ที่ผ่านมาผู้ประกอบกิจการ และคนขายของออนไลน์ไทยจำนวนไม่น้อยใช้ Facebook เป็นช่องทางหลักใน และบางคนอาจเป็นช่องทางเดียวในการค้าขาย หรืออาจเรียกได้ว่าฝากชีวิตและกิจการทั้งหมดของตนเองไว้กับ Facebook แล้วการทำแบบมันเสี่ยงต่อธุรกิจของคุณอย่างไร?
หากหยิบยืมแนวคิดการลงทุนมาประยุกต์ใช้กับบริบทนี้ คือ ‘อย่าใส่ไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว’ แม้ Facebook จะนับว่าเป็นสื่อการตลาดออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด ณ เวลานี้ เพราะอาศัยความเป็น Social network หรือ เครือข่ายสังคมออนไลน์ ที่ช่วยให้ เนื้อหา ของคุณเข้าถึงสายตาผู้คนอย่างรวดเร็ว แต่ผลลัพธ์ของมันก็จางหายจากสื่ออย่างรวดเร็วเช่นกัน โดยเนื้อหาต่าง ๆ ที่ถูกเผยแพร่บน Facebook จะมีอายุเฉลี่ย 24 – 48 ชั่วโมง ก่อนที่จะเริ่มซา และหายไปจากพื้น Newsfeed
แต่ในทางกลับกัน หากนำเนื้อหาต่าง ๆ เผยแพร่ลงในเว็บไซต์ของคุณเอง เมื่อเนื้อหาเหล่านั้นติดหน้า 1 Google แล้วก็จะคงอยู่อย่างนั้นไปหลายปี บางกรณีก็อยู่ยาวนานเป็นสิบปี และมีผู้เยี่ยมชมเข้าไปยังเว็บไซต์แบบ Passive ทุกวันตราบเท่าที่มันยังคงถูกหาเจอในหน้าแรก Google
การตลาดบน Google : เหนื่อยชั่วคราว สบายชั่วโครต
ขอยืมชื่อหนังสือของ คุณพอล ภัทรพล ศิลปาจารย์ มาตั้งชื่อหัวข้อนี้ — เพราะการทำการตลาดเพื่อให้เนื้อหา และเว็บไซต์ของคุณติด Google หน้าแรกเป็นงานหนัก และใช้เวลามากในช่วงแรก แต่เมื่อเนื้อหาต่าง ๆ ของคุณทยอยติด Google ภายใต้คีย์เวิร์ดที่มีคนค้นหาเป็นประจำแล้วละก็ชีวิตคุณจะสุขสบายไปอีกนาน
เพราะคุณจะได้ทราฟฟิกเข้าเว็บไซต์อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี หรือยาวไปอีกหลายปีโดยที่คุณแทบไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว ในขณะที่การโพสต์ Content บนโซเชียลมีเดียทุกชนิดไม่ว่า Facebook หรือ Instagram คุณต้องโพสต์ทุกวันเพื่อรักษา Traffic ให้หมุนเวียนอยู่บนแฟนเพจของคุณ หยุดโพสต์เมื่อไร เงียบเมื่อนั้น
กรณีเว็บไซต์ CEOblog เป็นตัวแทนขาย A2Hosting ได้มีการสร้างชุดบทความที่ออกแบบมาให้ติด Google search engine จำนวนหนึ่ง หลังจากชุดบทความเผยแพร่ออกไป บทความชุดนั้นสามารถนำพาคนมาสมัครซื้อบริการ A2Hosting อย่างต่อเนื่องทุกเดือนและเกิดเป็นรายได้ Passive income ในที่สุด — ทำไมการตลาด Google จึงทำเช่นนั้นได้?
