Tariff War : รู้จักสงครามภาษี เมื่อมหาอำนาจใช้ ภาษีนำเข้าเป็นอาวุธ

คุณรู้หรือไม่ เมื่อรัฐบาลเปิดศึกกันด้วย “ภาษีนำเข้า” คนที่รับผลกระทบหนักที่สุดอาจไม่ใช่นักการเมือง แต่คือประชาชนธรรมดาอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเงินเฟ้อพุ่ง ค่าครองชีพสูง และรายได้ไม่พอใช้ ผลข้างเคียงจาก “สงครามภาษีนำเข้า” ที่ผู้มีอำนาจไม่กล้าบอกคุณ ว่ามันอาจทำลายเศรษฐกิจในระยะยาวได้อย่างแสนสาหัส “สงครามภาษีนำเข้า” คืออะไร และใช้รบรากันอย่างไร

Tariff หรือ ภาษีศุลกากร หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ภาษีนำเข้า ในบางครั้งอาจไม่ใช่แค่เรื่องนโยบายเศรษฐกิจภายในประเทศ และเมื่อใดที่มันถูกใช้เป็น “อาวุธเชิงกลยุทธ์” โดยมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ เพื่อกดดันหรือเปลี่ยนพฤติกรรมของประเทศคู่ค้า ไม่ว่าจะในประเด็นการเมือง, การค้า, หรือแม้แต่การสร้างอิทธิพลระดับโลก เมื่อนั้น ภาษีนำเข้า จะกลายเป็น Tariff War หรือ สงครามภาษี

สงครามภาษี มักเริ่มต้นจากความไม่พอใจในพฤติกรรมทางการค้าระหว่างประเทศ หนึ่งฝ่ายขึ้นภาษีนำเข้า อีกฝ่ายโต้กลับด้วยอัตราที่ใกล้เคียง ผลลัพธ์คือเกมโต้กลับที่ไม่มีใครถอย และไม่มีผู้ชนะที่แท้จริง

แม้ผู้นำจะเชื่อว่าภาษีเป็นเครื่องมือต่อรองเชิงยุทธศาสตร์ แต่ผลกระทบกลับลงที่ผู้ประกอบการ คนงาน และผู้บริโภค ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังอยู่ในสงครามทางเศรษฐกิจ

ประวัติศาสตร์ของสงครามภาษี

สหรัฐฯ อาจจะไม่ใช่ผู้เล่นที่โดดเด่นในเรื่องสงครามภาษีมาแต่ต้น จนกระทั่งช่วงปี 1920 ถึงต้นทศวรรษ 1930 ที่ นโยบายกีดกันทางการค้า เริ่มนำมาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญ ผลที่ตามมารุนแรงกว่าที่ใครจะคาดคิด ภาษีที่พุ่งสูงในช่วงนั้น มีส่วนทำให้การค้าโลกหดตัวลงถึง 66% ระหว่างปี 1929 -1934 และสถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างหนัก

หนึ่งในกฎหมายที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือ สมูต ฮอว์ลีย์ ทาริฟ แอ็คท์ ปี 1930 (Smoot-Hawley Tariff Act) เป็นกฎหมายของสหรัฐฯ ที่ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากว่าพันรายการ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ

ผลลัพธ์ คือ ประเทศต่าง ๆ ตอบโต้ด้วยการตั้งกำแพงภาษีเช่นกัน ทำให้การค้าโลกหดตัว และเศรษฐกิจทรุดหนักยิ่งกว่าเดิม ถือเป็นหนึ่งในตัวเร่งวิกฤต Great Depression อย่างเลี่ยงไม่ได้ และหลัง ชัยชนะของแฟรงกลิน ดี. รูสเวลต์ในปี 1932 จึงนำไปสู่การลงนามใน เรซิ-พร็อค-คอล เทรด อะกรี-เมนต์ส แอ็คต์ ปี 1934 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของนโยบายเปิดเสรีการค้าระหว่างประเทศอย่างจริงจัง

ตัวอย่างสงครามภาษียุคใหม่

สงครามภาษีสหรัฐฯ ยุคใหม่ที่หลายคนอาจจำได้ดี คือ ระหว่าง สหรัฐฯ และ จีน ในปี 2018 เมื่อสหรัฐเก็บภาษีสินค้าจีนมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ จีนตอบโต้ด้วยภาษี 25% สำหรับถั่วเหลืองจากสหรัฐ ซึ่งเป็นสินค้าหลักในการเกษตร

