Step-by-Step วิธีเริ่มต้นทำเงินจากอาชีพ ‘ขายความรู้’ บนโลกออนไลน์

เมื่อพูดถึงไอเดียการทำธุรกิจ คนมักคิดถึงการสรรหาสินค้าประเภท Physical products มาขายเป็นอันดับต้น ๆ Physical products เป็นสินค้าที่มีตัวตน อาทิ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ซองโทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ ไปจนถึงอาหารและขนม เป็นต้น ฯลฯ แต่น้อยคนที่จะนึกถึงสินค้าอีกประเภทซึ่งสามารถทำเป็นธุรกิจ และมีอัตรกำไรที่ค่อนข้างสูง นั่นคือ Information products

Information Products คืออะไร

Information แปลว่า ข้อมูล และ Information products คือ สินค้าที่มุ่งเน้นการให้ข้อมูลความรู้ หรือที่เรามักคุ้นเคยกันดีในรูปแบบของ ชุดผลิตภัณฑ์ How-to ต่าง ๆ ในรูปแบบของ หนังสือ ซีดีออดิโอ วีดีโอคอร์ส และสัมมนาสด

บุคคลที่ประกอบอาชีพผลิตและจำหน่ายสินค้า ข้อมูลความรู้ เรียกว่า Infopreneur ในขณะที่อุตสาหกรรมนี้เรียกว่า Information business หรือบางครั้งก็เรียกว่า Education business ส่วนความแตกต่างนั้นต่างกันเล็กน้อย โดย Information นั้นมุ่งไปที่การให้ข้อมูลความรู้ อาทิ บทความและสารคดีต่าง ๆ ที่บรรยายเพื่อให้ผู้เสพได้เข้าถึงข้อมูลเพื่อเพิ่มพูลปัญญา ประดับเป็นความรู้ โดยจะนำไปใช้งานหรือไม่ก็ตาม

ส่วน Education เป็นการศึกษา มุ่งเน้นให้คนเสพข้อมูลเกิดความล่วงรู้และเข้าใจในศาสตร์ที่ศึกษาจนแตกฉานถึงขั้นนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิต การงาน และธุรกิจได้

ตัวอย่างผู้ประกอบอาชีพ Information business ธุรกิจ ‘ขายความรู้’

Robert Kiyosaki

โด่งดังจากผลงานหนังสือซีรีย์ Rich Dad’s โดยเล่มที่ขายดีที่สุด ได้แก่ Rich Dad Poor Dad ยอดขายมากกว่า 26 ล้านเล่ม และติดอันดับบน New York Times’ Best Seller ยาวนาน 3 ปี หลังจากนั้นก็มีหนังสือซีรีย์ต่าง ๆ ภายใต้แบรนด์ Rich Dad’s ออกมาหลายสิบเล่ม ทั้งรูปแบบ Physical book, Digital book, Audio งานสัมมนา เวิร์คช็อป ฯลฯ

Brian Tracy

อดีตนักขายท็อปเซลส์ที่ก้าวหน้าในงานอย่างรวดเร็ว ผันตัวมาพัฒนาธุรกิจการสอนและกลายเป็นหนึ่งในเจ้าพ่อ Information business แนวหน้าของโลกด้วยผลิตภัณฑ์ข้อมูลความรู้หลากหลายแนว ได้แก่ สอนการขาย สอนพัฒนาตัวเอง สอนทำ Information business มีสินค้าในรูปแบบ หนังสือ ออดิโอ วีดีโอ สัมมนา เวิร์คช็อป โค้ชชิ่ง เรียกว่าครบเป็นอาณาจักร Information business เต็มรูปแบบ

Brendon Burchard

หลังรอดชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เขาเกิดแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้อื่นและผันตัวไปเป็นโค้ชด้านการพัฒนาตัวเอง มีผลงานหนังสือมากมาย รวมไปถึงคอร์สออนไลน์ สัมมนา และงานโค้ชชิ่ง หนึ่งในผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขา ได้แก่ หนังสือ The Millionaire Messenger และคอร์ส Expert Academy ที่สอนคนให้สร้าง Information business อ่านบทความเล่าถึง หนังสือ The Millionaire Messenger ที่นี่

Tim Ferriss

ดีตนักธุรกิจ E-Commerce ภายหลังขายกิจการออกไปและผันตัวไปเป็น Blogger และ นักเขียน ผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้ Tim Ferriss คือ หนังสือ The 4 Hour Workweek ยอดขายมากกว่า 1 ล้านเล่ม และแปล 35 ภาษา ตามมาด้วย The 4 Hour Body, The 4 Hour Chef, Tools of Titans และ Tribes of Mentor — Tim Ferriss ออกผลิตภัณฑ์ไม่เยอะ แต่มุ่งเน้นเนื้อหาที่ขายได้เรื่อย ๆ และนำเงินไปต่อยอดโดยการลงทุนในธุรกิจ Startup กล่าวคือเขาโฟกัสในการเป็น Investor มากกว่า

Nathan Barry

เป็นโปรแกรมเมอร์ประจำบริษัทที่อยากสร้างธุรกิจของตัวเองจึงเริ่มรับงานฟรีแลนซ์ ก่อนที่เขาจะได้แรงบันดาลใจจาก Chris Coyier เจ้าของเว็บไซต์ css-tricks.com ที่สามารถขาย ชุดบทความความรู้ด้านโค้ดดิ้ง เป็นจำนวนเงินประมาณกว่า 3 ล้านบาทไทยภายในระยะเวลาสั้น ๆ เขาจึงตัดสินใจเบนเข็มเข้าสู่ Information business โดยออกชุดผลิตภัณฑ์ความรู้ ได้แก่ The APP Design Handbook, Designing Web Application, Authority และ Photoshop for Web Design ซึ่งทั้ง 4 ชุดสร้างยอดขายรวมมากว่า 25 ล้านบาทในระยะเวลา 5 ปี

ใครสามารถผลิตและขาย Information Products ได้บ้าง

หนึ่งในโจทย์ที่พบบ่อยของคนที่จะเริ่มทำ Information products คือ

“…ฉันไม่มีความรู้แล้วฉันจะผลิตอะไรไปสอนใครได้…”

การทำ Information products นั้น คุณไม่จำเป็นต้องเป็นผู้มีความรู้ในเนื้อหานั้น ๆ เสมอไป ธุรกิจนี้สามารถแบ่งออกเป็นวิธีดำเนินกิจการ 4 รูปแบบหลัก ๆ ได้แก่ Result expert, Research expert, Producer, และ Platform

Result expert: เป็นผู้ที่มีความรู้เฉพาะทางในด้านนั้น ๆ จากประสบการณ์จริงและนำมาถ่ายทอดหรือสอนด้วยตนเอง เป็นประเภทพื้นฐานที่สุดของอาชีพ Infopreneur

