สุดยอดบล็อกนักลงทุน ปิยะพงศ์ อินทรปาน แห่ง TradeTory.com กับนิชด้าน TFEX

Golf

นี่คือที่สุดของบทความความรู้ด้าน TFEX จาก Blogger ในนิชนี้โดยเฉพาะ คุณจะได้เข้าใจตั้งแต่หน้าที่ของอาชีพที่หลายๆคนใฝ่ฝันนั่นคือ Proprietary Trader ไปจนถึงวิธีคิดและวิธีการลงทุน ต่อด้วยวิธีการนำความรู้ของตนเองมาสร้าง Authority site ในสาขาของการลงทุน TFEX และวิธีโปรโมท Blog ที่ไม่ธรรมดาของผู้ชายคนนี้

แขกผมวันนี้มีชื่อว่า คุณปิยะพงศ์ อินทรปาน หรือ คุณกอล์ฟ เจ้าของบล็อก ปัจจุบันอายุ 29 ปี จบการศึกษาระดับชั้นปริญญาตรีจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะรัฐศาสตร์ ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ศึกษาต่อระดับชั้นป.โท MBA การเงินที่นิด้า เข้าทำงานในแผนกวิเคราะห์หลักทรัพย์สถาบันที่ บล.UOBKH เป็นเวลา1ปี ก่อนที่จะลาออกมาค้นหาตนเองอีกครึ่งปี ปัจจุบันทำงานเป็น Prop Trader เทรด TFEX ให้กับ บริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป ประเทศไทย โดยมีประสบการณ์ในฐานะเทรดเดอร์อาชีพมายาวนานมากกว่า 4.5 ปี

Proprietary Trader คืออะไร

Proprietary Trader หรือสั้นๆว่า  Prop Trader เป็นอาชีพที่เป็นที่อยู่ในความสนใจอย่างสูงจากผู้คนในช่วงไม่กี่ปีให้หลัง เพื่อเป็นการทำความเข้าใจกับอาชีพนี้ให้มากขึ้น คุณกอล์ฟ ได้อธิบายอย่างละเอียดไว้ดังนี้ครับ

[hr]

เทรดเดอร์ที่เทรดให้ตามบริษัทหลักทรัพย์ต่าง ๆโดย หน้าที่หลักคือนำเงินของบริษัทหลักทรัพย์มาลงทุนตามนโยบายของบริษัทนั้นๆ มีรูปแบบกลยุทธ์การลงทุนที่หลากหลาย ตามแต่สไตล์ของเทรดเดอร์นั้นๆ โดยรายได้หลักมากจาก ส่วนแบ่งผลกำไรและขาดทุนกับทางบริษัทที่เรียกว่า Profit sharing

จุดเด่นของงาน Prop Trader ผม (คุณกอล์ฟ) ขอสรุปเป็นข้อๆแบบนี้แล้วกันครับจะได้เข้าใจง่าย

• สังกัดตามบริษัทในฐานะพนักงาน ในแผนกที่เรียกว่า “proprietary Department”

• คุณสมบัติหลัก คือ การอ่านตลาดให้ออกเเละเทรดให้ได้กำไรต่อเนื่องครับ (อันนี้สำคัญสุด)เราควรจะเทรดได้กำไรอยู่เเล้ว เเม้ว่าจะใช้ค่าธรรมเนียมอัตราพิเศษ ค่าธรรมเนียมของใหญ่ ค่าธรรมเนียมรายย่อย เราต้องสามารถเทรดได้หมด เพราะ บล.ค่อนข้างคาดหวังว่า คนที่จะทำงานสายนี้ต้องอ่านตลาดค่อนข้างขาด และสามารถทำกำไรได้ครับ เปรียบเหมือนทหารรับจ้าง ที่ต้องทำการรบได้ทันที เมื่อมีคำสั่งลงมาครับ

• มีนโยบายควบคุมเรื่องความเสี่ยงในการลงทุนที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด จากทางบริษัท เพื่อป้องกันการขาดทุนอย่างหนักที่อาจจะเกิดขึ้น ดังนั้นเทรดเดอร์อาชีพทุกคนจะได้รับการฝึกฝนอย่างหนักเรื่องการคุมความเสี่ยง (Cut loss) ครับ

• มีการตรวจสอบอย่างเข้มข้น ทั้งจาก Compliance จากตลาดหลักทรัพย์ และกลต.

• โดยปกติแล้วค่าธรรมเนียมในการซื้อขายของ Prop Trader ต่ำกว่ากว่าลูกค้าปกติ เนื่องจากหน้าที่ส่วนนึงคือ การสร้างสภาพคล่องให้ตลาด เมื่อเรามีปริมาณการเทรดที่เรียกว่ามากกว่าบุคคลทั่วไป จึงได้ส่วนลดจากวอลลุ่มการซื้อขายปริมาณมากๆครับ แต่ในปัจจุบันค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย ซึ่งถูกมองว่าเป็นจุดได้เปรียบในการทำกำไรของ Prop Trader ก็ถูกปรับให้สูงขึ้นใกล้เคียงกับลูกค้ารายใหญ่แล้ว

• เวลาทำงานจริงๆ คือเมื่อตลาดเปิด 10.00-12.30น. ( 2 ชั่วโมงครึ่งในช่วงเช้า)เเละ 14.30-17.00 น.(อีก2 ชั่วโมงครึ่งในช่วงบ่าย) จบงานเมื่อตลาดปิด ส่วนใหญ่งานของเทรดเดอร์จะจบในวัน

• งานค่อนข้างเครียดถึงเครียดมาก โดยในช่วง 3 เดือนแรกที่ผมทำงานและผมยังหาวิธีทำกำไรไม่ได้ ผมเครียดมากครับ เพราะไม่รู้ว่าจะถูกให้ออกจากงานเมื่อไหร่ ผมเคยเกือบถูกผู้บริหารเรียกไปคุยในช่วงแรกๆของการทำงานด้วยครับแต่โชคดีว่าสามารถประคองตัวและเริ่มทำกำไรกลับมาได้ในช่วงนั้น เส้นทางสายอาชีพนี้ถ้าขาดทุนติดต่อกันก็จะถูกเชิญให้ออกจากบริษัทอย่างง่ายได้ ถ้าให้เลือกอาชีพนึงในสายการเงินที่มีความกดดันเวลาทำงานสูงสุด ผมก็คิดว่า อาชีพ “Prop Trader” นี่แหละครับ เป็นอาชีพที่เข้ามายาก แต่ออกง่าย

