ทศ จิราธิวัฒน์ เล่าเส้นทางเซ็นทรัล จากห้องแถวหนึ่งคูหาสู่ธุรกิจระดับโลก

ก่อนที่จะมาเป็นศูนย์การค้าอันดับ 1 ของประเทศไทยในปัจจุบันนี้ วันนี้ขอย้อนไปเจาะลึกประวัติความเป็นมาและแนวคิดในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ จาก คุณทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เซ็นทรัลกรุ๊ป จำกัด

แรงบันดาลใจเกิดจากแมกกาซีนฝรั่ง

เริ่มต้นจาก คุณพ่อของผม คุณสัมฤทธิ์ จิราธิวัฒน์ ท่านจบการศึกษามัธยม อายุ 18 ปี ท่านอยากจะเรียนต่อหมอ แต่คุณปู่บอกว่าอย่าเรียนต่อเลย ออกมาทำงานดีกว่า ก็เลยไม่มีโอกาสเรียนต่อปริญญาตรี คุณพ่อกับคุณปู่เริ่มทำงานด้วยกันโดยเริ่มจากร้านหนังสือเล็กๆขายแมกกาซีนต่างประเทศ ขนาดห้องแถว 1 คูหา และเติบโตเป็น 3 คูหา บนย่านเจริญกรุง ซึ่งสมัยนั้นถ้าพูดถึงร้านหนังสือร้านแมกกาซีนต่างประเทศ ทุกคนจะไปดูที่ร้าน Central

หลังจากจะขายแมกกาซีนต่างประเทศ ก็พลิกหน้าหนังสือต่าง ๆ ดูก็ชื่นชอบชื่นชมโฆษณาในแมกกาซีน ดูแล้ว ก็เกิดไอเดียในการนำเข้าสินค้าที่มีคุณภาพ และทันสมัย เหล่านั้นเข้ามาขาย ในประเทศไทย จากนั้นก็มีการขยายสาขาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเริ่มประสบความสำเร็จ

1974 จุดเริ่มต้นของห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัล ชิดลม ห้างสรรพสินค้าที่ทันสมัยที่สุดในประเทศไทยเป็นเวลายาวนานกว่า 40 ปี ก็เกิดขึ้นเมื่อ คุณสัมฤทธิ์ มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศ ไปเห็นห้างที่ ปารีส, ลอนดอน, โตเกียว, นิวยอร์ค ฯลฯ ก็มีความคิดว่าทำไมประเทศไทยไม่มีห้างสรรพสินค้า จึงอยากทำห้างสรรพสินค้าที่ดีที่สุดในประเทศไทยให้ได้ เพื่อให้เทียบเท่ากับนานาประเทศ และในวันนั้นเป็นช่วงที่ค้าปลีกของเรามีความเจริญก้าวหน้า และเป็นที่รู้จักในนานาประเทศ ถือว่าประสบความสำเร็จมากในเอเชีย เช่น ในประเทศสิงคโปร์ ห้าง Central ของเราเป็นห้างอันดับ 1

1982 เซ็นทรัลเริ่มก้าวสู่ธุรกิจ ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ นั่นคือ เซ็นทรัล ลาดพร้าว ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์การค้าที่สมบูรณ์แบบที่สุดในประเทศไทย เพราะไม่เพียงแต่เป็นศูนย์การค้า แต่เป็นคอมเพล็คที่ สมบูรณ์แบบที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีโรงแรม ไฮแอดท์ 550 ห้อง มีศูนย์ประชุมนานาชาติแห่งแรกในประเทศไทย นับเป็นความท้าทายมากเนื่องจากในช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามเวียดนาม ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ตัดสินใจออกนอกประเทศ แต่เซ็นทรัลกลับมองถึงโอกาสในการเติบโตของธุรกิจโมเดิร์นเทรดทั้งทางด้านห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า จึงทำให้เซ็นทรัลกลายเป็น Leader และ Founder ทีมีวิสัยทัศน์มากในขณะนั้น นั้นก็มองว่าธุรกิจค้าปลีกนั้นไม่ใช่แค่ศูนย์การค้าอีกต่อไป แต่ศูนย์การค้าเป็นแค่ส่วนเล็กในธุรกิจค้าปลีกนั้นต่างหาก จึงได้มีโอกาสร่วมสร้างธุรกิจใหม่ ๆไม่ใช่ธุรกิจเดิมๆ