Research expert: เป็นผู้มีความรู้เชิงทฤษฏีในเนื้อหานั้นอย่างลึกซึ้งและสามารถนำมาถ่ายทอดให้เข้าใจง่าย ลักษณะคล้ายกับ อาจารย์มหาวิทยาลัย หรือ อาจารย์สอนศาสตร์ต่าง ๆ ที่แม้ตนเองจะไม่ได้ประกอบอาชีพในสิ่งที่ตัวเองสอน แต่มีความรู้และสามารถสอนให้คนอื่นออกไปประกอบอาชีพนั้น ๆ ได้

Producer: แม้ไม่มีความรู้ทั้ง ทฤษฏีและปฏิบัติ แต่มีความรู้ในการบริหารจัดการโครงการ ได้แก่ การปั้นผู้มีความรู้ในศาสตร์นั้น ๆ ให้กลายเป็น Infopreneur เหมือน Producer เพลงปั้นคนเสียงดีให้กลายเป็นศิลปิน มีความสามารถในการทำการตลาดออนไลน์และการขาย เพื่อให้สินค้าที่ทำออกมานั้นขายได้

Platform: เป็นเว็บไซต์กลางที่ให้นำ ผู้เรียน และ ผู้สอน มาเจอกัน ได้แก่ SkillLane, Udemy, SkillShare, Coursera เป็นต้น การดำเนินธุรกิจ Information business ประเภทนี้เน้นความรู้ด้านการสร้างเว็บไซต์ และ Growth hacking เป็นหลัก — อ่านความหมายของ Growth hacking ที่นี่ 

ปัญหาคาใจ ทำไมคนต้องจ่ายเงินซื้อความรู้ ในเมื่อความรู้ฟรีมีอยู่ในอินเตอร์เน็ต?

เป็นอีกหนึ่งโจทย์ที่หลายคนกังวลและสมารถสร้างความเข้าใจได้ดังนี้

เพราะข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตกระจัดกระจาย: ข้อมูลฟรีบนอินเตอร์เน็ตมีมาก แต่ความมากก่อเกิด Information overload จนจับต้นชนปลายไม่ถูก และไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน หรือเชื่อใครดี สินค้า Information product จึงเปรียบเสมือนเครื่องกรองที่คัดข้อมูลที่สำเร็จรูปที่สุดแล้วมาเสิร์ฟแบบพร้อมใช้

เพราะคนต้องการประหยัดเวลา: เวลา เป็นสิ่งที่มีค่ามากจนประเมินไม่ได้ หากใช้เวลาไม่เป็นชีวิตจะเปล่าประโยชน์มาก แต่หากใช้เวลาเป็นชีวิตจะรุ่งโรจน์และร่ำรวยมาก การเสพความรู้ที่ปรุงสำเร็จมาแล้ว และโดยคนที่เชื่อถือได้ช่วยให้คนประหยัดเวลาในชีวิตได้มาก นำไปสู่เหตุผลสุดท้าย

เพราะคนต้องการของสำเร็จรูปและใช้งานง่าย: คนต้องการเสพข้อมูลปรุงสำเร็จที่แพ็กเกจมาแล้ว แทนที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเองเป็นปี ขอเรียนรู้ผ่านคนอื่นที่ไปศึกษาและทดลองมาแล้วและสอนผ่าน หนังสือ วีดีโอ หรือคอร์สสัมมนา ที่เรียนจบในหนึ่งวัน

กล่าวโดยสรุป คือ คนจ่ายเงินเพื่อเป็นการ ซื้อความรู้ ซื้อเวลา ซื้อความสะดวก ในการนำไปประยุกต์ใช้งานต่อ

ทำเงินจากสินค้าความรู้ คุณสามารถนำความรู้มาขายในรูปแบบใดบ้าง

ความรู้มากมายที่อยู่ในตัวคุณไม่ว่าจะผ่านประสบการณ์การปฏิบัติ หรือจากการศึกษาจากตำราจนแตกฉาน ล้วนสามารถนำมาแพ็กเกจเป็นชุดความรู้ได้ถึง 4 รูปแบบหลัก ๆ ได้แก่ Text, Audio, Video, และ Live Event

1. Text ชุดข้อมูลความรู้แบบตัวอักษร

หนังสือเล่ม

หนังสือเล่มเป็น Information products พื้นฐาน ดั้งเดิม และเก่าแก่ที่สุด สามารถทำได้ 2 แนวทาง ได้แก่ ทำหนังสือผ่านระบบสำนักพิมพ์และป้อนเข้าสู่หน้าร้าน และทำแบบ Self-publishing คือ เขียนเอง สั่งผลิตเข้ารูปเล่มเอง ขายและจัดส่งเอง โดยอาจใช้การตลาดออนไลน์ในการประชาสัมพันธ์

หนังสือเล่ม มีราคาขายเฉลี่ย 200 – 400 บาท และมีกำไรประมาณ 10% สำหรับการทำผ่านระบบสำนักพิมพ์ ในขณะที่แบบ Self-publishing จะมีกำไรประมาณ 50-70% เลยทีเดียว ซึ่งอัตรากกำไรนี้หักต้นทุนการผลิตและจัดส่งแล้ว แต่ยังไม่หักค่าการตลาดและการโฆษณา

E-Book หนังสืออีเลคทรอนิกส์

E-Book ผลิตง่าย เพียงเขียนใส่ Microsoft Word หรือซอฟต์แวร์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จากนั้นเซฟเป็นไฟล์ Adobe PDF ก็สามารถนำไปขายได้เลย แต่กรณีนี้จะมีปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ได้ง่าย ส่วนอีกวิธีคือการนำไปขายบนแพลทฟอร์ม E-Book Store ได้แก่ Ookbee.com, Ebook.in.th, MebMarket.com, หรือ Amazon Kindle สำหรับภาษาอังกฤษ ซึ่งผู้ซื้อจะต้องดาวน์โหลดและอ่านผ่าน Application เฉพาะของผู้ให้บริการเหล่านั้น

E-Book สามารถตั้งราคาได้เท่ากับหนังสือเล่ม เฉลี่ย 200 – 400 บาท และการขายผ่านเว็บไซต์ E-Book Store นักเขียนจะถูกหักค่าธรรมเนียมระบบต่าง ๆ รวม ๆ แล้วคุณจะมีกำไรขั้นต้นประมาณ 50%

2. Audio หนังสือเสียง

เป็นวิธีการบันทึกเนื้อหาเป็นไฟล์เสียงในรูปแบบของ ซีดีออดีโอ หรือบรรจุไฟล์เสียงใส่แฟลชไดร์ฟ หรือเป็นไฟล์เสียงเปิดฟังออนไลน์ก็ได้ โดยสามารถถ่ายทอดได้ 2 สไตล์ ได้แก่