• ในบริษัทหลักทรัพย์ของต่างประเทศ โครงสร้างรายได้ของเขาจะมาจาก Proprietary Trading ค่อนข้างมาก ในขณะที่บริษัทหลักทรัพย์ของบ้านเรา เน้นรายได้จากค่าธรรมเนียมในการซื้อขายเป็นหลัก ต่อไปในอนาคตผมเชื่อว่าหากมีการปรับเปลี่ยนให้มีค่าธรรมเนียมในการซื้อขายแบบเสรี รายได้หลักของบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆก็จะต้องมาจากแผนก Proprietary Department

• มีรายได้จากเงินส่วนที่ Fix + Profit Sharing จากเงินพอร์ตของบริษัท รายได้เป็นส่วนแบ่งกำไรจากบริษัท (Profit Sharing) เท่านั้น ดังนั้นรายได้จึงขึ้นอยู่กับทักษะในการเทรดเป็นหลัก ถ้าเทรดดีรายได้ก็จะสูงมาก แต่ถ้าเทรดไม่ดีก็ค่อนข้างลำบากเลยทีเดียว เทรดเดอร์มืออาชีพนั้นจะมีรายได้จาก Profit Sharing มากกว่ารายได้ส่วน Fix ในบางปีที่ตลาดดีๆเทรดเดอร์บางคนได้ Profit sharing เทียบเท่ากับโบนัสถึง 100-200 เดือนเลยทีเดียว ส่วนประสบการณ์ส่วนตัวของผม Profit sharing ที่ผมเคยได้รับสูงสุดอยู่ในช่วงปี 2013 ที่ผ่านมา โดยผมได้ sharing เทียบเท่ากับโบนัสราวๆ 80 เดือน ครับ

• Profit sharing ที่ได้แบ่งมาจากทางบริษัทหลักทรัพย์นั้น มีตั้งแต่ 10-60% ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ และความสามารถ โดยจำนวนเงินที่ได้รับมานั้น จะถูกนำไปคำนวณในฐานภาษีด้วย

• เทรดเดอร์พวกนี้ หากเทรดให้ธนาคารก็จะมีชื่อเรียกต่างหาก ส่วนใหญ่ธนาคารจะมีโต๊ะเทรดต่างๆ รวมถึงโต๊ะเทรดค่าเงิน ซึ่งเทรดเดอร์ที่ทำหน้าที่เทรดค่าเงินให้ธนาคารพวกนี้ หากเทรดเก่ง ค่าตัวก็จะสูงมาก และอาจมี Bank ต่างชาติมาซื้อตัวไปทำงาน คล้ายๆกับนักบอลที่มีการซื้อขายย้ายทีม ตามสโมสรอย่างนั้นเลยครับ เทรดเดอร์ที่เก่งๆก็อาจจะได้รับการ Offer ผลประโยชน์ในรูปแบบต่างๆคล้ายๆนักบอลกันเลยทีเดียว

ผมขอสรุปคำนิยามของอาชีพ เทรดเดอร์ ผ่านทางคำพูดขอ Joe Dinanapoli ซึ่งเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพระดับโลกไว้ว่า

1. เทรดเดอร์จะมี Lifestyles ที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างมาก เนื่องจากมีอิสระทั้งด้านความคิด การเงิน และเวลา แต่มีข้อแม้ว่าระบบการเทรดต้องสามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง
2. ความตื่นเต้น ความท้าทายในชีวิต จะมารวมกันในชีวิตของเทรดเดอร์อย่างแน่นอน
3. เราจะมีโอกาสได้พบกับคนที่มีศักยภาพมากๆของวงการการเงิน ซึ่งอาจจะเป็นเพื่อนของเราคนใดคนนึงก็เป็นได้

[hr]

เล่าถึงบล็อกของคุณกอล์ฟ บล็อกหลักๆ ตอนนี้มีบล็อกอะไร เป็นบล็อกด้านไหน และแต่ละบล็อกมีความแตกต่างกันอย่างไร?

Tradetory.com นั้นผมเริ่มเขียนมาตั้งแต่ปี 2009 แล้วครับ เป็น Blog ที่รวบรวมบทความดีๆเกี่ยวกับเรื่องของการลงทุนและการเทรด และก็ที่สำคัญ เป็นจุดเด่นของ Blogนี่เลยนั้นก็คือ Trader Diary หรือบันทึกการเทรดนั่นเอง Blog นี้ผมตั้งใจจะถ่ายทอดประสบการณ์ทั้งหมดที่ผมพบเจอทั้งหมดบนเส้นทางของเทรดเดอร์แบบไม่มีกั๊กครับ และใน Blog นี้ยังมีกิจกรรมออกแนวเพื่อสังคมจำนวนมาก เช่น จัดสัมมนาฟรีเกี่ยวกับเรื่องพื้นฐานการลงทุนใน TFEX , สัมมนาเพื่อนำเงินทั้งหมดไปทำบุญในโอกาสต่างๆครับ

ส่วน TFEXRoom.com นี่ผมเพิ่งตั้งเมื่อปี 2014 ครับ โดยเป็น Blog ที่ออกในเชิงธุรกิจหน่อย ผมขอแยกความแตกต่างกันตามประเด็นต่อไปนี้ครับ

1. รูปแบบของเนื้อหา-การโฟกัส

Tradetory.com เป็น Blog บันทึกไดอารี่ โดยเน้นเรื่องราวเเต่ละวันที่ผมได้ประสบพบเจอจากตลาดในเเต่ละวัน รวมถึงกิจวัตรประจำวัน รูปแบบการดำเนินชีวิตของผมในฐานะของเทรดเดอร์ Blog นี้ผมจะยังคงบันทึกต่อไปเรื่อยๆ ครับ

TFEXRoom.com เป็นเว็บที่เน้นเรื่องการเจาะลึกลงทุนใน TFEX เป็นหลักจะไม่เน้นเรื่องอื่นๆ จัดตั้งมา เพื่อให้สอดคล้องกับเเนวคิดของผู้บริหารบ.ลที่ผมอยู่ ที่ให้เทรดเดอร์ช่วยมาเป็นวิทยากรให้ความรู้นักลงทุนของทาง บ.ล.ครับ เพื่อเสริมสร้างความรู้ใหม่ๆให้กับนักลงทุน ผมเลยต้องสร้างรูปแบบที่ดูเป็นทางการมากขึ้นครับ

2. ปณิธานเเละเเรงผลักดัน 

Tradetory.com เป็นเว็บที่กะจะให้ 100% โดยที่นักลงทุนสามารถจะเรียนรู้จากประสบการณ์ของผมได้เลยไม่ต้องลองผิดลองถูก เว็บ Tradetory.com จะมีการจัดกิจกรรมที่ออกไปในเเนวทางเพื่อสังคมหรือการกุศลมากกว่า เช่น จัดสัมนาฟรี ร่วมกับเว็บอื่นในการจัดสัมนาเพื่อนำรายได้จากการจัดไปใช้ในโครงการการกุศลอื่นๆ ดังนั้นเว็บนี้เป็นเว็บที่ไม่ได้ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อหารายได้เข้าเว็บครับ

