Facebook แบนโฆษณาขาย ‘หน้ากากอนามัย’ หลังพบผู้ขายบวกราคา 100 เท่า และมีข้อความโฆษณาเกินจริง

6/3/2020 Facebook ประกาศว่าได้ทำการแบนโฆษณา และโพสต์ประกาศขายสินค้าใน FB Marketplace ที่อ้างสรรพคุณเกินจริงเกี่ยวกับการป้องกัน ‘ไวรัสโคโรน่า’ หรือ โควิด-19 และสินค้าที่ขายโก่งราคา โดยมีใจความสำคัญดังนี้

“We are temporarily banning advertisements and commerce listings, like those on Marketplace, that sell medical face masks. We’ll begin to enforce this change over the next few days. We already prohibit people from making health or medical claims related to the coronavirus in product listings on commerce surfaces, including those listings that guarantee a product will prevent someone from contracting it. Our teams are monitoring the COVID-19 situation closely and will make necessary updates to our policies if we see people trying to exploit this public health emergency.”

แปลว่า

เราได้ทำการแบนประกาศโฆษณาเฟซบุ๊ค และแบนประกาศขายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับ หน้ากากอนามัย ใน Marketplace เป็นการชั่วคราว

เราจะไม่อนุญาตให้มีโฆษณาและประกาศใด ๆ อ้างถึงสรรพคุณในการป้องกันการติดเชื้อไวรัส โควิด-19 โดยทีมงานของเราจะทำการสอดส่องดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้คนเหล่านั้นเข้ามาฉวยโอกาสและสร้างความเข้าใจผิดแก่ผู้คนในช่วงเวลาวิกฤตแบบนี้

นอกจากโฆษณาที่อ้างสรรพคุณเกินจริงแล้ว ยังพบว่ามีการขายหน้ากากอนามัยโก่งราคาสูงสุดถึง 100 เท่าตัวอีกด้วย โดยหน้ากากอนามัยกล่องละ 50 ชิ้นที่เคยขายในราคากล่องละ 4.95 ดอลล่าร์ ถูกนำมาโพสต์ขายใน Facebook Marketplace ในราคาสูงถึง 500 ดอลล่าร์ (ขวาล่างของรูปภาพ)

ทางด้าน US Surgeon General หรือ ศัลยแพทย์ใหญ่สหรัฐ ได้ออกมาบอกผ่าน Twitter ว่า
หน้ากากอนามัยไม่ได้ประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อสำหรับประชาชนทั่วไปอย่างที่เข้าใจ แต่สำหรับทีมแพทย์ที่ต้องดูแลผู้ป่วยโดยตรงทุกวัน หากไม่มีหน้ากากอนามัยใช้ พวกเขาจะตกอยู่ในอันตรายสูงสุด

สำหรับสภาวะขาดแคลนหน้าการอนามัยในขณะนี้กำลังเป็นปัญหาไปทั่วโลก

Seriously people- STOP BUYING MASKS!

They are NOT effective in preventing general public from catching #Coronavirus, but if healthcare providers can’t get them to care for sick patients, it puts them and our communities at risk!
https://t.co/UxZRwxxKL9

— U.S. Surgeon General (@Surgeon_General) February 29, 2020