  • อ่านจากหนังสือเล่ม: ในกรณีที่คุณเป็นเจ้าของลิขสิทธิหนังสือของตนเองสามารถนำหนังสือเล่มมาอ่านและบันทึกเสียงเพื่อแปลงเป็น ออดิโอบุ๊ค ได้ วิธีนี้คุณต้องอ่านจากหนังสือทั้งเล่มซึ่งอาจจะเป็นงานหนักและยาวมาก
  • เขียน Script ขึ้นใหม่: ออกแบบและสร้างเนื้อหาขึ้นใหม่และอ่านตาม Script เนื้อหา วิธีนี้คุณสามารถออกแบบเนื้อหาให้มีความกระชับได้ตั้งแต่แรก โดยอาจออกเป็นบท ๆ บทละ 5-10 นาที และกำหนดความยาวให้กระชับฟังจบใน 2-3 ชั่วโมง คุณจะสามารถผลิตออดิโอบุ๊คด้วยวิธีนี้ได้เร็ว

ทั้ง 2 วิธีดังกล่าว คุณสามารถจ้างทีมพากษ์และทีมตัดต่อมาทำงานให้ก็ได้ แต่จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าอ่านเนื้อหาด้วยตนเอง

Audiobook (ออดิโอ้บุ๊ค) กำไรเท่าไร

ราคาของออดิโอบุ๊คอยู่ระหว่าง 200-1000 บาท แล้วแต่ เนื้อหา ความยาว และ ความสวยงามของบรรจุภัณฑ์ กำไรขั้นต้นของ ออดิโอบุ๊คในกรณีจัดทำเป็นแผ่นซีดี จะมีกำไรขั้นต้นประมาณ 50-60%

แต่หากทำเป็นระบบเปิดฟังออนไลน์ 100% โดยคุณสร้างระบบเองก็จะไม่มีต้นทุนการผลิต Physical packaging และมีอัตรากำไรขั้นต้นเกือบ 100% ยกเว้นนำไปขายผ่าน แพลทฟอร์ม อาทิ Ookbee.com จะมีการหักค่าธรรมเนียมและเจ้าของผลงานจะมีอัตรากำไรประมาณ 50-60% แต่จะแลกกับความสะดวกสบายด้านระบบ Automation ที่ Ookbee มีให้คุณอย่างเต็มที่

3. Video Course คอร์สเรียนในรูปแบบวีดีโอ

เป็นการเผยแพร่ความรู้ทั้งภาพและเสียงซึ่งมีกระบวนการจัดทำเยอะที่สุด ใช้เวลาผลิตนานที่สุด แต่ก็มีราคาขายและกำไรสูงที่สุดในกลุ่ม Video Course หรือ คอร์สเรียนในรูปแบบวีดีโอ สามารถทำออกมาในรูปแบบแผ่น ดีวีดี ก็ได้ บรรจุไฟล์ลง Flash drive ก็ได้ หรือจัดทำเป็นคอร์สเรียนออนไลน์ก็ได้ ซึ่งวิธีหลังจะป้องกันการละเมิดลิขสิทธิได้ดีกว่าสองวิธีแรก

การขาย คอร์สเรียนในรูปแบบวีดีโอ แบบออนไลน์สามารถทำได้ 2 แนวทาง ได้แก่

  • สร้างระบบขายเอง: ยกตัวอย่างเว็บไซต์ CEOblog.co และ My Digital Partner สร้างระบบคอร์สออนไลน์ตั้งแต่ขายจนไปถึงการล็อกอินเข้าดูเนื้อหาบนเว็บไซต์ของตนเองแบบจบทุกขั้นตอน วิธีนี้จะมีต้นทุนในการเริ่มต้นค่อนข้างสูง เพราะอาจต้องลงซอฟต์แวร์ระบบ และต้องเข้าใจวิธีเชื่อมต่อระบบให้ทำงานสอดคล้องกัน แต่ในระยะยาวจะมีอัตรากำไรที่สูงกว่า
  • นำไปขายบนแพลทฟอร์ม E-Learning Store: ได้แก่ SkillLane, Talapanya, EDUmall และ CourseSquare เป็นต้น ฯลฯ แพลทฟอร์มเหล่านี้นอกจากจะมีระบบที่มีประสิทธิภาพแล้วยังอาจมีบริการบันทึกและตัดต่อเนื้อหาให้คุณอีกด้วย ดังนั้นคุณสามารถเดินทางไปแต่ตัวและเนื้อหาได้เลย ที่เหลือเขาจัดการให้โดยมีส่วนแบ่งจากทุก ๆ หนึ่งยอดขาย เจ้าของเนื้อหาจะได้รับค่าลิขสิทธิเนื้อหาประมาณ 50-70% จากยอดขาย

Video Course คอร์สเรียนในรูปแบบวีดีโอ กำไรเท่าไร

ราคาขายของ Video Course คอร์สเรียนในรูปแบบวีดีโอ เฉลี่ย 500 – 50,000 บาท หรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับชื่อเสียงและประสบการณ์ของผู้บรรยาย แต่ราคาเฉลี่ยที่ซื้อง่ายขายคล่องจะอยู่ระหว่าง 900 – 2900 บาท

ในกรณีที่คุณลงทุนกับระบบ E-Learning ออนไลน์ด้วยตนเองจะมีค่าใช้จ่าย Fixed cost ของระบบประมาณ 20,000 – 50,000 บาทต่อปี ดังนั้นยอดขายทั้งหมดหลังหัก Fixed cost คือ กำไรขั้นต้น (กำไรก่อนหักค่าการตลาดและภาษี) และกรณีที่นำไปขาย E-Learning Store กำไรขั้นต้นของคุณคือ 50-70% จากยอดขายทั้งหมด ก่อนหักค่าการตลาดและภาษี

4. Live Event คอร์สสัมมนาสดและเวิร์คช็อปต่าง ๆ

เป็นรูปแบบการสอนที่เป็น Active income ที่สุด เพราะผู้บรรยายต้องบรรยายสดทุกครั้งที่จัดสอน ราคาของค่าที่นั่งงานสัมมนาเฉลี่ย 1000 บาท ไปจนถึงหลักแสนบาท ขึ้นอยู่กับชื่อเสียงและประสบการณ์ของผู้บรรยาย การจัดสัมมนามีต้นทุนสูงที่สุด ได้แก่ ค่าสถานที่คิดเป็นรายคน คนเข้าเยอะ ค่าใช้จ่ายก็เยอะตาม รวมไปถึงค่า Staff ที่ต้องใช้มากขึ้นตามขนาดของงาน อัตรากำไรของสัมมนาจึงประมาณ 50% ลงไป

แต่การจัดสัมมนานั้นสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ได้ดีที่สุดเพราะก่อเกิดการพบเจอและปฏิสัมพันธ์กันแบบตัวเป็น ๆ และการจัดสัมมนาที่มีประสิทธิภาพคือควรมีการ ต่อยอด หรือ Upsell ไปสู่การซื้อสินค้าอื่น ๆ ภายในการ เช่น การซื้อโปรแกรมโค้ชชิ่ง การซื้อแพกเกจที่ปรึกษา หรือการขายคอร์สแอดวานซ์ เป็นต้น