Push และ Pull Strategy คืออะไร
Facebook และโซเชียลมีเดียต่าง ๆ คือ Push strategy หรือการตลาดเชิงรุก โดยการสร้าง Content หรือสื่อโฆษณาแล้วนำไปโยนใส่กลุ่มคนให้เขาเกิดการรับรู้ (Awareness) เน้นการถูกเห็นเยอะ ๆ เพื่อหวังดึงกลุ่มคนที่สนใจในเรื่องนั้นพอดีให้หันมาติดตามคุณ
Google เป็น Pull Strategy คนที่เข้าเว็บไซต์ Google เพราะมีเป้าหมายที่จะค้นหาสิ่งที่เขาต้องการอยู่แล้ว คุณจึงมีหน้าที่สร้าง Content ที่ตรงกับความต้องการของเขา ใส่ Keyword ที่กลุ่มเป้าหมายใช้ค้นหา ฯลฯ เพื่อทำให้คนพิมพ์ค้นหาใน Google แล้วเจอบทความจากเว็บไซต์และแบรนด์ของคุณภายในไม่เกินหน้าแรกของ Google — ศาสตร์นี้เรียกว่า Search Engine Optimization หรือ SEO
หลักคิดในการทำเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรก Google
Google มีเงื่อนไขที่เรียกว่า Ranking Factors หรือ ปัจจัยในการทำอันดับ โดยเว็บไซต์ Backlinko พวกเขาค้นพบอย่างน้อย 200 ปัจจัย! แต่ก็ไม่ต้องตกใจไป เพราะในทางปฏิบัติคุณไม่จำเป็นต้องทำตามทุกอย่าง แค่ทำเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับพันธกิจของ Google ไม่กี่อย่าง เว็บไซต์ของคุณก็สามารถติดหน้าแรก Google ได้ไม่ยาก
ภารกิจของ Google ระบุไว้ในเว็บไซต์อย่างชัดเจนว่า ‘Our mission is to organize the world’s information and make it universally accessible and useful’ แปลว่า ‘พันธกิจของเราคือการจัดระเบียบข้อมูลในโลกนี้และทำให้เข้าถึงได้ง่ายในทุกที่และมีประโยชน์’
Google ให้ความสำคัญสูงมากกับ Usefulness (ประโยชน์) และ Relevancy (ตรงใจ) ของเนื้อหาที่จะนำมาแสดงผลการค้นหาต่อผู้ใช้งานอย่างมาก ดังนั้นหลักคิดขั้นพื้นฐานสำหรับคนต้องการทำเนื้อหาให้ติด Google คือ ทำเนื้อหาคุณภาพดีไว้ก่อน ส่วนเรื่อง On-page/ Off-page optimization เป็นเรื่องที่ตามมาทีหลัง
เนื้อหาคุณภาพดีเป็นอย่างไร
การที่คุณจะเข้าใจ เนื้อหาคุณภาพดี ได้นั้นคุณต้องเข้าใจ เนื้อหาคุณภาพต่ำ ให้ดีเสียก่อน เนื้อหาคุณภาพต่ำได้แก่…
1. เนื้อหาที่คัดลอกมาจากเว็บไซต์อื่น
หรือ Duplicate Content เป็นสิ่งที่ Google ไม่อาจยอมรับได้ แม้ระบบตรวจสอบของ Google ยังไม่สมบูรณ์แบบในการตรวจจับ Duplicate Content ทุกชิ้นบนโลกออนไลน์ แต่หากคุณเกิดแจ็กพ๊อตถูก Google ตรวจจับได้ บทความของคุณจะถูกลดหรือลบอันดับออกไปจาก Google และ ผู้อ่าน ก็จะหมดความเชื่อถือเมื่อรู้ว่าเว็บไซต์ของคุณคัดลอกเนื้อหามาจากผู้อื่นเช่นกัน
2. เนื้อหาลวก ๆ สั้น ๆ