ต่อยอดสู่ ไฮเปอร์มาร์เก็ต สายเลือดไทย

1993 ธุรกิจไฮเปอร์มาร์เก็ตแห่งแรกของประเทศไทย ภายใต้ บิ๊กซี ได้เกิดขึ้น หลังจากที่คุณทศเข้ามาบริหารด้วยวัยเพียง 30 ปี นับเป็นประสบการณ์การทำงานในรูปแบบ SME เพราะเป็นการสร้างธุรกิจใหม่ ที่ไม่ใช่ธุรกิจเดิมที่ทำอยู่แล้ว เพราะเรามองว่าธุรกิจไฮเปอร์มาร์เก็ตเป็นธุรกิจที่จะเติบโตมากขึ้นในอนาคต

หลังจากที่ทำมาได้ 3 ปี ธุรกิจ บิ๊กซี ที่เริ่มจากศูนย์นั้นสามารถทำรายได้ 1 ล้านดอลล่าภายในเวลา 3 ปี ถ้าดูประวัติศาสตร์ บริษัทในโลกนี้มีน้อยมากที่สามารถสร้างยอดขายแบบนี้ได้ภายในเวลา 3 ปี นอกจากนั้นเรามีคู่แข่งคือ คาร์ฟู และ โลตัส บริษัทยักษ์ใหญ่อันดับ 2 และ อันดับ 1 ของโลก ซึ่งเข้ามาพร้อมกัน ทำให้มีโอกาสได้แข่งกับผู้บริหารระดับโลก และสามารถเอาชนะได้

ในปีแรกที่เปิด ลูกค้ายังไม่รู้จักว่าบิ๊กซีคืออะไร ไม่เข้าใจคำว่าไฮเปอร์มาร์เก็ต ไม่เข้าใจว่ารถเข็นใช่อย่างไร เราจึงเป็นเจ้าแรกที่ให้ความรู้ในการซื้อของในห้างไฮเปอร์มาร์เก็ตว่าต้องซื้อของอย่างไร แม้กระทั่งซัพลายเออร์ในวันแรกเค้ายังไม่ขายของให้เราเลย เพราะไม่เข้าใจว่าเราเป็นใครมาจากไหนขายอะไร จนกระทั่งเราได้ออกแบบสินค้าเอง ผลิตเองและขายเอง

จะเห็นว่าผมเองเข้าใจใน SME ในที่นี้เยอะ ว่ามีคนรุ่นใหม่เยอะ สำหรับคนอายุสัก 30 ปี เป็นอะไรตื่นเต้น น่าสนใจมากที่สุด เพราะว่ามี Energy สูงมาก Creativity สูง มี Innovation สูงมากและกล้าลองในสิ่งใหม่ใหม่ เพราะฉะนั้นกลุ่มเซ็นทรัลเอง จึงให้ความสำคัญอย่างสูงกับธุรกิจ SME อันนี้คือตัวอย่างที่หนึ่งที่ว่าเรามีความตั้งใจที่จะสร้างให้บิ๊กซี เป็นมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยได้