วิธีเริ่มต้น อาชีพ/ธุรกิจ Information Business

ตอนที่ 1 Mindset

มีความสุขในการเป็นผู้ให้ความรู้: อาชีพและธุรกิจใด ๆ ที่คนทำแล้วประสบความสำเร็จ สักพักคนอื่น ๆ จะแห่กันมาทำตามและลอกเลียนแบบ แต่ สำหรับ ธุรกิจและอาชีพขายความรู้ มีคุณสมบัติที่แตกต่างจากหลายธุรกิจที่ทำให้ลอกเลียนแบบกันค่อนข้างยากกว่า

เพราะนอกจากความรู้ที่คุณมี ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะขายได้เพราะอาศัย Branding และ Authentic ของเจ้าของเนื้อหา คนติดตามเนื้อหาของผู้บรรยายเพราะเขาหลงรักใน 2 ปัจจัยนั้น และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้บางคนสามารถขาย คอร์สเรียน ในราคาหลักหลายหมื่นบาท เพราะคนที่ซื้อคือ สาวก หรือ แฟนคลับ ที่รักในตัวผู้สอน

ดังนั้น อาชีพนี้จึงเป็นอาชีพที่ต้องอาศัยความอดทนในช่วงแรก เป็นเรื่องยากที่จะเปิด Facebook Business Page มาแล้วอาศัยยิงโฆษณาอย่างเดียว คุณต้องสร้าง Authority ด้วยการให้ความรู้ฟรี ๆ เพื่อสร้างฐานแฟนคลับจนกว่าตลาดจะเริ่มรับรู้ในความเป็น ตัวจริงในสายงานที่สอน — ความสุขที่จะให้ความรู้จึงสำคัญในการทำอาชีพนี้

อย่าอายการขาย: หนึ่งในปัญหาระดับโลก คือ คนอาย หรือกลัว หรือแม้แต่เกลียดงานขาย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว งานขายอยู่รอบตัวคุณ แม้แต่คุณก็ขายอยู่ตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว!

  • คุณเชียร์ให้เพื่อนไปดูภาพยนต์ที่คุณไปดูมาแล้วถูกใจ
  • คุณเชียร์ให้เพื่อนไปรับประทานอาหารยังร้านโปรดของคุณ
  • คุณเชียร์ให้เพื่อนไปเที่ยวสถานที่ที่คุณเคยไป

บ่อยครั้งคุณเชียร์สำเร็จโดยที่คุณก็ไม่ได้อะไรตอบแทนจากร้านหรือสถานที่ที่คุณแนะนำ เหล่านี้คือการขาย และนอกจากนี้ ด้านล่างยังเป็นกิจกรรมการขายที่คุณทำอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต

  • ขายตัวเองเพื่อให้ได้รับการจ้างงานประจำ
  • ขายตัวเองเพื่อให้ได้รับสัญญาการทำธุรกิจ
  • ขายตัวเองเพื่อให้ได้รับอนุมัติเงินกู้
  • ขายตัวเองเพื่อให้เพศตรงข้ามอยากได้มาเป็นคู่ครอง

โลกอยู่ภายใต้ กฎแห่งการแลกเปลี่ยน หรือ Law of Exchange ทุกอย่างแลกเปลี่ยนเกื้อหนุนกัน ไม่มีอะไรฟรี แม้แต่สิ่งที่คิดว่าฟรีก็ไม่ฟรีเพราะมันจะมีบางอย่างมาแลกกันเสมอ

อย่ารอให้ตัวเองสมบูรณ์แบบ: บางคนคิดว่าตนเองยังไม่เก่ง ยังมารู้มากพอ คนอื่นรู้มากกว่าเราอีก ฯลฯ แต่ต่อให้คุณยังไม่รู้ถึงที่สุดก็สามารถสอนได้ โดยการเจาะกลุ่มเป้าหมายที่รู้น้อยกว่าก็คุณก็เพียงพอแล้วสำหรับการเริ่มต้น ขอเพียงคุณซื่อสัตย์ในเนื้อหาที่สอน ไม่ Over-claim ในสิ่งที่เกินจริง ก็จะลดความเสี่ยงในอาชีพนี้ และที่สำคัญ จงพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ

กรณีศึกษา Ebook วิธีเป็นนักแปลอิสระ


Original Cover Ebook How-to Freelanceผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ CEOblog เคยมีประสบการณ์เป็น Freelance translator หรือ นักแปลอิสระ ประมาณ 2 – 3 ปี โดยก่อนหน้าที่จะได้ลงมือทำงานได้ศึกษาข้อมูลตลาดอยู่ประมาณปีเศษ ๆ จนมีความรู้ในตลาดนี้ และถึงแม้ประสบการณ์ในการทำงานจริงจะไม่มากเท่ารุ่นพี่ที่ทำงานนี้กันมาทั้งชีวิต แต่ความรู้ตลอด 2 – 3 ก็สามารถนำมาสอนคนที่ประสบการณ์เป็นศูนย์สนิทได้

นอกจากนั้น ข้อมูลใน E-book ล้วนเป็นข้อมูลที่สามารถสืบเสาะค้นได้ตามเว็บไซต์และเว็บบอร์ดต่างประเทศ แต่หากจะไล่ศึกษาด้วยตนเองก็จะใช้เวลาหลายสัปดาห์ไปจนถึงหลายเดือนกว่าจะรู้ทะลุปรุโปร่งทั้งหมด นอกจากนั้น E-Book ชุดนี้ยังรวบรวมรายชื่อ Translation agency ในต่างประเทศพร้อมให้นักแปลใหม่สามารถส่ง Proposal ไปเสนอขายบริการนักแปลได้ทันที เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ E-Book

Ebook คู่มือทำเงินจากอาชีพนักแปลอิสระ เปิดตัวในราคา 270 บาท ภายหลังปรับราคาไปถึง 370 บาทก็ยังขายดีอยู่โดยมียอดขายสะสมอยู่ที่ประมาณหลัก 1 แสนบาทกลาง ๆ Passive income

ตอนที่ 2 Niche Selection

หัวข้อความรู้ที่ขายดีที่สุดมี 3 หัวข้อหลัก ๆ ได้แก่ วิธีสร้างอาชีพและทำเงิน, วิธีสร้างความสัมพันธ์และความรัก, วิธีสร้างสร้างเสริมและรักษาสุขภาพ

Niche ด้านการสอนวิธีสร้างอาชีพและทำเงิน

เป็น Niche ที่ซื้อง่ายขายคล่องที่สุด สาเหตุเพราะ เงินคือปัจจัยสูงสุดของผู้คน เงินสามารถนำพาทรัพยากรที่เหลืออื่น ๆเข้ามาในชีวิต ทั้งความรัก และ สุขภาพ จึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะเห็นหนังสือ Best seller มากมายที่เกี่ยวกับ การทำเงิน และ ความร่ำรวย โดยเฉพาะบนโลกออนไลน์ก็ยิ่งเยอะเข้าไปใหญ่