ข้อนี้ต้องขยายความเพิ่มเติมว่า 1) ไม่นับเว็บข่าว เว็บข่าวเป็นไปเพื่อการรายงานแบบบอกให้รู้ หรือแจ้งให้ทราบ ไม่ได้เป็นไปเพื่อให้ Information เชิงลึกไปกว่านั้น
ในทางเทคนิค บทความที่มีเนื้อหาสั้น ๆ สามารถทำการ Optimize ให้ติด Google search engine ได้ และการติด Search engine ไม่ได้แปลว่าเนื้อหานั้นมีประโยชน์ต่อผู้อ่านเสมอไป ดังนั้นเมื่อคนค้นหาและมาเจอบทความสั้น ๆ เพราะถูก Optimize มาดี แต่ไม่ตอบโจทย์ในด้านการให้ข้อมูลที่พวกเขามองหา ความ Trust ก็จะไม่มี หรือเรียกว่า เป็นบทความหรือเป็นเว็บไซต์ที่ไม่มี Authority ในสิ่งที่นำเสนอ
ดังนั้น หากคุณตั้งใจเขียนบทความที่ให้ข้อมูลที่มีประโยชน์อย่างเต็มที่และมุ่งเน้นให้ผู้อ่านสามารถนำข้อมูลไปใช้ได้จริง บทความของคุณจะมีความยาวไปโดยปริยาย โดยความยาวในที่นี้จะเฉลี่ย 1,000 คำขึนไป ในขณะที่บทความข่าวจะเฉลี่ย 300 – 500 คำ
3. เนื้อหาที่พยายาม Manipulate ระบบ หรือ ผู้อ่าน
Manipulation ในกรณีนี้ทำได้ 2 แบบ ได้แก่
3.1) Manipulate ระบบ โดยการหาช่องโหว่ของเงื่อนไขในการทำอันดับบน Google มาหลอก Google อีกทีหนึ่ง อาทิ หนึ่งในปัจจัยการทำอันดับบน Google คือ Keyword และคุณก็ทำบทความสั้น ๆ ขึ้นมาแล้วพิมพ์ Keyword นั้น ๆ ซ้ำ ๆ ลงไปในบทความ แบบนี้คือตัวอย่างของการ Manipulate ระบบด้วยการทำ Keyword stuffing ซึ่งสมัยก่อนใช้ได้ผล แต่ปัจจุบัน Google เขียนอัลกอริธึมออกมาสกัดพฤติกรรมนี้สำเร็จแล้ว
3.2) Manipulate ผู้อ่าน โดยมากนิยมทำบน Facebook อาทิ บทความที่เขียนหัวข้อข่าว
- “ชาวบ้านช็อก หลังเจอหนุ่มสาววัยรุ่นอายุ 15 กำลังทำสิ่งนี้”
- “อึ้ง! ดาราช่องน้อยสีทำสิ่งนี้ต่อหน้าผู้กำกับดังได้อย่างไร ”
พฤติกรรมนี้เรียกว่า Click bait หรือ หัวข้อล่อให้คลิ๊ก ซึ่งการออกแบบหัวข้อล่อให้คลิ๊กนั้นมีประโยชน์ แต่ถ้าสุดโต่งเกินไปจะกลายเป็น Manipulate ผู้อ่าน ซึ่งอาจถูกแบนจากทั้งทางฝัง Facebook และ Google พร้อมกัน
นี่คือ 3 บริบทหลัก ๆ (จากหลายบริบท) นำมาอธิบายให้เข้าใจภาพใหญ่ของคำว่า เนื้อหาคุณภาพต่ำ อันนำไปสู่วิธีทำ SEO ที่ให้ผลลัพธ์ในระยะสั้น ๆ แต่ส่งผลเสียหายต่อเว็บไซต์ของคุณในระยะยยาว
แนวคิดการทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับอย่างยั่งยืน
1. เป็น Unique Content
คิดใหม่ ออกแบบใหม่ เขียนขึ้นใหม่โดยไม่ซ้ำใครซึ่งกรณีนี้อาจจะเป็นเรื่องยาก เพราะบนโลกนี้แทบไม่มีอะไรใหม่อีกต่อไป อีกวิธีที่ง่ายกว่าและไม่ผิดกฏิกา คือ Rewrite เป็นการนำเนื้อหาต้นฉบับมาเป็นหัวข้อไอเดียที่จะเขียน จากนั้นให้หาบทความหัวข้อเดียวกันสัก 3 – 4 แหล่ง มาศึกษาเพื่อทำความเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดเสียก่อน จากนั้นนำข้อมูลมาออกแบบโครงสร้างใหม่ และ Rewrite เป็นบทความใหม่ในสไตล์การเล่าเรื่องของคุณเอง พร้อมให้เครดิตในฐานะที่พวกเข้าเป็น Reference หรือ แหล่งที่มาเชิงอ้างอิงข้อเท็จจริง