สุดท้าย ก็คิดอยากจะทำโรงแรมที่เมืองไทย ไม่เคยเห็นมาก่อนสร้าง Pool villa Concept ขึ้นมา ซึ่งตอนนั้นในเมืองไทยยังไม่มี และจะเป็นแห่งแรกของประเทศไทย มีสถาปนิกอายุ 30 หมดเหมือนกัน เมื่อก่อนไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครเคยทำโรงแรม ไม่มีประสบการณ์แต่หลังจากทำเสร็จหนังสือ Condé Nast Traveller ของประเทศอังกฤษเอาโรงแรมของเราขึ้นหน้าปกเป็น Best Hotel in the World ขึ้นหน้าแรก อายุ 30 ปีไม่มีประสบการณ์แต่สามารถสร้างอะไรที่เป็นระดับโลกได้ ต่างจากบิ๊กซีที่ว่าเราไม่ได้เน้นเราเน้น ‘คุณภาพ‘ ขอให้เป็นอะไรที่ตั้งใจทำที่เดียว แล้วให้มันดีที่สุด

ก้าวไกลสู่สากล

ปัจจุบันกลุ่มเซ็นทรัลขยายธุรกิจไปทั่วโลก ทั้งในภูมิภาคและยุโรป เราเป็นทั้ง Local Company ที่มีความเป็นสากลมาก เพราะเป็นบริษัทไทยแต่ที่มีเครือข่ายธุรกิจต่างประเทศมากมาย

ที่สำคัญใน 30 ปีที่ผ่านมาเราภูมิใจมากที่ได้เห็นพาร์ทเนอร์ธุรกิจ SME ที่ค้าขายกับ Central ตั้งแต่ผมอายุสิบกว่าขวบจนถึงวันนี้ผ่านมาหลายสิบปีก็ยังทำการค้ากับเรา และหลายท่านประสบความสำเร็จ เติบโตเป็นเจ้าสัวกันไปก็มี บางครั้งบางท่านก็นั่งรถหรูมาร์ตินมาทำสัญญาธุรกิจ เป็นภาพที่เห็นแล้วภูมิใจตรงที่มีส่วนได้ทำให้คู่ค้าโตด้วยกันไปทั้งหมด ทุกคน ทุกแบรนด์ และเหล่านี้คือหัวใจของ Central คือสร้างการเติบโตอย่างทั่วถึง เราสำเร็จคนเดียวไม่ได้หากไม่มี SME ที่โตไปพร้อมกับเรา

เราเรียนรู้อะไรบ้าง

Tos Chirathivatข้อคิดธุรกิจที่เราได้จาก คุณทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เซ็นทรัลกรุ๊ป จำกัด ดังนี้

ผลงานที่ยิ่งใหญ่ขับเคลื่อนด้วยจินตนาการ

ใครจะคิดว่าอาณาจักรเซ็นทรัลในวันนี้มีจุดเริ่มต้นจากรูปสินค้าในแมกกาซีนฝรั่ง ที่เห็นสินค้าน่าสนใจมากมายและอยากดึงมันออกมามีตัวตนจริง ๆ ในประเทศไทย

หาโรลโมเดลแล้วทำทันที

หลังจากได้ไอเดียทำธุรกิจแล้ว มีการศึกษาไตร่ตรอง ดูโรลโมเดลที่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศแล้วนำกลับมาประยุกต์ทำโดยไม่รอให้มีใครทำก่อนในประเทศไทย โดยเชื่อในต้นแบบว่า ฝรั่งทำได้ ไทยก็ทำได้

กล้าเสี่ยง

ในช่วงบ้านเมืองไม่สงบ เป็นช่วงที่ผู้ประกอบการต่างถอยจากการลงทุนทำธุรกิจ แต่เซ็นทรัลคว้าเป็นโอกาส ประเมินสถานการณ์ แล้วบุกตลาดในวันที่คนอื่นกลัว

ตั้งใจทำให้ดีที่สุด

การต่อยอดธุรกิจในกลุ่มทีตนเองมีประสบการณ์น้อยกว่า อาทิ ไฮเปอร์มาร์เก็ต และโรงแรม ไม่ใช่ข้ออ้างในการรีรอ เมื่อเห็นโอกาสก็ลงมือทำและตั้งใจทำให้ดีที่สุด