1) มีต้นทุนสูงในการพัฒนา
2) ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญซึ่งหายาก
3) อาจให้ผลลัพธ์ที่ลำเอียงหากข้อมูลที่ใช้ฝึกมีอคติ
4) ยังไม่สามารถประยุกต์ความรู้ข้ามงานได้ดีนัก
5) มีความเสี่ยงที่จะแย่งงานมนุษย์ในอนาคต

Weak AI และ Strong AI

นักวิชาการบางท่านได้แบ่ง AI ออกเป็น Weak AI กับ Strong AI โดย Weak AI หรือ Narrow AI ถูกออกแบบมาเพื่อทำเฉพาะงาน เช่น หุ่นยนต์ในโรงงานหรือผู้ช่วยเสมือน ในทางตรงกันข้าม Strong AI หรือ AGI จะมีความสามารถในการคิดเทียบเท่ามนุษย์ สามารถเรียนรู้และประยุกต์ความรู้ได้อย่างกว้างขวาง แต่ปัจจุบันยังไม่มีใครพัฒนา AGI ได้สำเร็จ

การประยุกต์ใช้งาน AI

ปัจจุบัน AI ถูกนำไปใช้ในหลากหลายวงการ เช่น ทางการแพทย์ใช้ช่วยวินิจฉัยโรคและคัดกรองผู้ป่วย ทางธุรกิจใช้วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า ทางการศึกษาใช้ออกแบบบทเรียนและข้อสอบ ทางการเงินใช้คัดกรองสินเชื่อและจับการฉ้อโกง ทางบันเทิงใช้สร้างคอนเทนต์และเลือกโฆษณา และทางความปลอดภัยใช้ตรวจจับความผิดปกติและภัยคุกคาม เป็นต้น

ประเด็นจริยธรรมของ AI

อย่างไรก็ดี การใช้ AI ก็ยังมีข้อกังวลทางจริยธรรมที่ต้องพิจารณา เนื่องจาก AI อาจเรียนรู้ข้อมูลที่มีอคติ ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด ละเมิดลิขสิทธิ์ ทำให้คนตกงาน หรือนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลส่วนตัว แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ปัจจุบันยังมีกฎหมายควบคุม AI ค่อนข้างน้อย ทำให้เป็นเรื่องท้าทายในการกำกับดูแล AI ให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี

ประวัติความเป็นมาของ AI

หากย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์กว่า 70 ปีของ AI จะเห็นว่ามีการคิดค้นเทคนิคใหม่ๆ มาโดยตลอด ไล่ตั้งแต่ Turing Test, ระบบผู้เชี่ยวชาญ, โครงข่ายประสาทเทียม, การเรียนรู้เชิงลึก, ไปจนถึง Transformer และ Generative AI ในปัจจุบัน ซึ่งความก้าวหน้าเหล่านี้ส่วนหนึ่งเกิดจากความร่วมมือของผู้พัฒนาอย่าง Google, OpenAI, Nvidia ในการสร้าง AI โมเดลขนาดใหญ่ ควบคู่ไปกับการปรับแต่งฮาร์ดแวร์ให้เหมาะสมกับการประมวลผล AI มากขึ้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ทุกวันนี้บริษัทไอทียักษ์ใหญ่ต่างแข่งกันนำเสนอบริการ AI ผ่านระบบคลาวด์ พร้อมชูโมเดล AI ชั้นนำที่พัฒนาขึ้นเองมาเป็นจุดขาย เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าธุรกิจสามารถนำ AI ไปประยุกต์ใช้ได้ง่ายขึ้น

AI 4 ประเภท

นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ Arend Hintze จาก Michigan State University ยังได้จำแนก AI ออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่:

1) Reactive machines ซึ่งเป็น AI ที่ไม่มีความจำและถูกออกแบบมาให้ทำงานเฉพาะอย่าง เช่น Deep Blue ที่ใช้เล่นหมากรุก

2) Limited memory ซึ่งเป็น AI ที่มีความจำ สามารถใช้ประสบการณ์ในอดีตมาช่วยตัดสินใจ เช่น ใช้ในระบบขับขี่อัตโนมัติ

3) Theory of mind คือ AI ที่มีทักษะทางสังคมและเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานร่วมกัน

4) Self-awareness คือ AI ที่มีสำนึกรู้ตัว เข้าใจสภาวะของตนเอง แต่ก็ยังไม่มี AI ประเภทนี้ในปัจจุบัน

ตัวอย่างเทคโนโลยีที่ใช้ AI ในปัจจุบัน

1) ระบบอัตโนมัติ ที่เมื่อใช้ร่วมกับ AI จะยิ่งเพิ่มขอบเขตการทำงานให้กว้างขึ้น

2) การเรียนรู้ของเครื่อง ทั้งแบบมีผู้สอน ไม่มีผู้สอน และแบบเสริมกำลัง

3) การมองเห็นของเครื่อง ช่วยให้คอมพิวเตอร์สามารถอ่านภาพและนำไปวิเคราะห์ต่อได้

4) การประมวลผลภาษาธรรมชาติ เช่น ใช้กรองอีเมลขยะ แปลภาษา หรือวิเคราะห์ความรู้สึก

5) หุ่นยนต์ศาสตร์ ที่นำความรู้ทาง AI มาใช้ออกแบบหุ่นยนต์

6) ยานยนต์ไร้คนขับ ซึ่งอาศัย AI หลายแขนงในการทำงาน

7) Generative AI ที่สร้างข้อความ ภาพ เสียง หรือคอนเทนต์อื่นๆ จากคำสั่งได้อย่างน่าทึ่ง

สรุป

AI มีประโยชน์มากมายในการช่วยให้งานที่ซับซ้อนและใช้เวลามากทำได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น แต่ก็มีข้อกังวลเรื่องจริยธรรมที่ต้องคำนึงถึง เช่น ความลำเอียง การแย่งงาน และการใช้ในทางที่ผิด ซึ่งโลกปัจจุบันก็มีการพัฒนา AI กันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ที่แข่งกันนำเสนอบริการและโมเดล AI เพื่อให้ธุรกิจนำไปใช้งานได้ง่ายขึ้น

คุณอาจสนใจ:

แหล่งอ้างอิง:

บทความที่เกี่ยวข้อง

คอนเทนต์ครีเอเตอร์สหรัฐฯ เครียด! สภาสนับสนุนร่างกฎหมายแบน TikTok

TikTok และคอนเทนต์ครีเอเตอร์สหรัฐฯ เผชิญความตึงเครียดหลังสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ สนับสนุนร่างกฎหมายบังคับให้แยกตัวออกจาก ByteDance แห่งประเทศจีน

อ่านต่อ »

Y2K คืออะไร: ย้อนรอยตำนานหายนะคอมพิวเตอร์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง

Y2K คืออะไร? ย้อนรอยตำนานหายนะคอมพิวเตอร์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง และบทเรียนสำคัญสู่โลกอนาคต มนุษยชาติเรียนรู้อะไรบ้าง…

อ่านต่อ »

Machine Learning คืออะไร

Machine Learning กำลังก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงโลกของเรา ทั้งการทำงาน ธุรกิจ และชีวิตประจำวัน มาทำความรู้จักและเตรียมพร้อมสำหรับโลกแห่งอนาคตไปด้วยกัน

อ่านต่อ »

GPT-3 คืออะไร

GPT-3 ปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะ สร้างข้อความเสมือนมนุษย์เขียน เปิดโลกแห่งการสร้างสรรค์ไร้ขีดจำกัด คุณพร้อมสำรวจศักยภาพของมันหรือยัง!

อ่านต่อ »