บราซิลซึ่งเป็นประเทศที่ไม่ได้ถูกเก็บภาษี กลายเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์จากเหตุการณ์ดังกล่าวทันที เพราะยอดส่งออกเพิ่มขึ้น ในขณะที่เกษตรกรสหรัฐฯ ต้องแบกถั่วเหลืองตกค้างกว่า 3.7 พันล้านบุชเชล จนรัฐบาลต้องอัดเงินชดเชยหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อเยียวยาความเสียหาย

ทางด้านประเเทศจีน แม้เปลี่ยนซัพพลายเออร์ แต่ก็ไม่ได้ประหยัดต้นทุน เพราะราคาถั่วเหลืองจากบราซิลปรับขึ้นเกือบ หนึ่งดอลลาร์ต่อบุชเชล สุดท้ายผู้บริโภคจีนต้องจ่ายราคาใกล้เคียงกับการนำเข้าจากสหรัฐฯ อยู่ดี

นี่ยังไม่รวมผลกระทบอื่น ๆ เช่น ห่วงโซ่อุปทานปั่นป่วน ตัวเลขการส่งออกลดลง ตัวเลข GDP ที่ย่ำแย่ และบริษัทต่าง ๆ ต้องเลิกจ้างแรงงาน โดยธนาคารกลาง ระบุว่า สงครามการค้าครั้งนี้ ทำให้บริษัทในสหรัฐฯ สูญเสียมูลค่าตลาดรวมถึง 1.7 ล้านล้านดอลลาร์

สงครามภาษี ปี 2025

หลังนาย Donald Trump ชนะการเลือกตั้ง และกลับเข้าสู่ตำแหน่งประธาธิบดีอีกครั้ง ในปี 2025 เขาก็ได้ใช้นโยบาย ภาษีนำเข้า อย่างเฉียบขาด โดยข้อมูลล่าสุด โดยเว็บไซต์ Time ของสหรัฐ อัพเดทข้อมูลล่าสุด เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2025 ดังนี้

จีน โดนเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทุกประเภท เริ่มต้นที่ 10% และบางสินค้าขึ้นภาษีเพิ่มเป็น 145% จากเดิมที่ประกาศไว้ 125%

แคนาดา และเม็กซิโก โดนเก็บภาษี 25% ครอบคลุมสินค้าหลัก เช่น เหล็ก รถยนต์ อะลูมิเนียม

สหภาพยุโรป, ญี่ปุ่น, และเกาหลีใต้ โดนประกาศเก็บภาษี 20%, 24%, และ 25% ตามลำดับ แต่ยังไม่บังคับใช้จริง โดยพักไว้ 90 วัน เพื่อเปิดทางเจรจา

นอกจากนั้น ทรัมป์ประกาศว่าจะเก็บภาษี  อินเดีย 26%, ไทย 32%, และ กัมพูชา 49%,

* โดยข้อมูลเหล่านี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

ผลกระทบหลัก จากสงครามภาษีนำเข้า

การตั้งกำแพงภาษีนำเข้าใส่นานาประเทศคู่ค้า มักไม่จบแค่ฝ่ายเดียว เพราะอีกฝ่ายย่อมไม่ยอมอยู่เฉย และตอบโต้ด้วยภาษีของตัวเอง ผลลัพธ์คือความขัดแย้งที่บานปลาย จนกลายเป็นสงครามการค้าในที่สุด โดย 3 ผลกระทบหลัก ที่ประชาชนจะต้องเจออย่างแน่นอน ได้แก่

  • ราคาสินค้านำเข้าสูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคต้องควักกระเป๋ามากขึ้น
  • สินค้าต่างชาติแพงขึ้น นำเข้าลดลง
  • ประเทศที่ถูกโจมตีทางภาษีมักตอบโต้ทันที ส่งผลให้ความตึงเครียดทางเศรษฐกิจทวีความรุนแรง

เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ เราจะเห็นได้ชัดว่า สงครามภาษีนำเข้า เป็นการปะทะกันของผลประโยชน์ระดับรัฐ แม้จะถูกอ้างว่าเพื่อปกป้องความยุติธรรมในการค้า แต่สิ่งที่ตามมาคือราคาผู้บริโภคที่พุ่งสูง ห่วงโซ่อุปทานสะดุด และความเสียหายเชิงโครงสร้างต่อเศรษฐกิจทั้งสองฝ่าย ประวัติศาสตร์บอกชัด ไม่มีฝ่ายใดชนะ มีแค่ความเสียหายที่ยืดเยื้อเกินคาดคิด