2. มีความยาวเพียงพอที่ผู้อ่านจะได้รับประโยชน์เมื่ออ่านจบ
สถิติจาก serpIQ Analyzed เผย 10 อันดับบทความติด Search Engine จาก 20,000 คำค้นหาที่นำมาทำกรณีศึกษาครั้งนี้พบว่า บทความอันดับ 1 มีจำนวนคำโดยเฉลี่ย 2416 คำ และบทความทั้หติดอันดับ 10 มีจำนวนคำเกิน 2,000 คำทั้งสิ้น
3. หัวข้อ Creative Click bait : CEOblog ไม่ปฏิเสธหัวข้อบทความที่มีลักษณะเป็น Click bait เพราะหากคุณทุ่มเทเขียนบทความออกมาอย่างดี แล้วมาตกม้าตายเพราะหัวข้อที่แสนน่าเบื่อจนไม่มีคนคลิ๊ก บทความนั้นจะเสียของไปเลย ดังนั้นคุณจำเป็นต้องทำ Click bait แต่จงทำอย่างสร้างสรรค์และตรงกับข้อเท็จจริงที่คุณจะนำเสนอ ยกตัวอย่าง
- ‘ส่อง 7 เว็บไซต์ไม่มีสินค้า มีแต่บทความ ก็ทำเงินเป็นล้าน’
- ‘4 ไอเดียสร้างรายได้ออนไลน์ ไม่ต้องมีสินค้าเป็นของตัวเอง’
- ‘Domain Name แพงสุดราคาเท่าไร: เผย 20 โดเมนเนมราคาแพงที่สุดในโลก’
หัวข้อบทความที่ชวนสงสัยและเชิญชวนให้คน Click เข้าไปหาคำตอบด้านใน โดยแต่ละบทความมีรายละเอียดเชิงลึกไม่น้อยกว่า 1,000 คำ อ่านจบได้ข้อมูลเต็มอิ่มแน่นอน ฉะนั้นแม้จะเป็น Click bait แต่เป็น Click bait เชิงสร้างสรรค์และเนื้อหาด้านในตรงปกทุกอย่าง
สองปัจจัยตลอดกาลทำ SEO เว็บไซต์ติดหน้าแรก Google
Backlink
คือ การที่คนนำลิงค์ของบทความภายในเว็บไซต์คุณไปแชร์ต่อเพื่อเป็น Reference ประกอบสิ่งที่เขากำลังอธิบาย หรือการให้ Credit กลับมายังเว็บไซต์ของคุณ ได้แก่ นำไปแชร์ในกระทู้เว็บบอร์ดประกอบการเล่าเรื่องของเขาในกระทู้นั้น ๆ หรือ การนำไปแชร์ในบทความในเว้บไซต์ของขาเองเพื่ออ้างอิงว่าได้รับที่มาจากคุณ หรือ การนำไปแชร์ใน Facebook ของเขา เป็นต้น ฯลฯ
นอกจากนั้นคุณยังสามารถเพิ่มจำนวน Backlink โดยการติดต่อขอแลกการแชร์ Backlink กับเว็บไซต์อื่น ๆ รวมไปถึงการใช้เครื่องมือขยายจำนวน Backlink ของคุณออกไปจำนวนมาก เช่น Link farming และ Blog networks ซึ่งวิธีหลัง ๆ จะเป็นการ Manipulate ระบบและอาจถูก Google แบนได้
ดังนั้นการทำให้คนแชร์ต่อโดยธรรมชาติ คือ วิธีที่ถูกต้องและปลอดภัย และหนทางเดียวที่ผู้คนจะแชร์ต่อโดยธรรมชาติ คือการทำบทความคุณภาพออกมาอย่างสม่ำเสมอ
Keyword
คือ คำค้นหา ที่คนพิมพ์ลงไปใน Google search engine หากคุณเขียนบทความที่มีคำศัพท์หรือรูปประโยค ตรงกับ หรือ ใกล้เคียง คำค้นหา Google ก็จะดึงบทความนั้น ๆ ของคุณไปแสดงผล