ข่าวดี คือ คุณไม่จำเป็นต้องเป็นนักธุรกิจ หรือเศรษฐี จึงจะขายความรู้ในกลุ่มนี้ได้ เพราะกลุ่มทำเงินยังรวมไปถึง วิธีประกอบสัมมาอาชีพต่าง ๆ เช่น วิธีเป็นฟรีแลนซ์เฉพาะทางต่าง ๆ, วิธีเจรจาต่อรองการคู่ค้าหรือลูกค้า, วิธีเป็นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์, วิธีทำเว็บไซต์และการตลาดออนไลน์, วิธีนำเข้าและส่งออก ฯลฯ อีกมากมายซึ่งอาจนำมาจากประสบการณ์ในงานประจำของคุณ

Niche ด้านการสอนวิธีสร้างความสัมพันธ์และความรัก

ความรัก เป็นนามธรรมที่ทรงพลังและเป็นความต้องการของมนุษย์ตั้งแต่แรกเกิดจนแก่ หลาย ๆ สิ่งที่เราสร้างขึ้นมาไม่ว่าจะพัฒนาตัวเองให้เก่ง ดูดี มีฐานะ ล้วนเกิดจากแรงผลักดันภายใน คือ ความมั่นคง ความรัก และการยอมรับในครอบครัวและสังคม

ในต่างประเทศมี Information products มากมายที่เกี่ยวข้องกับ วิธีหาคู่ การออกเดท และวิธีรักษาความสัมพันธ์ของคู่รักตั้งแต่ก่อนไปจนถึงหลังแต่งงานยันลูกโต เจ้าของผลิตภัณฑ์บางคนมีรายได้คิดเป็นเงินไทยหลายสิบล้านบาทต่อปีจากการขาย ผลิตภัณฑ์ ขายสัมมนา และขายงานที่ปรึกษา เรื่องความรักความสัมพันธ์

ทั้งนี้ ความรัก ไม่ได้มีเพียงเรื่องคู่ แต่ยังครอบคลุมไปถึง ความยอมรับทางสังคม เช่น การเข้ากับผู้คนได้ การเป็นที่รักในองค์กรไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้านายหรือลูกน้อง การพัฒนาจิตใจและวิธีคิด การมีบุคลิกดี ฯลฯ

Niche ด้านการสอนวิธีสร้างสร้างเสริมและรักษาสุขภาพ

สุขภาพดีมีความสัมพันธ์โดยตรงต่อความสามารถในการทำงานหาเงิน บุคลิกภาพ, จิตใจ, และความรักความสัมพันธ์ สุขภาพจึงเป็นหนึ่งใน ฮาวทู ขายดีที่สุดในโลกและเป็นผลิตภัณฑ์ตลาดคนมีเงินด้วย เพราะเมื่อคนมีเงินกินเงินใช้แล้วพร้อมจ่ายไม่สนใจราคาเพื่อลงทุนกับสุขภาพ

กลุ่ม ฮาวทูสุขภาพ ครอบคลุม วิธีออกกำลังกาย เช่น ฟิตเนสเพิ่มกล้ามกระชับสัดส่วน โยคะ ฯลฯ วิธีโภชนาการ การกินอาหารให้สุขภาพดีมีร่างกายสวยงาม วิธีดูแลร่างกายให้ปลอดภัยหรือหายจากโรค วิธีบริโภคอาหารเสริม วิธีดูแลผิวกายผิวหน้า ฯลฯ เป็นต้น

กรณีศึกษา Steve Kamb: Niche สุขภาพ

ในประเทศไทยมีคนเป็นผู้รู้ด้านสุขภาพมากมาย และมักเขียนบทความสุขภาพแบบ Step by step วิธีทำหุ่นสวยอย่างละเอียดแสดงให้เห็นตั้งแต่ Day-1 ไปจนถึง Day-365 ว่าเกิดผลลัพธ์อะไรบ้างอย่างละเอียด และนำไปทำตามได้จริงลงในเว็บบอร์ด อาทิ pantip.com เป็นต้น ส่วนในต่างประเทศก็มีคนทำเแต่พวกเขาทำลง เว็บไซต์ส่วนตัว (Blog) และสร้างแบรนด์บุคคลจนสามารถทำผลิตภัณฑ์ความรู้ออกมาขายได้เงินหลายล้านบาทกันไปแล้ว ยกตัวอย่าง Steve Kamb แห่ง Nerd Fitness 

Steve Kamb เริ่มจากวัยรุ่นที่มีปมด้อยจากการถูกคัดออกจากทีมคัดเลือกนักกีฬาเพราะผอมและสุขภาพไม่ดี ทำให้เจ็บใจและหันไปโหมเล่นฟิตเนสจนบาดเจ็บอย่างรุนแรง หลังจากหายบาดเจ็บ เขาจึงปรับทัศนคติตัวเองใหม่และศึกษาวิธีเล่นฟิตเนสที่ถูกต้องและพบว่าการสร้างรายการที่แข็งแรงและสวยงามต้องประกอบไปด้วยการ ออกกำลังและการโภชนาที่เหมาะสมคู่กันไป

เขาปฏิบัติเป็นเวลาหลายปีจนได้ร่างกายที่แข็งแรงสวยงามและสุขภาพที่เลิศมาก จึงเกิดแรงบันดาลใจในการนำความรู้เหล่านี้มาถ่ายทอดลง Blog ชื่อ NerdFiness.com และพัฒนาคอร์สออนไลน์ที่ชื่อว่า Men’s Fitness 101 และ Women’s Fitness 101 นอกจากนั้นยังมี E-book หลายเรื่องและ Live Fitness Camp อีกด้วย

เรียกว่าร่ำรวยจากการขายสินค้าความรู้ด้านสุขภาพซึ่งเรื่องนี้คนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก ดังนั้นขอเพียงคุณนำความรู้และผลลัพธ์มาทำแพกเก็จเป็นสินค้าความรู้ด้านการออกกำลังกาย ยกตัวอย่าง คุณฟ้าใส พึงอุดม แห่ง Fit Junctions ก็เป็นนักธุรกิจความรู้ด้านสุขภาพที่มีชื่อเสียงในกลุ่มคนรักสุขภาพของไทย

กรณีศึกษา Pat Flynn, Niche อาชีพทำเงิน

Pat Flynn เจ้าของเว็บไซต์ Green Exam Academy เปิดเว็บไซต์เพื่อเป็นพื้นที่จดบันทึกความรู้จากการศึกษาวิชา LEED หรือ Leadership in Energy and Environmental Design เพื่อประโยชน์ในการไปสอบของตนเอง