TFEXRoom.com นอกจากจะมีเนื้อหาความรู้ที่ focus ไปในเรื่องของ TFEX เป็นหลักเเล้ว ในอนาคตก็ยังมีสินค้าอื่นๆ เช่น E-book เข้ามาวางขายด้วยครับ อย่างล่าสุดนี้ ผมหมดสัญญาลิขสิทธิ์กับทาง SE-Ed เเล้ว เวลาที่เพื่อนๆสั่งหนังสือเส้นทางเทรดเดอร์ก็ไม่สามารถจะสั่งได้ ผมเลยตั้งใจว่าจะปรับปรุงเนื้อหาใหม่ราวๆ40-50% เเล้วนำออกมาขายผ่านทางเว็บในรูปแบบของ E-book เเทน อีกทั้งราวๆกลางปีผมก็กำลังจะออก E-book อีก 1 เล่ม เเล้วจัดจำหน่ายผ่านทาง Tfexroom ด้วยเช่นกัน รูปแบบของเว็บจึงออกไปในเเนวของเว็บเพื่อกึ่งๆการค้าเเละมีการสร้างรายได้เข้าเว็บครับ

3. Google

Tradetory.com ถ้าลองค้นหาเกี่ยวกับเรื่องหุ้น หรือการลงทุนใดๆก็ตามจะไม่พบเว็บนี้อยู่หน้าเเรก นักลงทุนส่วนใหญ่รู้จักเว็บนี้จากการบอกต่อกันมากกว่า

TFEXRoom.com ตั้งใจจะทำให้เจอมาหาผ่าน Google เพียงเเค่พิมพ์คำว่า TFEX จะได้ง่ายเเละสะดวกต่อการค้นหา เวลาที่มือใหม่ๆที่สนใจในการลงทุนจะได้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย

4. ยึดพื้นที่สร้างน้ำดี ป้องกันน้ำเสีย

ผมรู้สึกผิดหวังมากๆ เวลาที่ค้นหาคำว่า “วิธีการเล่นหุ้น“, “สอนเล่นหุ้น” เเละอื่นๆเกี่ยวกับหุ้น เเล้วเจอเเต่เว็บที่ชวนไปเทรดออปชั่นต่างประเทศ เเถมเน้นชักชวนคอร์สสัมมนาก็ราคาเเพงระดับ หลักหมื่นหลักเเสนทั้งนั้นเลย เว็บไซด์เหล่านั้นสามารถยึดพื้นที่ๆเกี่ยวกับหุ้นในหน้าเเรกเป็นจำนวนมาก ทำให้นักลงทุนมือใหม่ที่สนใจลงทุนในหุ้นจริงๆ ถูกชักชวนให้เบนไปในทางอื่น ซึ่งผมก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้เเล้วครับ เพราะ Bid ที่จะโฆษณาเพื่อไปอยู่หน้าเเรก Google เกี่ยวกับหุ้นนั้นเเพงมาก

ผมไม่อยากให้เกิด เหตุการณ์เเบบนี้ซ้ำกันอีกใน TFEX นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ผมตั้ง TFEXRoom.com ขึ้นมา เพื่อวันนึงจะได้ขึ้นเป็นป้อมปราการ ไม่ให้นักลงทุนถูกชักจูง ไปในเส้นทางที่ ไปเเล้วกลับมาได้ยากครับ การที่มี TFEX อยู่ในชื่อ TFEXRoom ผมเรียกมันว่า Keyword in domain เเบบนี้สามารถจะทำให้เว็บขึ้นหน้าเเรกได้ครับ

5. Blogger VS WordPress

Tradetory.com ใช้ Blogger เป็นระบบปฏิบัติการ ซึ่งปรับเเต่งเว็บได้ยาก จะว่าไปก็เปรียบเหมือนกับโนเกียรุ่นเก่าๆหน่อยที่ ต้องการคงความ Classic เเละความดั้งเดิมเอาไว้ ซึ่งผมก็ยังจะคงใช้ระบบปฏิบัติการนี้ต่อไป

TFEXRoom.com ใช้ WordPress เป็นระบบปฏิบัติการ ซึ่งสามารถปรับเเต่งได้มากมาย เหมือนเวลาที่เราใช้ iphone เเล้วเราสามารถที่จะเพิ่มความสามารถใหม่ๆให้กับ iphone ของเราได้ด้วยการ หาApp ใหม่ๆมาลง wordpress ก็เช่นกัน ถ้าเราอยากจะเพิ่มลูกเล่น เราก็สามารถที่จะติดตั้ง Plug-in ใหม่ๆเข้าไป

แรงบันดาลใจที่ทำให้เปิดบล็อกใน Niche ดังกล่าว?

ต้องย้อนกลับไปเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2009 ครับ ตอนนั้นผมลาออกจากงานและก็อยากจะมุ่งสู่หนทางของการเป็นเทรดเดอร์อิสระ ผมขอดึงคำพูดทั้งหมดในวันแรกของการเขียน Blog มาให้เพื่อนๆ ได้ลองมาอ่านกันดูนะครับ

K.Golf

ทั้งหมดนี้คือแนวคิดของผมเมื่อย้อนกลับไปราวๆ 5 ปีที่แล้ว จากวันนั้นถึงวันนี้ก็มีอะไรเปลี่ยนไปเยอะอยู่เหมือนกัน อันได้แก่

1. นามปากกาเปลี่ยนไปครับ ปัจจุบันใช้ Tradetory แทน Optionist

2. แม้ว่าเป้าหมายในชีวิตที่เขียนไว้เมื่อ 5 ปีก่อนนั้นผมจะยังทำไม่สำเร็จ แต่มันทำให้ตัวเรานั้นมีการพัฒนาไปได้ไกลกว่าที่คิดไว้เยอะเลยทีเดียวครับ อย่างรายได้ในปัจจุบันนั้น ก็สูงกว่าสมัยเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ราวๆ 10 -20 เท่าเลยทีเดียว ทำให้ผมเชื่อในคำกล่าวของโปรกอล์ฟจากโฆษณาสิงห์ที่ว่า “ตีลูกให้ถึงดวงจันทร์ ถึงพลาดก็ยังอยู่ท่ามกลางดวงดาว” เมื่อเราชัดเจนกับเป้าหมาย เขียนใส่กระดาษพร้อมระบุวันที่ไว้ แล้วความมหัศจรรย์จะเริ่มบังเกิดกับชีวิตครับ ….ผมเชื่ออย่างนั้น

มุมมองที่คุณกอล์ฟมีต่อตลาด TFEX  อาทิ การเติบโตของปริมาณผู้เข้ามาลงทุน, ประเภทของนักลงทุน, ความเข้าใจของนักลงทุนไทยต่อ TFEX, ความพร้อมของแหล่งข้อมูล TFEX ในไทย?

