Toyota ร่วม Softbank ทุ่ม 6 ร้อยล้านบาท ลุยธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับเต็มรูปแบบ

อุตสาหกรรมยานยนต์มีความเคลื่อนไหวอย่างร้อนแรง กลุ่มนายทุนรายใหญ่ทั้งสายยานยนต์และเทคโนโลยีต่างวิ่งจับมือหาพันธมิตรเพื่อพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไร้คนขับ โดยหลังจาก Honda ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นประกาศลงทุน 2,000 ล้านเหรียญ ผ่านบริษัทรถยนต์รายใหญ่ของ GM ของสหรัฐ เพื่อพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ที่ผ่านมา ล่าสุด Toyota ออกมาประกาศความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เช่นกัน

วันที่ 4 ตุลาคม 2018 CNBC รายงานว่า Toyota บริษัทผลิตและจำหน่ายรถยนต์รายใหญ่จากญี่ปุ่นประกาศร่วมมือกับกลุ่มทุน Softbank Corp บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่จากญี่ปุ่นเช่นกัน เพื่อลงทุนพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับด้วยงบการลงทุนเริ่มต้นรวม 17,490,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 600 ล้านบาทเศษ และตั้งเป้างบลงทุนสูงสุดที่ประมาณ 87,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณกว่า 3 ล้านล้านบาท แต่ไม่ได้ระบุว่าภายในช่วงระยะเวลากี่ปีหลังจากวันนี้

Toyota และ Softbank จะร่วมกันจัดตั้งหน่วยธุรกิจ รถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับ ภายในเดือน เมษายน 2019 โดย Toyota มีสัดส่วนหุ้น 49.75% และ Softbank 50.25% โดยมี Junichi Miyakawa, CTO แห่ง Softbank จะเข้ามาเป็น CEO ของหน่วยธุรกิจใหม่นี้

หน่วยธุรกิจใหม่นี้จะถูกเรียกว่า Mobility Service โดยจะมีการเชื่อมโยงเทคโนโลยี Autonomous หรือ พาหนะไร้คนขับเข้ากับเทคโนโลยี Internet of Things และ Big Data เพื่อสร้างบริการพาหนะรับส่งแบบ On-demand เช่น การเรียกพาหนะรับส่งตามสถานที่ที่ผู้ใช้บริการกำหนด, การเรียกพาหนะพยาบาล, และการสั่งอาหาร โดยเหล่านี้ทำผ่านโทรศัพท์มือถือ และพาหนะทั้งหมดเป็น Autonomous หรือไร้คนขับ

บริการเหล่านี้จะเริ่มทดลองใช้งานในประเทศญี่ปุ่นภายในปี 2019 และเมื่อลงหลักปักฐานในญี่ปุ่นอย่างมั่นคงในระดับหนึ่งแล้ว ทั้ง Toyota และ Softbank จะขยายโมเดลนี้ไปทั่วโลก

ทั้งสองบริษัทต่างมีความสนใจในเทคโนโลยีพาหนะไฟฟ้าไร้คนขับและธุรกิจพาหนะ On-demand โดยก่อนหน้านี้ Toyota ได้ลงทุนใน Uber และ Grab ในขณะที่ Softbank ก็ลงทุนในทั้งสองบริษัท Ride hailing เช่นกัน และยังลงทุนใน Didi Chuxing ของประเทศจีน

ตอนนี้กลุ่มนายทุนรายใหญ่ต่างพากันลงทุนในอุตสาหกรรม พาหนะไร้คนขับ รวมเป็นเงินนับ ล้านล้านบาท ซึ่งแม้การลงทุนดังกล่าวจะยังไม่สร้างผลตอบแทน แต่นักวิเคราะห์เชื่อว่า อุตสาหกรรม รถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับ จะเริ่มค่อย ๆ ปรากฏออกสู่ตลาดอย่างชัดเจนในปี 2021 เป็นต้นไป ก่อนที่จะครอบตลาดแบบเบ็ดเสร็จไปทั่วโลกในระยะเวลา 10 – 15 ปี