Starbucks รายงานผลประกอบการ ไตรมาส 2 ปี 2018 เมื่อวันที่ 26 กรกฏาคม ค.ศ. 2018 เผยยอดขายโต 11.5% รวมเป็น 6.31 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2018 ที่ 5.66 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
ผลประกอบการที่ดีขึ้นมาจากความสำเร็จในการกระตุ้นยอดขาย โดยส่วนหนึ่งมาจาก Loyalty Program ที่สามารถเพิ่มจำนวนสมาชิกได้สูงถึง 1.9 ล้าน Active member ทำให้ตอนนี้ Starbucks มีสมาชิกในมือมากกว่า 15 ล้านคน และมีอัตราการซื้อสินค้าต่อคนสูงขึ้นประมาณ 3% ส่งผลให้ยอดขาย Same-Store Sales สูงขึ้นตามลำดับ
ในช่วงครึ่งปีแรกของ 2018 Starbucks ต้องเผชิญกับปัญหารอบด้าน อาทิ การแข่งขันรุนแรงขึ้นจากคู่แข่งอย่าง Dunkin Donuts, McDonald และ JAB Holdings’ Panera Bread รวมไปถึงปัญหาเรื่องการเหยียดสีผิวของพนักงาน Starbucks ที่มีต่อผู้ใช้บริการจนเป็นเหตุให้ Starbucks ต้องปิดให้บริการกว่า 8,000 สาขาเป็นเวลา 1 วันเพื่อทำการอบรมพนักงานครั้งใหญ่กว่า 175,000 คนเรื่องการ ‘ให้เกียรติผู้อื่น’
นอกจากนั้นยังเผชิญกับอุปสรรคในการขยายสาขาในประเทศจีนจากกฏระเบียบที่เข้มงวดของรัฐ ส่งผลให้การเติบโตไม่เป็นไปตามเป้า อย่างไรก็ดี ผลประกอบการโดยรวมของ Starbucks ก็ยังออกมาในภาคบวกเล็กน้อย โดยสรุปดังนี้
กำไรต่อหุ้นปรับลดแล้ว: 62 เซนต์ เทียบกับ 61 เซนต์ โดยนักวิเคราะห์
รายได้: $6.23 billion vs. $6.25 billion expected
ยอดขาย Same-store sales ทั่วโลก: เพิ่มขึ้น 1% เทียบกับ 0.9% โดยนักวิเคราะห์
Starbucks มีกำไรประมาณ 852.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2018 เทียบกับ 691.6 ล้านเหรียญฯ ในไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว และคาดว่าอัตราการเติบโตทั้งปีจะยังคงชะลอตัว อย่างไรก็ดี Kevin Johnson, CEO Starbucks เผยต่อสื่อในวันรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2018 เมื่อวันที่ 26 กรกฏาคม ที่ผ่านมาว่าจะมีการปรับเพิ่มเงินปันผลและจะซื้อหุ้นคืนจากผู้ถือหุ้นอีกจำนวน 20 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2020
ส่วนภาพรวมราคาหุ้นของ Starbucks ลดลง 10% นับแต่เปิดตลาดเมื่อต้นปี 2018 โดยล่าสุดมีมูลค่าธุรกิจตามราคาตลาดอยู่ที่ 71.4 พันล้านเหรียญ ในขณะที่ Dunkin มีมูลค่าตลาด 5.9 พันล้านเหรียญ และ McDonald’s 121.7 พันล้านเหรียญ