Golf4สำหรับผมแล้ว มองว่าตลาดอนุพันธ์ของไทยนั้น ยังสามารถเติบโตได้อีกไกลเลยครับ เนื่องจาก…

• เป็นตลาดที่อายุยังน้อย ยังไม่ถึง 10 ปี ผมมองว่ายังสามารถที่จะเติบโตได้อีกมากเลยครับ

• ตลาดอนุพันธ์ในประเทศต่างๆนั้นเติบโตกว่าตลาดสินค้าอ้างอิง ซึ่งเราสามารถดูได้ การจากเติบโตของตลาดอนุพันธ์ในประเทศอเมริกา และเกาหลีใต้ครับ ผมมองว่าต่อไปวอลลุ่มการซื้อขายของตลาด TFEX จะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เท่าที่ผ่านมาก็ผมก็เห็นการปรับตัวอย่างชัดเจน จากวันนึงเทรด TFEX กันวอลลุ่มเพียงแค่หลักพัน ไม่นานก็ขยับขึ้นมา 10,000 สัญญาต่อวัน อย่างปีที่แล้ว บางวันมีการซื้อขายกันถึง 40,000 สัญญาเลยครับ

• ทางตลาด TFEX พยายามที่จะเพิ่มสินค้าใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้จากการมี Gold Futures , Silver Futures , Oil Futures ,Interest rate futures และอนุพันธ์หุ้นรายตัวเพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่องครับ

• แนวโน้มค่าธรรมเนียมที่มีอัตราลดลง น่าจะดึงดูดนักลงทุนใหม่ๆเข้ามาสู่ตลาด TFEX อย่างต่อเนื่อง เพราะว่าในตลาดนี้ ผู้ลงทุนสามารถวางกลยุทธ์การลงทุนได้หลากหลาย สามารถสร้างโอกาสในการทำกำไรได้ทั้งค่าขึ้นและขาลง

ประเภทของนักลงทุน

ตอนนี้นักลงทุนในตลาด TFEX ก็ถูกแบ่งเป็นกลุ่มๆเหมือนกับนักลงทุนในหุ้น แต่มีความแตกต่างกันเล็กน้อย นั่นคือ ยอดซื้อขายใน SET จะประกอบไปด้วยนักลงทุน 4 กลุ่ม นั้นก็คือ

1. สถาบันในประเทศ หรือที่เรียกว่ากองทุนรวมนั่นเอง
2. บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (Pro Trader)
3. นักลงทุนต่างประเทศ
4. นักลงทุนทั่วไปในประเทศ ซึ่งผมมองว่ากลุ่มนี้มีผลต่อทิศทางแนวโน้มใหญ่ของ SET มากที่สุด

ถ้าเป็น นักลงทุน ในตลาด TFEX จะมีแค่ 3 กลุ่มนั่นคือ เอาข้อ 1-2 เข้ามายุบรวมกันเป็นข้อเดียว เรียกว่า สถาบัน

ความเข้าใจของนักลงทุนไทยต่อ TFEX

ผมรู้สึกว่าตอนนี้ นักลงทุนไทยเริ่มเข้าใจในตลาด TFEX มากขึ้น จากที่สมัยก่อน เน้นใช้กลยุทธ์ทำกำไรจากขาขึ้นเป็นหลัก ก็เริ่มพัฒนามาเป็นสามารถทำกำไรจากทิศทางทั้งขาขึ้นและขาลงที่เรียกว่า การ Short นอกจากนั้นเริ่มมีนักลงทุนบางส่วน ใช้ TFEX ในการ Hedge พอร์ตลงทุนด้วยในยามที่ตลาดเป็นขาลง แต่ว่าเราไม่ต้องการที่จะขายหุ้นที่เราถือออกไป เราสามารถที่จะทำการ Short TFEX เพื่อปกป้องพอร์ตการลงทุนของเราได้ เปรียบเสมือนการทำประกันป้องกันความเสี่ยงไว้

ความพร้อมของแหล่งข้อมูล TFEX ในไทย

ผมมองว่ามีความพร้อมของข้อมูลมากกว่าสมัยก่อนมากๆ อย่างยอดซื้อขายประจำวัน ก็แยกออกมาชัดเจนว่าเป็นของผู้เล่นกลุ่มไหน ทำให้เราสามารถคาดเดาเกมส์ได้ว่า ตอนนี้ Big player อย่างสถาบัน หรือว่าต่างชาตินั้นกำลังมี Position ฝั่งไหนมากเป็นพิเศษ

สำหรับเรื่องความรู้ในการลงทุน สามารถหาได้ง่ายมากขึ้น ทั้งจากการเข้าไปศึกษาเว็บไซด์ TFEX.co.th ซึ่งมีบทความ รวมถึงสื่อความรู้ในรูปแบบของ PDF ไฟล์ให้เรา Download กันได้ฟรีๆ นอกจากนั้นเรายังสามารถเข้าร่วมสัมมนากับทาง TSI –Thailand.org ซึ่งทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นคนจัดได้อีก ซึ่งสัมมนาฟรีเหล่านี้เหล่าต้องติดตามดูกำหนดการ และลงทะเบียนล่วงหน้าผ่านทางเว็บไซด์ได้เลย

สรุปคือ ผมมองว่า ตลาด TFEX กำลังมีแนวโน้มด้านพัฒนาการ ที่ดีขึ้นเรื่อยๆทั้งในเรื่องของ ปริมาณการซื้อขายที่ปรับตัวสูงขึ้น ชนิดและรูปแบบของสัญญาแบบใหม่ๆที่ถูกพัฒนาออกมา ค่าธรรมเนียมในการซื้อขายที่มีแนวโน้มลดลงที่จะส่งผลให้ผู้เล่นรายใหม่ๆสามารถเข้ามาในตลาดในง่ายขึ้น ความรู้และข้อมูลต่างๆที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นครับ

Golf3

วิธีการโปรโมทบล็อกของคุณกอล์ฟมีอะไรบ้าง?

