Elon Musk ผู้ก่อตั้งและ CEO บริษัท SpaceX และ Tesla ได้เปิดตัวจรวดรุ่นล่าสุด Falcon Heavy ซึ่งเป็นจรวดที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดที่บริษัทของเขาเคยสร้างขึ้นมา โดยได้มีการยกขึ้นติดตั้งที่ฐานยิงจรวดที่เดียวกับที่ใช้ปล่อยตัวจรวด Apollo ในประวัติศาสตร์ ณ Kennedy Space Center รัฐ Florida
จุดประสงค์หลักของการเปิดตัวในครั้งนี้ เพื่อส่ง รถยนต์ Tesla Roadster เข้าสู่วงโคจรของดาวอังคาร และเป็นการทดสอบห้องโดยสารที่อยู่ยอดบนสุดของจรวด เพื่อพิสูจน์ว่าจะสามารถทนทานกับรังสีจาก Van Allen Radiation Belt หรือแถบรังสีแวนอัลเลนได้มากกว่า 6 ชั่วโมงหรือไม่
โดยในครั้งนี้ Elon Musk ได้ติดตั้ง รถยนต์ Tesla Roadster เข้าไปแทนการใช้สิ่งมีชีวิตในการทดสอบ ซึ่งหากการทดลองนี้ประสบความสำเร็จ ก็จะเป็นการชิงส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทอื่นที่ต้องการแข่งขันใน Space Race รอบใหม่ และเปิดตลาดกับกองทัพสหรัฐผ่านทาง NASA รวมไปถึงโอกาสในตลาดการท่องอวกาศในเชิงพาณิชย์ งานนี้ถือเป็นการยิง ปืน (จรวด) นัดเดียวแต่ได้นกหลายตัว
กระบวนการปล่อยจรวดยักษ์สุดระทึก
ลองชมวีดีโอ CG จำลองการทดสอบยิงจรวด Falcon Heavy ในครั้งนี้ แล้วจะทราบกระบวนการตั้งแต่ต้นจนจบว่า Elon Musk ต้องการให้มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
จากในคลิปวิดีโอเราจะเห็นว่า จรวด Falcon Heavy มีขนาดใหญ่มาก และต้องใช้ตัวบูสเตอร์ ถึง 2 ตัว ประกบกับจรวดลำใหญ่ที่อยู่ตรงกลาง โดยบนยอดสุดของ Core booster (บูสเตอร์ตัวหลัก) จะเป็นห้องโดยสาร ที่บรรจุรถยนต์ Tesla Roadster พร้อมกับหุ่นคนขับ ที่ชื่อว่า Starman ที่สวมชุดนักบินอวกาศของ SpaceX
เมื่อจรวดเคลื่อนตัวพ้นชั้นบรรยากาศไปแล้ว บูสเตอร์ทั้ง 2 ตัวจะดีดตัวออกจากยานหลัก และบินกลับมายังฐาน ส่วนบูสเตอร์ตัวหลักจะเคลื่อนที่ต่อไป เพื่อส่งให้กระสวย (ห้องโดยสาร) เคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งที่ต้องการ โดยก่อนหน้านั้นจะเคลื่อนที่ไปยัง แถบรังสีแวนอัลเลนเป็นเวลาราว 6 ชั่วโมงเพื่อแสดงการเคลื่อนที่ให้กองทัพสหรัฐฯ เห็น หลังจากนั้นเครื่องยนต์จะถูกติดขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อส่งให้รถยนต์ Tesla Roadster พร้อมหุ่นคนขับ Starman เข้าสู่วงโคจรของดาวอังคาร
ฟังกระบวนการทั้งหมดแล้ว ราวกับนิยายวิทยาศาสตร์เลยทีเดียว ว่าแต่ทำไม Elon Musk ต้องลงทุนเปิดตัวทั้งจรวดที่ใหญ่ที่สุดใช้พลังงานมากที่สุด เพื่อส่งรถยนต์รุ่นใหม่ไปดาวอังคาร ที่ต้องใช้งบประมาณเพื่อการนี้ถึง 90 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 2,800 ล้านบาท)
https://www.instagram.com/p/BdA94kVgQhU/?utm_source=ig_embed
ภาพภายในส่วนบนสุดของจรวด Falcon Heavy ที่จะใช้เป็นห้องโดยสารหรือห้องสำหรับบรรทุกสำภาระในการขนส่งทางอวกาศ โดยได้ทำการติดตั้งรถยนต์ Tesla Roadster รุ่นล่าสุดลงไป เพื่อทดสอบการทนทานต่อรังสีและแรงกดดันในขณะที่กำลังผ่านแถบรังสีแวนอัลเลน