แต่เพราะเนื้อหาถูกเขียนลงในเว็บไซต์และเป็นเนื้อหาคุณภาพสูงที่สามารถนำไปใช้งานได้จริง จึงได้รัการติดอันดับ Google Search Engine และเป็นสาเหตุให้ผู้คนที่สนใจหาเจอและเกิดการหลั่งไหลเข้าชมเว็บไซต์สูงถึงวันละ 5,000-7,000 คน ซึ่งในสมัยนั้น (ประมาณปี 2007-2008) นับว่าเป็นปริมาณผู้เยี่ยมชมที่สูงสำหรับเว็บไซต์ขนาดเล็กที่ทำโดยคนไม่รู้เรื่อง SEO (Search Engine Optimization) และไม่มี Facebook เป็นตัวช่วยในยุคนั้น

ต่อมา Pat Flynn จัดทำเนื้อหาให้เป็นระบบโดยเขาใช้เวลาสองเดือนในการรวบรวมเนื้อหาที่อยู่ภายในเว็บไซต์มาทำเป็น E-book และ Audio File เพื่อขาย ด้วยความที่มีคนติดตามจำนวนมากอยู่แล้วจึงทำให้ Information product ของเขาสร้างยอดขาย 7,126 เหรียญภายในเดือนแรกที่เปิดขาย และเติบโตขึ้นไปแตะจุดสูงสุดที่ 25,787 เหรียญภายในเดือนเดียว ณ เดือนที่ 6  และมียอดขายสะสม 1 ปีไปแตะที่ 170,442 เหรียญ หรือประมาณ 5.9 ล้านบาท*

(Exchange rate 2016 estimate, $1 = THB 35)

ตอนที่ 3 Marketing Your Business

การสร้าง Authority, Personal Brand และ Tribe คือ สามองค์ประกอบความสำเร็จ

สินค้าและบริการที่มีตัวบุคคลเป็นตัวขับเคลื่อน อาทิ นักร้อง นักแสดง นักเขียน นักพูด นักปรึกษา รวมไปถึง Infopreneur ทุก Niche เป็นต้น จะประสบความสำเร็จได้ไม่ใช่เพราะการห่ำหั่นกันด้วยวงครามราคาลดแลกแจกแถมเหมือน น้ำปลา กะปิ

การแข่งขันในอาชีพนี้คือต้องสร้าง คุณค่า ในตัวเอง พัฒนาความรู้และประสบการณ์จนเป็นจ้าวิชาในสาขานั้น ๆ (Authority) ทำ แบรนด์ (ฺBranding) ให้แข็งแรง และสร้างฐานผู้ติดตาม (Fans/ Followers) หรือ สาวก (Tribe) ที่ภักดี

เมื่อคุณมีทั้ง Authority, Branding และ Tribes ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การออกผลิตภัณฑ์ความรู้ของคุณแต่ละครั้งจะได้รับผลตอบรับดีและทำยอดขายกันเป็นหลักแสนหรือแม้แต่หลักล้านภายใน 1 เดือนได้ แต่ทั้งหมดนี้มันล้วนใช้เวลา ไม่ได้เกิดขึ้นภายในเดือนสองเดือน แต่ข่าวดี คือ คุณสามารถทำสิ่งเหล่านี้ไดในราคาที่ถูกลงโดยใช้ Digital marketing หรือ การตลาดออนไลน์เป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์ตัวตนของคุณ

Digital Marketing การตลาดออนไลน์ให้ไปถึงกลุ่มเป้าหมายของคุณ

Digital marketing หรือ Online marketing หรือ Internet marketing ก็แล้วแต่ล้วนมีความหมายประมาณเดียวกัน คือ ใช้ช่องทางและเครื่องมือต่าง ๆ บนโลกออนไลน์ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย (ว่าที่ลูกค้า) เป็นช่องทางทำการตลาดที่ราคาถูกเมื่อเทียบกับสื่อโทรทัศน์ วิทยุ และสิ่งพิมพ์ เข้าถึงคนได้เร็ว และสามารถวัดผลการทำงานได้แม่นยำ

5 เครื่องมือหลักสำหรับเริ่มต้นทำการตลาดออนไลน์

  • Content Marketing
  • Website
  • Facebook
  • Google
  • Email Marketing

ไปดูกันทีละหัวข้อ…

ทำการตลาดด้วย Content Marketing บนโลกออนไลน์

Content หรือ เนื้อหา เป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้ แบรนด์ของคุณ เข้าถึงผู้คนบนโลกออนไลน์ เนื้อหาต่าง ๆ สามารถอยู่ในรูปแบบ ตัวอักษร ภาพ เสียง หรือวีดีโอ ก็ได้ โดยในต่างประเทศยกย่องให้ Content is King! แห่งโลกออนไลน์

Content หรือ เนื้อหา เป็น ‘สินทรัพย์‘ ชนิดหนึ่ง เพราะสามารถนำพาไปสู่การเกิดรายได้ทางอ้อม ยกตัวอย่าง Facebook, Instagram, Twitter ธุรกิจมูลค่านับหลายหมื่นล้านบาทไปจนถึงแสนล้านก็เพราะ เนื้อหาจำนวนมหาศาล ที่สร้างโดย User ด้วยกันเองและดึงดูด User ใหม่ ๆ เข้ามาในระบบจนกลายเป็น ‘Community’ หรือ ชุมชนขนาดใหญ่บนโลกออนไลน์ และดึงดูดผู้คนให้อยากมาลงโฆษณาในพื้นที่นั้น ๆ โมเดลดังกล่าวในไทย อาทิ Wongnai, และ Pantip

แนวคิดการทำ Content Marketing

หน้าที่ของ Content marketing คือ Awareness – สร้างการรับรู้ และ Attract – ดึงดูดผู้คน เข้ามายังต้นทางของ เนื้อหา ซึ่งในกรณีนี้ก็คือ เว็บไซต์ของคุณ โดยคุณต้องจัดเตรียมเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ ที่จะใช้ผัน Website visitor เหล่านั้นไปเป็น Buyer นั่นเอง

ส่วนขั้นตอนในการทำ Content marketing นั้นมีคีย์เวิร์ดสำคัญ ได้แก่ มีประโยชน์ ต่อเนื่อง อดทน นั่นคือ การสร้างเนื้อหาฟรีที่ดีและมีประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมายของคุณ ออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องอาศัยความอดทนใจเย็นเป็นอันมาก ให้ตั้งกำหนดเวลาในช่วงแรกไปเลยว่าคุณจะทำการตลาดด้วย Content marketing สัก 2-4 เดือนก่อนเริ่มขายสินค้า เป็นต้น

ทำการตลาดด้วยเว็บไซต์ (Website)