สำหรับวิธีในการโปรโมท blog ของผมนั้นมีวิธีหลายวิธีด้วยกัน ดังต่อไปนี้ครับ

• SEO ใช้กับ TFEX Room คำว่า TFEX ครับ เพราะผมตั้งใจไว้ว่าอยากให้เพื่อนๆนักลงทุนที่สนใจการลงทุนใน TFEX เจอผมในหน้าแรกของ Google เพื่อที่จะสะดวกในการเข้าถึงมากขึ้นครับ

• Google adwords ผมก็ใช้เหมือนกัน โดยใช้ในช่วงก่อนที่เว็บจะค่อยๆขยับขึ้นมาจากการทำ SEO ครับ ผม ศึกษาวิธีการใช้ Adwords ตั้งแต่คุณเผ่า ตราวุธ เขียนหนังสือ Google Rich เมื่อราวๆ 7 ปีที่แล้วเลยครับ ผมยังจำได้อีกว่า ผมยอมจ่ายเงิน เพื่อไปลงคอร์สสัมมนาของเขาเรื่องการทำ Adwords ด้วย เลยทำให้รู้จักวิธีการทำแบบวิธีตั้งแต่แรก เลยสามารถประหยัดงบประมาณในการโฆษณาไปพอสมควร

• ผมได้รับโอกาส ได้เขียน Blog ของทาง Settrade.com ครับ เลยทำให้มีนักลงทุน บางส่วน ตามมาติดตามผลงานต่อที่ Blog

• และสุดท้ายก็คือ ผมได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรสอนเกี่ยวกับเรื่องการลงทุนใน TFEX โดยผมเน้นรับงานสัมมนาฟรี ไม่ก็งานการกุศลเป็นหลักครับ เลยได้กลุ่มผู้ฟัง เข้ามาเป็นสมาชิก Fan page เพิ่มด้วยครับ

ตอนเริ่มเปิดบล็อกใหม่ๆ โปรโมทบล็อกอย่างไร ใช้เวลาเท่าไรกว่าที่คนจะเริ่มรู้จักและเข้ามา Engage (comment, สอบถาม, ปรีกษา ฯลฯ)?

• ในช่วงแรกก่อนที่ผมจะทำ Blog ของตนเองนั้น ผมเขียนวิเคราะห์แนวโน้มทิศทางราคาทองคำ ให้กับเว็บ Thaigold.info โดยมีเพื่อนๆติดตามอ่านจำนวนมากเลยทีเดียว ก่อนที่ผมจะออกมาทำ Blog ของตนเองนั้น ผมจำได้ว่า กระทู้ที่ผมเข้าไปอัพเดทแนวโน้มราคาทองคำอย่างต่อเนื่องนั้นมีการเข้ามาอ่านถึง 400,000 กว่าครั้ง พอผมออกมาทำ Blog ของตัวเอง ก็มีเพื่อนๆสนใจติดตามมาอ่านด้วย

• ผมมองว่าสำคัญมากๆ คือ ชื่อเว็บจะต้องจำง่าย พยามให้สะกดง่ายๆเวลาพิมพ์ชื่อเว็บและไม่ควรเกิน 3 พยางค์ครับ ชื่อเว็บสำคัญมากๆ เพราะมันจะแสดงถึงสิ่งที่เรากำลังจะสื่อสารออกไป อย่าง เช่นผมต้องการจะบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเทรด ผมก็ใช้ชื่อBlog ว่า “Tradetory” เว็บต่อมาตั้งใจจะบอกเราเรื่องราวเกี่ยวกับการลงทุนใน TFEX ก็ใช้ “TFEXRoom” ทำให้ผู้รับสารไม่ต้องคิดมากว่าเว็บเราจะเกี่ยวกับอะไร เราจะได้กลุ่มคนที่สนใจ เรื่องราวที่เรานำเสนอจริงๆครับ

• จากนั้นผมใช้ Facebook Fanpage ในการสร้างกลุ่มผู้สนใจ ที่สามารถจะสื่อสารกับเราได้แบบ 2 ทาง โดยช่วงแรกผมก็ใช้ ad ในการสร้างกลุ่มคนก่อนครับ โดย Ad ของผมจะ Target ไปยังกลุ่มที่สนใจเรื่องการลงทุนเป็นหลักก่อน พอได้จำนวนสมาชิกซัก 1,000-2,000 คนแล้ว จำนวนจะค่อยๆเพิ่มขึ้นเอง ตามการบอกต่อครับ เหมือนเวลาที่เครื่องบินจะขึ้นในช่วงแรกอะครับ ต้องใช้พลังงานมากในการที่จะออกตัวและทะยานขึ้นไป แต่เมื่อสามารถนำเครื่องขึ้นได้แล้ว ก็เพียงแค่ประคองตัวไปเรื่อยๆ เครื่องบินก็ถึงจุดหมายปลายทางแล้วครับ

• การเขียน blog ของผมนั้นเป็นการบันทึกประสบการณ์ในการลงทุน ที่เกิดขึ้นทุกๆวัน เลยทำให้มีนักลงทุนที่สนใจ อยากเรียนรู้ผ่านทางประสบการณ์ของผมเข้ามาติดตามทุกๆวันครับ สิ่งที่เป็นจุดแข็งของ Blog ผมเลยคือการอัพเดททุกๆวัน

• พยายามหาข้อมูล หรือบทความที่มีประโยชน์เอามาให้เพื่อนๆสมาชิกอยู่เรื่อยๆครับ ถ้าเขารู้สึกว่าเขาติดตามเราแล้ว เกิดประโยชน์ เขาก็จะติดตามเรื่อยๆ แต่ถ้าเราไม่มีอะไรใหม่ๆ หรือที่เป็นประโยชน์กับเขาเลย เขาก็จะเลิกติดตาม ดังนั้นเราจึงต้องอัพเดทตัวเองอยู่เสมอๆเลยครับ

• กว่าที่ Blog ของผมจะเป็นที่นิยม ก็ใช้เวลาราวๆ 1 ปีพอดีเลย คือช่วงราวๆ ปี 2009 -2010 ครับ

คุณกอล์ฟมีนักลงทุนในดวงใจ หรือบล็อกการลงทุนใดๆที่ติดตามและเป็นแรงบันดาลใจบ้าง?