ที่มา: Elon Musk’s Instagram and https://www.space.com/39195-elon-musk-tesla-roadster-falcon-heaavy-photo.html
ภาพการติดตั้งกล้อง เข้ากับฐานของกระสวย เพื่อถ่ายภาพประวัติศาสตร์กลับมาให้คนทั้งโลกได้รับชม
สรุปผลการปล่อยจรวดไฮเทคแห่ง SpaceX
ก่อนที่จะไปวิเคราะห์และสรุปผลจากการเล่นใหญ่ในครั้งนี้ เรามาดูผลการทดสอบกันก่อนว่า Elon Musk สามารถทำสำเร็จได้ตามแผนที่วางไว้ทั้งหมดใน CG หรือไม่
การออกตัวจากโลก
การปล่อยตัวจรวด มีความเสี่ยงในทุกวินาที ตั้งแต่การปล่อยออกจากฐาน แม้จะเคยปล่อยมาแล้วหลายครั้ง แต่โอกาสที่จะระเบิดตั้งแต่ที่ฐานก็มีไม่น้อย ดังนั้นช่วงที่ลุ้นที่สุดช่วงหนึ่งก็คือช่วงปล่อยตัวนั่นเอง เพราะถ้าหากพลาดพลั้ง แรงระเบิดจะมีพลังทำลายล้างเท่ากับ ระเบิดทีเอ็นทีขนาด 4 ล้านปอนด์เลยทีเดียว แต่ Falcon Heavy ก็สามารถผ่านจุดปล่อยตัวมาได้อย่างงดงาม และทะยานทุละชั้นบรรยากาศไปได้ เมื่อถึงจุดที่กำหนด บูสเตอร์ทั้งสองตัวก็ถูกปล่อยจากบูสเตอร์หลัก และบินกลับมายังฐาน ตามจุดที่กำหนดไว้อย่างงดงามตามแผนการ
การนำบูสเตอร์กลับสู่โลก
ในขณะที่บูสเตอร์หลักยังคงเคลื่อนที่ต่อไป และผลักให้กระสวยที่อยู่บนยอดเกิดแรงเหวี่ยง ก่อนที่จะปล่อยกระสวยให้เคลื่อนที่ต่อไป และบูสเตอร์หลักบินกลับมายังจุดลงจอดกลางมหาสมุทรแอตแลนติก แต่แล้วก็เกิดความผิดพลาด เมื่อเครื่องยนต์ โดรน ที่ทำหน้าที่ช่วยในการลงจอด ดับไป 2 ตัว เนื่องจากเชื้อเพลิงหมด ทำให้บูสเตอร์หลักพุ่งลงมาด้วยความเร็ว 300 ไมล์ต่อชั่วโมง จึงพลาดเป้าแท่นจอด และตกลงไปในมหาสมุทรในที่สุด
กระสวยและรถยนต์ Tesla Roaster สู่จักรวาลอันไกลโพ้น
ส่วนกระสวยเมื่อไปถึงยังจุดที่กำหนด จะเปิดออกเพื่อให้เห็นรถยนต์ Tesla Roadster ซึ่งถ้าหากภายในห้องโดยสารสามารถทนกับรังสีได้ ทางศูนย์ควบคุมภาคพื้นดิน และผู้คนที่ชมการถ่ายทอดสดทั่วโลกจะได้รับชมภาพประวัติศาสตร์ คือภาพจากกล้องทั้ง 3 ตัวที่ติดตั้งบนรถยนต์ Tesla Roadster ซึ่งจะถ่ายทอดสดจากนอกโลก
และแล้วก็ได้รับสัญญาณภาพอย่างชัดเจน ซึ่งหมายถึงการทดลองนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม และยังสามารถส่ง รถยนต์ Tesla Roadster ให้เข้าสู่วงโคจรของดาวอังคารได้ตามที่วางไว้อีกด้วย (แม้ในบางกระแสข่าวจะอ้างว่า แรงส่งนั้นมากเกินไปหรืออาจจะเพราะใช้เวลาในแถบรังสีแวนอัลเลนมากเกินไปจึงอาจจะทำให้ Tesla Roadster หลุดออกจากวงโคจรของดาวอังคารไปลอยอยู่ท่ามกลางวงแหวนดาวเคราะห์น้อยที่คั่นกลางระหว่างดาวอังคารและดาวพฤหัสก็ตาม)
โดย Elon Musk ออกมายอมรับว่า เนื่องจากประสิทธิภาพของ บูสเตอร์หลักนั้นดีมาก ทำให้รถยนต์ Tesla Roadster อาจจะหลุดเข้าไปในวงแหวนดาวเคราะห์น้อยก็เป็นได้ (เหวี่ยงแรงไปหน่อย)
Third burn successful. Exceeded Mars orbit and kept going to the Asteroid Belt. pic.twitter.com/bKhRN73WHF
— Elon Musk (@elonmusk) 7 February 2018
ภาพแสดงตำแหน่งของแถบดาวเคราะห์น้อย (Asteroid Belt)จาก Wikipedia https://en.wikipedia.org/wiki/Asteroid_belt#/media/File:InnerSolarSystem-en.png
บทสรุปการทดลองสุดระห่ำครั้งนี้คือ!
