ก่อนหน้านี้คุณได้รู้จักวิธีสร้างรายได้จากเว็บไซต์ที่ไม่ใช่การขายของออนไลน์ทั่ว ๆ ไปกันไปแล้ว ได้แก่ รายได้จากค่าโฆษณา, รายได้จากค่านายหน้า, และรายได้จากการขายเว็บไซต์และโดเมนเนม แต่ก่อนที่ เว็บไซต์ ของคุณจะสามารถสร้างรายได้หรือมีมูลค่าเพิ่มเป็นหลายล้านบาท เว็บไซต์ของคุณจะต้องผ่านกระบวนการอะไรบ้าง?
ในตอนนี้จะไปเรียนรู้ 4 ปัจจัยหลักที่ทำให้เว็บไซต์มี รายได้ และ มูลค่าสูง ได้แก่ Domain name, Content, Traffic, และ List
1. Domain Name
โดเมนเนม เป็น สินทรัพย์ดิจิทัล ที่เปรียบเสมือนที่ดิน, ที่ดิน 1 ผืนมีเจ้าของได้เพียงคนเดียว ผลิตซ้ำไม่ได้ ใครอยากได้ต้องซื้อต่อหรือเช่าต่อจากเจ้าของคนเดิม — โดเมนเนมก็เช่นกัน เพียงแต่สัญญาการถือครองโดเมนขั้นต่ำเริ่มต้นที่ 1 ปี
โดเมนเนมสวย ๆ เมื่อถูกซื้อไปแล้ว คือ จบ!
คุณอาจต้องขอซื้อต่อในราคาแพงมาก ๆ ซึ่งเจ้าของเดิมอาจจะยอมขายให้หรือไม่ขายให้ก็ได้ โดเมนเนมมือแรกมักมีราคาไม่แพง โดยมากเริ่มต้นที่ปีละ 10 – 20 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 300 – 600 บาทต่อปี แต่หากโดเมนเนมนั้นสวยมากจริง ๆ อาจมีคนอยากซื้อต่อในราคาหลักแสน หรือหลักล้านบาท
กรณีศึกษาสุด Classic ได้แก่ โดเมนเนม 3 อันดับราคาแพงที่สุดเท่าที่ยังมีการบันทึกไว้ ได้แก่ Diamond.com ราคา 7.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ, Fund.com ราคา 9.99 ล้านเหรียญสหรัฐฯ, และ Sex.com ราคา 13 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ส่วนข้อมูลใหม่ ได้แก่ โดเมนเนม Facebook.com ราคา $200,000 และ FB.com ที่ Mark Zuckerberg ซื้อต่อจากเจ้าของเดิมซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ ในปี 2010 ใน ราคาสูงถึง 8.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
โดเมนเนมที่มีโอกาสมีมูลค่าสูง ได้แก่ สั้น จำง่าย สะกดง่าย โดยมากไม่เกิน 3 พยางค์ แต่ถ้า 2 พยางค์ได้ยิ่งดี และจะยิ่งดีหากเป็นนามสกุล Dot Com — ซึ่งโดเมนลักษณะนี้หาจดมือหนึ่งยากมากในปัจจุบัน
อ่านบทความ 20 อันดับโดเมนราคาแพงที่สุดในโลก ที่นี่
2. Content
คอนเทนต์ หรือ เนื้อหาของเว็บไซต์ ได้แก่ บทความ, รูปภาพ, อินโฟกราฟฟิก, ออดิโอ, และวีดีโอ เหล่านี้คือคอนเทนต์ — คอนเทนต์ เป็น หัวใจสำคัญของทุกเว็บไซต์ เป็นสิ่งที่จะดึงดูดผู้เยี่ยมชมใหม่ รักษาฐานผู้เยี่ยมชมเดิม และทำให้คนกลับมาหรือแม้กระทั่งหมุนเวียนใช้ชีวิตอยู่ภายในเว็บไซต์ดังกล่าว