Jesse-Livermoreนักลงทุนในดวงใจของผมคือ เจสซี่ ลิเวอร์มอร์ ครับ คนนี้เขาเป็นนักเก็งกำไรระดับโลกเลยทีเดียว ความถนัดของเขาคือการทำกำไรในตลาดขาลง เขาไม่เชื่อในการถือหุ้นระยะยาว และในเวลาเดียวกัน เขาก็ไม่เชื่อเรื่องเทคนิคัลซึ่งเขามองว่าเป็นสัญญาณที่สับสน

วิธีการของเขาคือการมองมหภาคบวกกับการจดบันทึกการเคลื่อนไหวของหุ้นที่เขาสนใจติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ เพื่อทำความเข้าใจถึงพฤติกรรมของรายใหญ่ที่เล่นหุ้นตัวนั้นอยู่ (รวมทั้งพฤติกรรมของตัวเขาเองด้วย) J.L. สามารถจดจำราคาหุ้นที่เขาซื้อในอดีตได้อย่างแม่นยำมาก นอกจากนี้ เขายังเชื่อว่าไม่ว่าบริษัทจะดีเพียงใด เวลาที่ตลาดพัง หุ้นทุกตัวก็จะไป ดังนั้นภาวะตลาดจึงมึความสำคัญเหนือตัวหุ้น เขาเคยเขียนไว้ในบันทึกของเขาว่า การจะรวยด้วยตลาดหุ้นอย่างที่เขาทำได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คนทั่วไปคิด เขาบอกว่าตลาดหุ้นคือที่ที่อันตรายมากสำหรับ คนที่ไม่ชอบทำการบ้าน คนโง่ คนชอบรวยทางลัด และคนที่อารมณ์ไม่มั่นคง เขากล่าวว่า คนที่คิดว่าจะรวยทางลัดด้วยตลาดหุ้นเปรียบเสมือนคนที่หวังจะรวยเร็วๆ ด้วยการยึดอาชีพเป็นหมอหรือทนายความ เพราะจริงๆ แล้ว นักลงทุนในตลาดหุ้นก็เป็นเหมือนอาชีพอย่างหนึ่ง ถ้าจะรวยได้จะต้องทุ่มเทอย่างหนักหน่วงเท่านั้น

ผมรู้สึกว่า แนวคิดของเขานั้นสามารถใช้ได้ข้ามยุคข้ามสมัย แม้ว่าตอนนี้เขาจะเสียชีวิตไปแล้ว แนวคิดหลายๆอย่างยังใช้ได้อย่างดีอยู่ เพื่อนของผมเคยนำแนวคิดของ ลิเวอร์มอร์มาลองทำ Model ในการเทรดหุ้น พบว่าสามารถทำกำไรได้อย่างดีในตลาดไทยอีกด้วย นี่ยิ่งเป็นสิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่า แนวคิดด้านการลงทุนของเขา มันข้ามกาลเวลามาได้จริงๆครับ

Blog ที่ติดตาม คือ A-academy.net ครับ เป็น Blog ที่รุ่นน้องของผมที่นิด้า เป็นคนทำขึ้นมา สอนให้ความรู้เรื่องราวเกี่ยวกับการบริหารการเงินส่วนบุคคล โดยรูปแบบของ Blog จะเป็นการอัด VDO ลง You tube เพื่อสอนให้เพื่อนๆได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องการเงินแบบฟรีๆ เขาเคยพูดถึงอุดมการณ์ของเขาให้ผมฟัง ว่าเขาอยากจะทำเว็บไซด์ให้ความรู้ขนาดใหญ่แบบที่ทุกคนสามารถเขาไปเรียนรู้กันได้แบบฟรีๆ ถึงแม้ว่า ณ ปัจจุบัน Blog นี้จะหยุดอัพเดทแล้ว หลังจากอัพ Clip สอนเรื่องการเงินไป 30 กว่าคลิป แต่ผมเชื่อว่าอีกไม่นาน เขาจะกลับมาทำต่อ ให้ blog นี้กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้งครับ

คุณกอล์ฟทำงานไปด้วยบล็อกไปด้วย และต้องศึกษาพัฒนาความรู้การลงทุนไปด้วยตลอดเวลา อยากให้แชร์เทคนิคการบริหารเวลาในการทำสิงต่างๆ ช่วงเวลาที่ท้อใจ หรือคิดเนื้อหาไม่ออก เป็นต้น เพื่อเป็นแนวทางสำหรับคนที่กำลังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีเวลาทำสิ่งที่รักครับ?

สำหรับเรื่องเวลาในการอัพเดท Blog นั้นผมจะใช้เวลา 2 ช่วง คือ ก่อนตลาดเปิดในช่วงเช้า ผมจะมีเวลาช่วง 6.30 -9.30 (ผมมาถึงที่ทำงานค่อนข้างเช้า ราวๆ 6.30 ครับ )ในการหาข้อมูลที่น่าสนใจ ถ้าเจอข้อมูลในที่คิดว่าจะเป็นประโยชน์ก็จะเอามาอัพเดทไว้ให้เพื่อนๆที่ติดตาม อีกช่วงนึงคือช่วงที่ถึงบ้านแล้ว ผมจะใช้เวลาช่วง 20.00-22.00 อ่านหนังสือ หรือติดตามข่าวสาร อัพเดทข้อมูลใหม่ๆครับ สำหรับวิธีที่จะทำให้เรามีความรู้มาอัพเดทเสมอๆ ผมใช้วิธีดังนี้ครับ

อ่านหนังสือเสมอๆ สำหรับผมแล้วผมตั้งเป้าว่า ใน 1 เดือนควรจะอ่านหนังสือให้ได้ 2-4 เล่ม ครับ ไม่ว่าจะหนังสือของไทย ของต่างประเทศ E-book หรือว่าหนังสือปกติ หนังสืออะไรก็ได้ครับ การที่เราอ่านหนังสือเยอะๆ มันเหมือนกับการสร้างฐานข้อมูลเอาไว้ในหัว พอเราไปเจอข้อมูลใหม่ๆมา เราก็สามารถนำมาเชื่อมโยง ปะติดปะต่อ กับข้อมูลในหัวที่เรามีอยู่แล้ว ทำให้เวลาเรานำเสนอออกไป ข้อมูลมันดูน่าสนใจขึ้นมา ไม่น่าเบื่อ เพราะมันมีมุมมอง แนวคิดของเราซึ่งผ่านการสังเคราะห์แล้ว แทรกเข้าไปด้วย

หาข้อมูลใหม่ๆจากเวบบอร์ดต่างประเทศครับ เพื่อดูว่าตอนนี้แนวคิดของคนที่นั่นกำลังไปทางไหน เรามักจะเห็นแนวโน้มก่อน บางทีหลายๆแนวโน้มที่กำลังจะเกิดขึ้นในไทย ที่โน่นบูมมากๆไปแล้วครับ อย่างเช่น ฟรีแลนซ์ หรือ เทรดเดอร์อิสระ ต่อไปสิ่งพิมพ์ก็จะเข้ามาอยู่ในรูปแบบของ E-book มากขึ้น ผมมองว่าอีกไม่เกิน 2 ปี ตลาด E-book จะบูมมากๆ ในประเทศไทย สำนักพิมพ์จะต้องปรับตัวเตรียมรับมือกับแนวโน้มใหม่ที่กำลังจะเกิดนี้ จะมีเศรษฐีรายใหม่ๆ เกิดขึ้นจากการขาย E-book และ จากการทำงานอิสระครับ

