Digital Marketing คืออะไร : ที่สุดของความเบสิกที่หลายคนอาจไม่รู้

ใคร ๆ ก็อยากขายของออนไลน์ ใคร ๆ ก็อยากทำการตลาดออนไลน์ แต่คนจำนวนมากเข้าสู่โลกออนไลน์ เปิดแฟนเพจ โพสต์ขายสินค้า ยิงโฆษณาเฟสบุ๊ค ยอดไม่มา ขายไม่ได้ ไม่มีคนสนใจ กดไลค์แต่ไม่ซื้อ ทักมาสนใจแล้วก็หายไป ทำไมจึงเป็นเช่นนี้?

รู้จักภาพใหญ่การตลาดออนไลน์

วันนี้ทุกคนรู้จัก Facebook แล้ว หลายคนขายของ Facebook หรือ Media ทั้งหมดลงบน Facebook หรือบนโซเชียลฯ อื่น ๆ เช่น Instagram, Twitter เป็นต้น แต่แพลทฟอร์มเหล่านี้เป็นเพียงฟังเฟือนเล็ก ๆ ในจักรวาล Digital Marketing ทั้งหมด

จักรวาล Digital Marketing ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง?

1. Own Media:

เป็นแพลทฟอร์มสื่อของคุณเอง ได้แก่ เว็บไซต์ — เป็นการสร้างเว็บไซต์และบรรจุ เนื้อหา สินค้า และหน้าร้านออนไลน์ ลงบนเว็บไซต์องคุณ

ปัจจุบันเว็บไซต์ทำง่ายมาก มีทั้งแบบทำเองด้วย WordPress หรือใช้โปรแกรมสำเร็จรูป ได้แก่ Wix.com ก็สามารถมีเว็บไซต์สวยงามทำง่ายในราคาหลักพันบาทภายใน 1 วัน คุณสามารถดูวิธีทำเว็บไซต์ด้วย WordPress แบบ Step-by-Step ตั้งแต่เช่าโฮสต์ จดโดเมน และลง WordPress โดย Click ที่ลิงค์ หรือ พิมพ์คำว่า ‘CEO วิธีสร้างเว็บไซต์ WordPress’ ใน Google และทำตามขั้นตอนที่ CEOblog บอกไว้ได้เลย

2. Social Media:

โซเชียลมีเดียกลายเป็นแพลทฟอร์มที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในการใช้ทำธุรกิจและการตลาดออนไลน์โดยเฉพาะ Facebook, Instagram และ Twitter ด้วยเหตุผลง่าย ๆ คือ เริ่มต้นง่าย ใช้ง่าย ฟรี และเข้าถึงคนได้ทันที — แต่เมื่อคนแห่ใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ จึงเกิดอะไรขึ้นครับ?

ผู้ให้บริการแพลทฟอร์มเหล่านั้นก็ต้องออกกฏและเงื่อนไขใหม่ ๆ เพื่อจำกัดพฤติกรรมการใช้งานที่มุ่งเน้นไปในทางแสวงหากำไร ไม่ว่าจะเป็นการจำกัดการเข้าถึงสายตา ผู้คน การควบคุมประเภทสินค้าที่ใช้โฆษณา และการกำหนดค่าโฆษณาหากต้องการขายสินค้าเป็นต้น

อย่างไรก็ดี Social media ก็ยังถือว่าเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในแง่ของความเร็วในการเข้าถึง และคุณควรใช้มันเป็น พ่อสื่อ หรือ สื่อกลาง ในการพาคนออกจากโซเชียลฯ มายังพื้นที่ที่คุณมีอำนาจมากกว่า นั่นคือ เว็บไซต์ ดั่งที่ Brandon McCormick โฆษก Facebook แย้มเป็นนัย ๆ ว่า…

Advertisers should think of fans as a means to an end, not as the end in themselves

แปลว่า “พวกท่านจงมองแฟนเพจเป็นเพียงช่องทางเพื่อนำไปสู่วัตถุประสงค์อื่น มิใช่เพื่อเป็นวัตถุประสงค์หลักโดยตัวมันเอง

3. Earn Media:

เป็นการที่เนื้อหาของคุณได้รับการเผยโดยการบอกต่อ ส่งต่อ และแชร์ต่อโดยผู้อื่น อาทิ คนนำลิงค์บทความบนเว็บไซต์ หรือลิงค์ของโพสต์ใดโพสต์หนึ่งในเฟซบุ๊คของคุณไปแปะลงในกระทู้พันทิป หรือแปะลงในบทความบนเว็บไซต์ของเขา หรือกดแชร์ต่อไปยังเฟซบุ๊คหรือแฟนเพจของเขา เพื่อใช้อ้างอิงประกอบเนื้อหาที่เขากำลังพูดถึง

เหตุการณ์นี้เรียกว่าคุณได้รับ Earned media เป็นการได้รับการประชาสัมพันธ์ฟรี ๆ ที่มีประสิทธิภาพสูง เพราะการที่ผู้อื่นพูดถึงคุณนั้นจะน่าเชื่อถือและทรงพลังกว่าการที่คุณพูดถึงตัวเอง และการจะได้มาซึ่ง Earn media คือการทำเนื้อหาที่มีคุณภาพ มีประโยชน์อย่างต่อเนื่อง และหากกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้องมาพบเจอก็มีโอกาสที่เขาอยากบอกต่อสิ่งที่เขามาเจอจากคุณ

4. Paid Media:

เป็นการซื้อสื่อ ได้แก่ ซื้อพื้นที่โฆษณาในเว็บไซต์ข่าวและแฟนเพจที่ตรงกลุ่มเป้าหมายของคุณและมีคนติดตามจำนวนมาก และการซื้อโฆษณาผ่านเครื่องมือโฆษณา อาทิ Facebook Ads และ Google Ads