เว็บไซต์ AdWeek ได้เก็บสถิติของคนอเมริกันในปี 2016 ว่าใช้เวลาอยู่บนเว็บไซต์ Facebook เฉลี่ย 35 นาทีต่อวัน, ในขณะที่ใช้เวลาบน Youtube เฉลี่ย 40 นาทีต่อวัน และระยะเวลาที่คนใช้ชีวิตอยู่บนเว็บไซต์นานขึ้นย่อมส่งผลต่อโอกาสในการ มองเห็น และ คลิก ที่ป้ายโฆษณาที่ติดอยู่บนเว็บไซต์เหล่านั้นนั่นเอง
3. Traffic
ทราฟฟิก คือ ปริมาณคนที่เยี่ยมชมเว็บไซต์โดยแบ่งเป็น สถิติรายวัน, รายสัปดาห์, รายเดือน, และรายปี โดยที่มาของทราฟฟิก ได้แก่ Direct traffic, Search traffic, Social traffic, Paid traffic, และ Referral traffic
ที่มาของทราฟฟิกที่มั่นคงที่สุดของเว็บไซต์ ได้แก่ Direct traffic หรือ ทราฟฟิกที่คนพิมพ์ชื่อเว็บเข้ามาตรง ๆ และ Search traffic หรือ ทราฟฟิกที่คนค้นหาเจอบน Search engine
ปริมาณทราฟฟิกส่งผลโดยตรงต่ออัตรา Click Through Rate ของเว็บไซต์ ไม่ว่าจะ Click ที่ป้ายโฆษณาของ Advertiser ของคุณ หรือแม้แต่การ Click ที่ป้ายโฆษณาสินค้าภายในเว็บไซต์ของคุณ
4. List
List ในที่กำลังพูดถึง Email list หรือ รายชื่ออีเมล์ของ ผู้มุ่งหวัง และ ลูกค้า ซึ่งคุณอาจเก็บสะสมผ่านระบบ E-Commerce Shopping Cart ของร้านค้าออนไลน์ของคุณ หรือ เก็บผ่านกิจกรรม List building อาทิ การมีป้ายโฆษณาแจก E-Book หรือ Coupon Code ฟรี เพื่อขอแลกกับอีเมล์ของพวกเขาติดไว้ภายในเว็บไซต์ของคุณ
ในกรณีที่คุณสร้าง List ที่มีความละเอียด เช่น นอกจากช่องทางการติดต่อผู้มุ่งหวังแล้ว หากคุณสะสมประวัติการซื้อสินค้า และพฤติกรรมการซื้อสินค้าของลูกค้าเอาไว้ทั้งหมดอย่างละเอียดและจำนวนมากจนกลายเป็น Database ขนาดใหญ่ ข้อมูลเหล่านั้นจะมีความสำคัญต่อการวางแผนธุรกิจและการตลาด รวมไปถึงการเสนอขายสินค้าต่าง ๆ ในอนาคตโดยที่คุณแทบไม่ต้องพึ่งพา Facebook Ad
ถ้าคุณมี List ในมือ ต่อให้พรุ่งนี้ Facebook หายไปจากโลกออนไลน์ ธุรกิจคุณก็ไม่กระทบ!
สุดท้าย คุณรู้หรือไม่? ธุรกิจ Tech Startup เช่น เว็บไซต์ ซอฟต์แวร์ และแอปพลิเคชั่น ที่มี Valuation ธุรกิจสูง ๆ ต่อให้กิจการยังไม่มีกำไร ส่วนหนึ่งก็เพราะธุรกิจเหล่านั้นถือครอง User database จำนวนมหาศาลไว้ในมือนั่นเอง — นี่คือสาเหตุที่ List คือหนึ่งในสุดยอดสินทรัพย์ดิจิทัลของธุรกิจคุณ
Source : https://www.adweek.com/digital/mediakix-time-spent-social-media-infographic/