ยกตัวอย่างคำว่า ‘ประวัติ Elon’
เว็บไซต์ CEOblog ทำอันดับ 1 บน Google ตามมาด้วย WikiPedia
เมื่อเจาะลึกลงไปอีกนิดโดยใช้เครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์คู่แข่งที่ CEOblog ใช้เป็นประจำอย่าง Ahrefs ในการวิเคราะห์พบว่าแม้บทความ ประวัติ Elon ของ CEOblog จะมี Backlinks เพียง 2 ในขณะที่ WikiPedia มากกว่า 100 Backlinks แต่จำนวนคำของ CEOblog มีสูงถึง 2710 คำในขณะที่ WikiPedia มีเพียงไม่ถึง 500 คำ และรวมไปถึงจำนวนแชร์ของ CEOblog หากนับทั้งแชร์ตรงจากเว็บไซต์ และแชร์ต่อ ๆ กันไปจากเฟซบุ๊ครวมแล้วไม่น้อยกว่า 10,000 แชร์ อันเป็น Social proof อย่างดีสำหรับกรณีนี้
CEOblog
WikiPedia
อย่างไรก็ดี
ตัวอย่างดังกล่าวเป็น Keyword สั้น ๆ กว้าง ๆ ซึ่งอาจจะทำให้เว็บไซต์และบทความของคุณติดอันดับต้น ๆ ยากหน่วย โดยเฉพาะใน Keyword ที่มีการแข่งขันสูง อย่าง เสื้อผ้าแฟชั่น ครีม อาหารเสริม ดังนั้นหากคุณต้องการติดอันดับดี ๆ คุณอาจต้องใช้กลยุทธ์ Long Tail Keywords หรือ คีย์เวิร์ดยาว ๆ ที่มีการจำเพาะเจาะจงลงไปอีกขั้น ยกตัวอย่างเช่น
Keyword : ‘วิธีทำ Dropship ‘ เป็น Keyword สั้น ๆ กว้าง ๆ และการแข่งขันสูงพอสมควร มีคนทำบทความไว้เยอะแล้ว
Keyword ‘วิธีใช้ WooCommerce Plugin ทำ Dropship’ เป็นคำค้นหาที่ยาวและเฉพาะเจาะจงถึง ‘ประเภท-โมเดล-วิธีการ’ ใช้ผลิตภัณฑ์ หากคุณเขียนบทความสินค้าที่เฉพาะเจาะจงมาก ๆ ก็มีโอกาสที่ลูกค้าทีมองหาสินค้าและบริการที่กำหนด Specification แบบนี้จะเจอเว็บไซต์ของคุณ อย่างไรก็ดีก็ควรสอดคล้องกับ จำนวนการค้นหาด้วย เพราะหากเฉพาะเจาะจง แต่ไม่มีปริมาณการค้นหา หรือ Search volume ก็เปล่าประโยชน์เช่นกัน
กรณี Woo Dropship นั้นเป็นคำที่มี Search Volume หรือ ปริมาณการค้นหาทั่วทั้งประเทศไทยไม่มาก Keyword นี้นำ Traffic เข้าเว็บไซต์ CEOblog ด้วยคีย์นี้เพียงวันละ 10 – 30 คนเท่านั้น จึงอาจไม่ใช่คำที่เหมาะกับการทำการตลาดด้วยวิธี Google SEO แต่อาจจะเหมาะกับการทำเนื้อหาและโฆษณาลงบน Facebook / Facebook Ads
สรุป
นี่คือการทำความเข้าใจเรื่อง SEO ที่มุ่งเน้นการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง Google และ Content marketing เป็นหลัก หากท่านต้องการศึกษาเรื่อง SEO ในภาคเทคนิคในระดับลึกขึ้น พร้อมกับค้นพบ 5 ปัจจัยการทำอันดับบน Google แบบเต็ม ๆ สามารถศึกษาได้ที่บทความ SEO คืออะไร : สรุปวิธีทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับ Google แบบเข้าใจง่าย ทำตามได้ทันที