ดูหนังบ่อยๆ ผมเป็นคอหนังตัวยงเลย โดยปกติแล้วเดือนนึงผมจะดูหนังราวๆ 3-4 เรื่อง ผมรู้สึกว่าการจ่ายเงินซื้อตั๋วดูหนังนั้นเป็นการจ่ายเงินที่คุ้มค่ามากๆ เพราะว่า

เหมือนเราจ่ายเงินเพียง 180 แต่เราได้ชื่นชมกับผลงานศิลปะมูลค่า หลายล้านเหรียญ จากทีมผู้สร้างระดับโลก ดาราระดับโลก ทีมกราฟฟิคระดับโลก ที่มารวมตัวกันสร้างผลงานครับ ซึ่งทำให้ผมรู้สึกว่ามันคุ้มค่าจริงๆ

การดูหนังเหมือนกับเราได้ท่องเที่ยวไปยังสถานที่ใหม่ๆ โดยใช้ค่าตั๋วโดยสารชั้นประหยัด หนังหลายๆเรื่องทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับผมได้ท่องเที่ยง บางเรื่องพาผมไปเที่ยวตามสถานที่สวยๆ บางเรื่องก็พาผมย้อนเวลา

นอกจากหนังทำให้ผมรู้สึกได้พักผ่อนแล้ว ยังช่วยกระตุ้นต่อมความคิดสร้างสรรค์อีกด้วย ผมรู้สึกว่าหนังหลายๆเรื่อง ที่มีการแทรกข้อคิดในการสร้างไอเดียใหม่ๆ ข้อคิดในการใช้ชีวิต ได้อย่างดีเยี่ยมเลยครับ

คุณกอล์ฟมีผลงานอีบุ๊ค อยากให้เล่าเกี่ยวกับอีบุ๊ค ที่มาที่ไป ระยะเวลาในการเขียน และผู้อ่านจะได้อะไรจากอีบุ๊ค?

สำหรับ E-book นั่น ปีนี้ผมตั้งใจจะออก E-book 2เล่มด้วยกันครับ แต่สำหรับท่านผู้อ่านที่ยังคงชอบความ Classic ของการอ่านแบบกระดาษอยู่ ผมก็มีเตรียมไว้รองรับเช่นกัน

• เล่มแรก ชื่อว่า “เส้นทางเทรดเดอร์สู่ความมั่งคั่ง” จริงๆเล่มนี้คือหนังสือเล่มแรกที่ผมเขียนไว้เมื่อ 4.5 ปีที่แล้ว โดยทาง se-ed เป็นผู้จัดจำหน่าย ในช่วงแรกนั้นหนังสือของผมยังไม่ค่อยเป็นที่นิยมนัก เนื่องจากนักลงทุนทั่วๆไปยังไม่ค่อยรู้จักกับตลาดการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง อีกทั้งผู้เขียนก็เรียกว่าแทบไม่มีใครรู้จัก พูดกันง่ายๆ คือโนเนมนั่นเอง เพราะช่วงนั้นผมกำลังเพิ่งเริ่มต้นสู่เส้นทางของเทรดเดอร์พอดี เลยทำให้ยอดขายแค่พอไปได้เท่านั้น แต่หลังจากที่Blog เริ่มมีคนสนใจมากขึ้น ผมเริ่มออกไปเป็นวิทยากรในงานสัมมนา ยอดขายก็ขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนหนังสือหมด กลายเป็นหนังสือหายากอีก 1 เล่มไปโดยทันที พอหมดสัญญากับทางSe-ed ก็ยังมีคนสนใจติดต่อมาเป็นจำนวนมาก ผม เลยคิดว่าจะทำการปรับปรุงเนื้อหาใหม่โดยที่ยังคงความ Classic แบบเดิมๆอยู่ หนังสือเล่มนี้มีจุดเด่นคือทำให้คนทั่วๆไปรู้จักโลกของการเทรดมากขึ้น ซึ่งตรงกับความตั้งใจของผม นั่นก็คือ “การจุดไฟ” ให้ผู้อ่านอยากจะเข้ามาศึกษาเรื่องของการลงทุนนั่นเอง ถ้าเพื่อนๆท่านใดที่สนใจก็แวะไปเยี่ยมชมกันได้ที่ www.tfexroom.com/book ครับ

• ส่วนเล่มที่สองนั่น ผมตั้งใจไว้ว่า หนังสือจะเสร็จกลางปีคือ ชื่อว่า “TFEX Black Book” เป็นหนังสือว่าด้วยการลงทุนใน TFEX แบบที่เรียบง่าย แต่อ่านแล้วรับรองว่า จะสามารถเอาตัวรอดและทำกำไรจากตลาด TFEX ได้อย่างแน่นอน โดยวิธีการลงทุนที่ผมใส่ไว้ในนี้นั้นกลั่นกรองมาจากประสบการณ์ในการลงทุนในตลาด TFEX ในฐานะเทรดเดอร์อาชีพ ที่เทรดให้บริษัทหลักทรัพย์มากว่า 4.5 ปีครับ

เป้าหมาย หรือ โครงการในอนาคตที่คิดไว้ในฐานะ Blogger สายการลงทุน TFEX?

สำหรับเป้าหมายที่ผมอยากจะทำในอนาคตนั้นผมขอแยกเป็นข้อๆดังนี้นะครับ

• ผมอยากสร้างห้องสมุดการลงทุนขนาดเล็ก ที่มีหนังสือดีๆมากมายทั้ง หนังสือในไทย หนังสือจากต่างประเทศที่มีราคาแพงและหายาก E-book ดีๆ ตลอดจนไปถึง คอร์สสัมมนาอย่างดีจากต่างประเทศ ทั้งหมดนี้จะสามารถหาได้จากห้องสมุดของผม ปกติแล้วในการที่จะหาข้อมูลดีๆมาใช้กับการเทรดให้เรามีพัฒนาการนั้น ต้องลงทุนเยอะเลยทีเดียว ผมเลยคิดว่า ถ้าเราซื้อหาหรือลงทุนไว้แล้ว เพื่อนๆคนอื่นสามารถแวะมาใช้ต่อได้คงจะดี สำหรับผมนั้นเคยคำนวณค่าใช้จ่ายที่หมดไปกับการศึกษาเรื่องเทรดนั้น รวมๆแล้ว เกือบๆ 1 ล้านบาทเลยครับ คอร์สที่มีราคาสุงสุดที่ผมเคยสมัครเรียนนั้นอยู่ที่ 300,000 บาทเลยทีเดียว ซึ่งเมื่อถึงจุดหนึ่งแล้วก็พบว่า เรามีวิธีการหาความรู้โดยไม่ต้องจ่ายเยอะขนาดนั้น เราสามารถจับกลุ่มแล้วแบ่งปันวิธีการ และเทคนิคกันได้ เท่ากับว่าต้นทุนในการศึกษามีคนมาช่วยกันแชร์ แล้วเราทุกๆคนในกลุ่มก็เก่งขึ้นกันหมด แบบนี้เรียกว่า Win-win ครับ