เว็บไซต์ คือ พื้นที่ในการบรรจุ เนื้อหา ทุกชนิด ทั้ง Text, Audio, Videos, และ Images ทั้งแบบเสพฟรีและแบบชำระเงิน การมีเว็บไซต์สามารถเชื่อมโยงเข้ากับระบบ Shopping cart และ Payment gateway ต่าง ๆ และการมีเว็บไซต์เพิ่มโอกาสถูกหาเจอบน Google search engine ได้ดีกว่าการเก็บเนื้อหาไว้บนโซเชียลมีเดียแต่เพียงอย่างเดียว และนอกจากนั้น เว็บไซต์ย้งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ของคุณ

การมี เว็บไซต์ เป็นของตัวเองในปัจจุบันเป็นเรื่องง่ายและประหยัด ด้วยงบประมาณเพียง 4,000 – 8,000 บาท คุณก็สามารถมีเว็บไซต์สวยงามเป็นมืออาชีพภายใน 30 นาที วีดีโอด้านล่างเป็น Step-by-Step วิธีสร้างเว็บไซต์ WordPress ด้วยตนเอง ได้แก่ การเช่าโฮสต์ จดโดเมน และติดตั้งโปรแกรม WordPress ซึ่งเป็นโปรแกรมทำเว็บไซต์ที่นิยมมากที่สุดในโลกครับ

วิธีสร้างเว็บไซต์ WordPress ด้วยตนเอง

 

ทำการตลาดด้วย Google Search Engine

เนื้อหาที่ถูกเขียนลงเว็บไซต์มีโอกาสติด Google search engine ภายใน 3 – 7 วัน สำหรับเว็บไซต์ใหม่ และภายในไม่ถึง 1 ชั่วโมงสำหรับเว็บไซต์ที่มีอายุมากกว่า 1 ปีที่มีบทความใหม่สม่ำเสมอทุกวันและทราฟฟิกหมุนเวียนภายในเว็บไซต์ 50,000 – 100,000 Visitors ขึ้นไปต่อเดือน

การติดอันดับดังกล่าวจะติดอันดับได้เองโดยไม่ต้องใช้เทคนิค SEO (Search Engine Optimization) ใด ๆ เพียงแต่อาจจะไม่ใช่การติดอันดับในหน้าแรก ๆ เพราะการติดอันดับในหน้าแรกหรือแม้แต่ 3-5 อันดับแรกนั้นอาศัยหลายปัจจัย โดยจะขอนำเสนอ 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ Keyword และ Back links

Keywords: Google จะมีโปรแกรมตระเวนเก็บข้อมูลตามเว็บไซต์ต่างๆแล้วส่งไปเก็บไว้ที่ฐานข้อมูลใหญ่ของ Google เนื้อหาเว็บไซต์ที่ได้รับการบันทึกแล้วโดย Google เรียกว่า Index เนื้อหาที่ได้รับการ Index แล้วมีโอกาสถูกค้นเจอผ่าน Google Search Result Page (SERP) Google จะเลือกบทความของเว็บไซต์ใดๆ มาแสดงผลโดยอิงจาก ‘คำค้นหา’ หรือ ‘Keyword’ ที่ผู้ใช้งานป้อนลงไปในกล่อง Search box ในหน้าเว็บไซต์ www.google.com

ยกตัวอย่าง ผู้ใช้งานป้อนคำว่า ‘วิธีลดน้ำหนัก’ Google จะดึงบทความที่มีคำว่า วิธีลดน้ำหนัก มาแสดงผล แต่การแสดงผลนั้นอาจมากถึง 2.4 ล้านผลการค้นหา และบทความที่อยู่หน้าแรกอาจไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใช้งานต้องการ ดังนั้น! ผู้ใช้งานจึงป้อนคำว่า ‘วิธีลดน้ำหนัก+โยคะ’ ผลการค้นหาลงมาที่ 5 แสนกว่าผลการค้นหา (รูปตัวอย่างด้านล่าง)

ceoblog infopreneur-soe 01

———————–

ceoblog infopreneur-soe 02

 

สาเหตุของการใช้ Google นั้นเพื่อค้นหาเนื้อหาที่คน ๆ นั้นกำลังสนใจหรือต้องการแนวทางไปใช้แก้ปัญหา ดังนั้นคุณสามารถใช้ประโยชน์จาก Google ด้วยการเขียนบทความ How-to ดี ๆ มีเนื้อหาเชิงลึกและลงรายละเอียด เนื้อหาเหล่านี้จะมีโอกาสติด Google แน่นและทนนาน ในระยะยาวคุณมีโอกาสได้ Search traffic แม้จะเขียนทิ้งไว้นานเป็นปี ๆ

Back Links: คำค้นหา เป็นตัวกำหนดเบื้องต้นว่าผู้ใช้งานสนใจเรื่องอะไร แต่การที่ Google จะประเมินได้ว่าบทความใดในบรรดาหลายล้านบทความที่เกี่ยวข้องกับคำค้นหานั้นจะมีประโยชน์เชื่อถือได้ในระดับหนึ่งต้องอาศัย Back links

Back links คือการที่คนอ่านบทความแล้วชอบจึงเอา Links บทความนั้นๆไปแชร์ต่อยังที่ต่างๆ เช่น เว็บบอร์ด เว็บไซต์ส่วนตัว เว็บไซต์องค์กร และในเฟซบุ๊ก Back links เหล่านี้เปรียบเสมือนการโหวตว่าคนชอบและเห็นว่ามีประโยชน์จริงจึงนำไปแชร์ต่อ เป็นสัญญาณในการบอก Google ในลำดับต่อมาว่าบทความนั้นเหมาะแก่การนำมาจัดอันดับต้นๆ เสนอแก่ผู้ใช้งาน Google

นี่เป็นสองปัจจัยหลักจากหลายๆ ปัจจัย ยังไม่นับอายุของเว็บไซต์ที่นำไปแชร์ ความเกี่ยวข้องของเนื้อหาบนเว็บไซต์ที่นำไปแชร์ ฯลฯ อีกมากมาย และที่เล่ามาเป็นการทำ SEO แบบธรรมชาติขั้นพื้นฐานนะครับ ยังไม่รวมไปถึงการตั้งใจสร้าง Back links ให้ตนเอง ฯลฯ แต่ที่จริงแล้ว หากคุณเข้าใจการทำงานพื้นฐานของ Google และทำบทความดีๆ สม่ำเสมอ ในระยะยาวคุณก็มีโอกาสไต่อันดับ Google อย่างยั่งยืนในขณะที่การตั้งใจทำ SEO มากเกินไปอาจเกิดผลเสียในระยะยาวเช่นกันครับ

SEO ใช้เวลาสักพักกว่าคนจะเห็นแต่ Social media โดยขอเน้นเฉพาะเฟซบุ๊กเป็นหลัก — คุณเขียนข้อความหรือเอาลิงค์จากเว็บไซต์ไปแชร์ไม่นานคนก็เห็นกันมากมาย โดยเฉพาะเฟซบุ๊กส่วนตัวหรือแฟนเพจที่มีคนติดตามมากอยู่แล้วก็จะเกิดการแชร์กันกระจาย แต่หากแฟนเพจของคุณยังมีคนติดตามไม่มาก เฟซบุ๊กก็มีโปรแกรมโฆษณาให้คุณซื้อโฆษณาเร่งอัตราการเข้าถึงผู้คนเช่นกัน