Paid Media ต้องใช้เงินก็จริง แต่เป็นวิธีการเข้าถึงคนจำนวนมากได้เร็วที่สุดแล้ว อย่างไรก็ดีการยิงโฆษณาออนไลน์แม้จะช่วยให้คนเห็นคุณได้เยอะ แต่อาจจะไม่เกิดผลลัพธ์กลับมาเท่าที่ควรหากกระบวนการของ Customer Journey ของคุณยังไม่สมบูรณ์

5. SEO:

ย่อมาจาก Search Engine Optimization เป็นการปรับแต่งเว็บไซต์และเนื้อหาให้เข้าเงื่อนไขที่จะทำอันดับดี ๆ บน Google คำว่าอันดับดี ๆ นั้นหมายถึงหน้า 1 และถ้าจะให้สุดจริง ๆ ก็ต้องเป็นหน้า 1 Top 3 นั่นเอง

เพราะการถูกค้นหาเจอบน Google ในหน้า 1 ท็อป 3 หรืออย่างน้อยก็ท็อป 5 ช่วยให้คุณได้ฟรีทราฟฟิกเข้าเว็บไซต์อย่างต่อเนื่องตลอดช่วงเวลาที่เว็บคุณติดอันดับ ซึ่งอาจจะ 2 ปี 5 ปี หรืออาจจะ 10 ปีเลยก็ได้!

ต่างจากการโพสต์บทความบน Facebook ซึ่งจะมีช่วงพีคของการมองเห็นที่ 48 – 72 ชั่วโมง ก่อนที่การเข้าถึงสายตาผู้คนจะลดลงอย่างรวดเร็วจนดับสนิท แต่เว็บไซต์ที่ติดอันดับ Google จะฝังแน่นทนนานเป็นปี ๆ ทราฟฟิกจะไหลมาเทมาเรื่อย ๆ

ยกตัวอย่างเช่น ผมเป็นตัวแทนขายโฮสต์ และทำบทความรีวิวเว็บโฮสติ้งโดยลงทุนทุ่มเทเวลาสร้างบทความอย่างดีมา 1 ชุดมี 3 ตอน ทุกชุดจะมีลิงค์โยงใยหากันและมี Affiliate link ไปยังหน้าขายสินค้า บทความติดหน้า 1 ท็อป 3 ของ Google ส่งผลให้มีทราฟฟิกของคนที่กำลังมองหาบริการโฮสติ้งเข้ามาอย่างต่อเนื่องและสร้างยอดขายทุกเดือนตลอดทั้งปีโดยที่ผมไม่ต้องทำอะไรกับบทความเหล่านั้นอีกแล้ว!

6. List Building:

เป็นการสร้างฐานข้อมูลผู้มุ่งหวังซึ่งคุณจะได้อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งหมดนี้ ได้แก่ ชื่อ เบอร์โทร อีเมล์ ที่อยู่ พฤติกรรมการใช้จ่าย และความสนใจต่าง ๆ ตามแต่คุณจะสร้างเงื่อนไขการเก็บรายชื่อ แต่ที่นิยมทำกันมากที่สุดคือเก็บแค่ ชื่อ และ อีเมล์

การทำ List building ต้องอาศัยเครื่องมือที่เรียกว่า Lead generation ได้แก่ โปรแกรมสร้างแบบฟอร์มสมัครสมาชิก และโปรแกรมเก็บฐานข้อมูล อาทิ Email marketing software และโปรแกรม Chatbot เป็นต้น ในต่างประเทศนิยมใช้ Email marketing ส่วนในไทยผมใช้ Chatbot

7. Re-Marketing:

ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจคร่าว ๆ ระหว่าง Re-targeting และ Re-marketing

Re-targeting เป็นการประชาสัมพันธ์ไปหาผู้มุ่งหวังที่เกิด Awareness และ Interest ในแบรนด์ของคุณแล้ว เชิญชวนให้พวกเขามาสมัครสมาชิกเข้าสู่ระบบของคุณ หรือชวนมาซื้อสินค้า หรือจะเรียกว่าเป็นกระบวนการเปลี่ยน Cold prospect ให้เป็น Hot prospect หรือแม้แต่ให้เป็น Buyer โดยตรง

ส่วน Re-marketing เป็นการประชาสัมพันธ์ไปหาคนที่อยู่ในระบบของคุณอยู่แล้ว เป็น Hot prospect หรือเป็น Repeating customers

การทำ Re-marketing จะทำผ่านเครื่องมือ อาทิ Email marketing, Chatbot หรือวิธีสุดคลาสสิกอย่าง Telesales แต่วิธีหลังอาจจะดูบุกรุกไปหน่อย และอาจจะเหมาะกับสินค้าที่มีราคาสูงถึงจะคุ้มต่อการคุยรายคน

การทำ Re-marketing ควรต้องให้เป้าหมายผ่านกระบวนใน Customer Journey มาถึงจุดพวกเขาเป็น Potential Buyer หรือที่เรียกว่า Hot prospect คือ เชื่อมั่นและพร้อมจะซื้อของจากคุณ รวมไปถึงคนที่เคยเป็น Buyer มาแล้ว เพราะหากพวกเขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มนี้ การ Re-marketing จะเสี่ยงถูกผู้รับสารมองว่าคุณเป็น Spam

และนี่คือภาพใหญ่ของจักรวาล Digital Marketing และต้องบอกว่าเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีอีกมาก และในแต่ละข้อก็ยังแตกออกเป็นหลากหลายหัวข้อยิบย่อยซึ่ง CEOblog มีบทความแยกไปอีกในแต่หัวข้อย่อยสำคัญ ๆ ที่สามารถประยุกต์ใช้ในบ้านเราได้