• ผมอยากให้ Blog ของผมเป็น Blog แรกที่ถูกนึกถึง เมื่อมีคนสนใจใน TFEX ผมทุ่มเทมาก ทั้งแรงกายแรงใจ กำลังเงินในการทำการตลาด ทำ SEO ทำทุกๆทางที่สามารถทำได้ครับ เพื่อให้คนรับรู้และสามารถเข้ามาถึง Blog ของผมได้

• สำนักพิมพ์ด้านการลงทุน อันนี้เป็นอีก 1 ความฝันครับ ในปัจจุบันเวลาที่ผมแวะไปยืนอ่านหนังสือที่ชั้นของร้านหนังสือขนาดใหญ่ ผมพบว่ามีหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนใหม่ๆเกิดขึ้นมากมาย บางเล่มผู้เขียนก็เก่งจริงมีประสบการณ์ในตลาดมากมาย แต่บางเล่มก็เขียนไปอย่างนั้น ทั้งเนื้อหา วิธีการคิด ถ้าอ่านจบแล้วไปทำตามคงจะขาดทุนเป็นแน่แท้ ผมรู้สึกว่าหนังสือจำนวนมากที่ออกมาให้ผู้อ่านได้เสพนั้น ไม่ได้มีการกลั่นกรองอย่างดีเท่าที่ควร ผมเลยอยากจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยยกระดับของงานเขียนด้านการลงทุนให้ดีขึ้น ผมจะเริ่มจากการเปิดสำนักพิมพ์สำหรับขาย E-book เกี่ยวกับการลงทุนก่อนครับ เราจะขายผ่านเว็บไซด์ของเราเอง ทำการตลาดของเราเอง ตอนนี้มีนักเขียน 2คนเข้ามาร่วมด้วยแล้ว หวังว่าความฝันของผมจะเป็นจริงได้ในเร็วๆนี้ครับ

• จัดสัมมนาฟรี-การกุศล ถ้ามีคนสนใจฟังและสามารถรวมตัวกันได้ ผมยินดีจะไปบรรยายให้แบบฟรีๆครับ ซึ่งปัจจุบันผมก็รับงานบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่อยู่เรื่อยๆ ถ้าเป็นเพื่อนๆที่อยู่ต่างจังหวัดอาจจะต้องรวมตัวกันและเตรียมสถานที่ไว้ให้นิดนึงครับ ผมก็ยินดีเดินทางไปบรรยายให้เช่นกัน

• วิทยากรพิเศษ เข้าไปบรรยายให้กับนิสิตนักศึกษาที่สนใจอาชีพเกี่ยวกับสายการเงินฟัง ผมอยากจะเข้าไปถ่ายทอดประสบการณ์ว่าในโลกแห่งความเป็นจริงของการเงินและการลงทุนนั้นเป็นอย่างไร เราจะต้องเตรียมพร้อมด้านไหนบ้างที่จะมุ่งเข้าสู่อุตสากรรมนี้ หรือ ถ้าเราอยากเป็นนักลงทุนอิสระเราจะต้องรู้อะไรบ้าง เตรียมพร้อมอะไรบ้าง ผมอยากจะเข้าไปมีส่วนในการช่วยลดเงิน และเวลา ทำให้น้องๆเขาสามารถได้ทางลัดตัดตรง เรียนรู้ผ่านทางประสบการณ์ของผมได้เลยครับ

สิ่งที่อยากจะฝาก, ข้อคิด. คำแนะนำ ให้แก่คนที่สนใจเป็น Blogger?

ก่อนจากกัน ผมอยากฝากข้อคิดสำหรับ เพื่อนๆที่กำลังอยากเป็น Blogger หรือว่ากำลังเป็น Blogger อยู่ก็ตาม ดังนี้ครับ

• เราต้องตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน และต้องตอบคำถามให้ได้ว่า เราทำBlogอันนี้เพื่ออะไร อันนี้คือ แก่นที่สำคัญมากๆ และหลายคนมองข้ามไป เป้าหมายที่ชัดเจน จะทำให้ blog ของเรามี theme ที่ชัดเจน เนื้อหาจะมุ่งเน้นไปยังคุณค่าที่เราได้สร้างมาตั้งแต่ต้น มันจะไม่สะเปะสะปะไร้จุดหมายครับ

• เราต้องมีแผนการล่วงหน้า ว่าblog ของเราจะพัฒนาไปในทิศทางใด โดยแผนการนั้นควรจะชัดเจนนิดนึง เช่นพอเขียนblog ครบ 1,000 วันเราอาจจะนัด Meeting เล็กๆ กับผู้ที่ติดตามอ่านblog ของเรา หรืออาจจะมีอะไรใหม่ๆอัพเดทอยู่ตลอดเวลา ทำให้ติดตามแล้วไม่เบื่อนั่นเอง

• จงเดินหน้าทุกๆ วัน และทำอย่างมีระเบียบวินัย จนติดเป็นนิสัยประจำวัน ที่ต้องเขียนไม่งั้นนอนไม่หลับ อย่างของผมใช้เวลาสร้างนิสัยในการเขียนblog อยู่ราวๆ 3เดือนก็ติดว่าต้องเขียนต่อเนื่อง จนปัจจุบันเขียนมาได้จะถึง 1,700 วันแล้วครับ ถ้าเราสามารถสร้างนิสัยแบบนี้ได้ งานเขียนในblog ของเราก็จะเดินหน้าไปทุกๆวัน เราก็จะต้องพัฒนาตัวเอง อัพเดทข้อมูลใหม่ๆไปทุกๆวันด้วยเช่นกัน

• สุดท้ายนี้อยากให้เพื่อนๆตั้งใจทำ Blogเพราะอยากทำ ทำblog เพราะตั้งใจจะให้ผู้อ่านครับ เมื่อเพื่อนๆตั้งใจจะให้อย่างเต็มที่แล้ว ผมเชื่อว่าผลตอบรับจะกลับมาดีเอง อย่างแน่นอน

Piyapong Intarapan, www.tradetory.com

Golf2