ทำการตลาดด้วย Facebook

SEO ใช้เวลาพักใหญ่กว่าคนจะรู้จักคุณ แต่ Facebook มีโอกาสเข้าถึงคนภายในนาทีแรกที่คุณเผยแพร่เนื้อหา แต่วัตถุประสงค์หลักของคุณคือการนำคนเข้าเว็บไซต์ ดังนั้นจงมุ่งเขียน เนื้อหา ลงในเว็บไซต์และนำลิงค์ไปแชร์ใน Facebook โดยในช่วงแรกอาจจะยังไม่มีคนเห็นมากนัก จึงควรมีการ Boost Post ให้กับ Facebook Business Page และให้กับ Post ในช่วงแรก ๆ และเมื่อคนเริ่มติดตามคุณมากขึ้นก็จะเกิด Organic reach โดยปริยาย

และการ Boost post ให้กับ บทความ ที่มีประโยชน์โดยไม่มีการขายของก็ยังสามารถ Boost ให้ได้กำไรได้เช่นกัน โดยในบทความนั้น ๆ ควรวางระบบ Lead generation หรือ การเก็บรายชื่อผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ เพื่อใช้ในการทำ Email marketing หรือ LINE@ marketing ในภายหลัง

ทำการตลาดด้วย Email Marketing

Email marketing เป็นที่นิยมมากในต่างประเทศ เพราะการได้รายชื่ออีเมล์ของผู้มุ่งหวังช่วยให้คุณสามารถติดต่อกลุ่มหมายได้โดยตรงโดยไม่ต้องยิงโฆษณาซ้ำ ๆ ทุกครั้งไป เครื่องมือเก็บรายชื่อเรียกว่า Lead Generation และกิจกรรมการเก็บสะสมรายชื่อเรียกว่า List building

เครื่องมือ ขั้นตอน และวิธีทำ Lead Generation และ List Building

ผู้ให้บริการ: การเก็บรายชื่ออีเมล์ต้องใช้เครื่องมือช่วย แต่ไม่ต้องห่วงเพราะเป็นเครื่องมือสำเร็จรูปมีผู้ให้บริการอยู่แล้ว คุณเพียงสมัครเปิดบัญชีกับผู้ให้บริการจากนั้นนำโค้ดไปแปะลงในเว็บไซต์หรือเฟซบุ๊ก ก็จะปรากฏเป็นกล่องกรอกอีเมล์เมื่อคนมาสมัครรายชื่ออีเมล์ ข้อมูลของพวกเขาจะถูกบันทึกไว้ที่ฐานข้อมูลของผู้ให้บริการและคุณสามารถเขียนอีเมล์ส่งไปหารายชื่อเหล่านั้นได้ตลอดเวลา ข้อมูลรายชื่อยังสามารถ Export ออกมาเป็นไฟล์ MS Excel ได้อีกด้วย

ผู้ให้บริการมีหลายราย อาทิ Mailchimp, Convert Kit, Campaign Monitor, Get Response เป็นต้น ฯลฯ ผู้ให้บริการเหล่านี้มีค่าใช้จ่ายแตกต่างกันไป เริ่มต้นที่เดือนละไม่กี่ร้อยบาทไปจนถึงเดือนละหลายหมื่นบาท โดยขึ้นอยู่จำนวนรายชื่อในระบบ ผู้ให้บริการส่วนมากมีการเปิดให้ทดลองใช้ฟรี และจุดเด่นของการใช้เครื่องมือ Email marketing คือ ฟังชั่น Auto Responder

Auto Responder เป็นระบบจัดส่งอีเมล์โดยอัตโนมัติ คุณสามารถเขียนอีเมล์เก็บไว้เป็นชุดและตั้งเวลาส่งตามกำหนดอย่างต่อเนื่องไปหาผู้สมัครรายชื่ออีเมล์แต่ละคนโดยที่คุณไม่ต้องมานั่งส่งเองกับมือทุกวัน

วิธีกระตุ้นให้คนสมัครอีเมล์: ลำพังเพียงลิงค์เชิญคนสมัครอีเมล์ทิ้งไว้เฉย ๆ อาจไม่ดึงดูดให้คนลงทะเบียนรายชื่ออีเมล์มากพอ คุณต้องกระตุ้นให้คนสมัครโดยการแจกของรางวัลฟรีเพื่อแลกกับรายชื่อ โดยของฟรีที่นิยมแจก ได้แก่ Digital material อาทิ E-book หรือ Video course เป็นต้น

กล่องสมัครรายชื่ออีเมล์สามารถออกแบบสวย ๆ ได้โดยตรงจากโปรแกรมของผู้ให้บริการครับ สามารถนำไปแปะไว้ที่ Side bar ของเว็บไซต์หรือ คุณจะทำรูปภาพสวย ๆ ขึ้นมาใหม่เองโพสต์เป็นลิงค์ลงในเฟซบุ๊กก็ได้

ตัวอย่าง Green Exam Academy เก็บรายชื่อทางเว็บไซต์

 

side bar1

 

ตัวอย่าง CEOblog เก็บรายชื่อทาง Facebook Business Page

 

side bar3

การสื่อสารกับผู้สมัครรายชื่ออีเมล์: เมื่อคุณสร้าง Auto responder campaign ขึ้นมาแล้วควรมีอีเมล์ส่งออกไปเป็นชุดเพื่อสื่อสารกับผู้สมัครอย่างต่อเนื่องในช่วงแรกอย่างน้อย 7 – 10 ชุดอีเมล์ (7 – 10 วัน) เพื่อผู้สมัครจะจดจำคุณได้ และอย่างที่บอกไปว่า คุณสามารถทำเป็น E-Book สั้น ๆ ความยาว 20-30 หน้า หรือ คลิปวีดีโอความยาวคลิปละ 3 นาที จำนวน 5-10 คลิป หลังจากนั้นคุณอาจส่งอีเมล์ความรู้ Tips & Trick เป็นตอน ๆ หรือส่งลิงค์บทความในเว็บไซต์ของคุณตามไปวันละครั้งต่อเนื่องทุกวัน หรือวันเว้นวันเป็นเวลา 7-30 วันก็ได้

เปลี่ยนจาก Email เป็น LINE@

Email marketing ในไทยอาจได้ผลลัพธ์น้อยกว่าสำหรับในประเทศไทย เพราะบ้านเรานิยมใช้ Line ในการติดต่อสื่อสาร ทำงาน คุยงาน และซื้อของออนไลน์ ดังนั้นคุณสามารถประยุกต์ใช้กลยุทธ์ Email marketing โดยเปลี่ยนแพลทฟอร์มมาเป็น LINE@ แทน