หากมองจากภายนอก เราอาจจะคิดว่า มีมหาเศรษฐีคนหนึ่ง อยากประชาสัมพันธ์รถยนต์ของตัวเอง ถึงขนาดลงทุนปล่อยจรวด ถ่ายทอดสดให้คนดูทั่วโลก ฟังดูแล้วก็อาจจะดูบ้าระห่ำจริง ๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การทดลองครั้งนี้ของ SpaceX ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงาม แม้ Core Booster (บูสเตอร์หลัก) จะตกทะเล และรถยนต์ Tesla อาจจะหลุดจากวงโคจรของดาวอังคารเพราะเหวี่ยงแรงเกินไป แต่ภาพ ๆ นี้ จะกลายเป็นภาพที่จะต้องจารึกในประวัติศาสตร์ของโลกไปอีกนานเท่านาน ไม่แพ้ภาพก้าวแรกของมนุษย์ชาติบนดวงจันทร์ แม้ที่นั่งอยู่บนรถจะเป็นเพียงหุ่น ไม่ใช่คนจริง ๆ ก็ตาม
ที่มา https://www.outerplaces.com/science/item/17729-spacex-falcon-heavy-tesla-space
Elon Musk ถือเป็นนักการตลาดตัวยง อะไรก็ตามที่เขาต้องการจะขาย จะสามารถเรียกความสนใจ และเรียกเงินออกจากกระเป๋าของคนซื้อได้เสมอ ซึ่งสถานการณ์ของ Tesla ในขณะนี้ไม่สู้จะดีนัก เนื่องจากปัญหาความล่าช้าในการส่งมอบ Model 3 ที่เรื้อรังมาข้ามปี ยังไม่สามารถแก้ไขได้ และหุ้นก็เริ่มตก นับวันมีแต่จะทรงกับทรุด แต่แล้ว Elon Musk ก็สามารถพลิกสถานการณ์ให้ Tesla กลับมาเนื้อหอม และน่าสนใจจากคนทั้งโลกได้อีกครั้ง ด้วยการปล่อยจรวดของ SpaceX
ทั้งยังเป็นการประกาศการเริ่มต้นยุค Space Race ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง อย่างเป็นทางการ (นับตั้งแต่ที่ NASA ของสหรัฐ แข่งขันกับ สหภาพโซเวียต(รัสเซีย) ในการแข่งกันพัฒนาเทคโนโลยีทางอวกาศ จนอเมริกาสามารถประกาศปักธงบนดวงจันทร์ได้ก่อนโซเวียต แต่หลังจากนั้นโครงการอวกาศก็ค่อย ๆ น้อยลงไปและไม่มีการแข่งขันกันมากเหมือนในอดีต) โดยครั้งนี้จะเป็นการแข่งขันการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศของเอกชน ที่ตอนนี้มีทั้งประเทศจีน และ คู่แข่งในประเทศอย่าง Amazon ของ Jeff Bezos ที่เร่งพัฒนาอยู่เช่นกัน
และจากความสำเร็จในการทดลองครั้งนี้ จะทำให้ SpaceX ได้รับสัญญาจาก NASA เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน และส่งผลให้มูลค่าของ SpaceX ทะยานขึ้นด้วยเช่นกัน ทั้งยังเปิดโอกาสไปสู่ธุรกิจการบินอวกาศในเชิงพาณิชย์อีกด้วย เรียกได้ว่า Elon Musk นอกจากจะเป็นวิศวกรที่เก่งกาจแล้ว ยังเป็นนักการตลาดระดับอัจฉริยะเลยทีเดียว
*หมายเหตุ
ข้อความ DON’T PANIC! บนหน้าจอ ในรถยนต์ Tesla Roadster นั้นมาจาก ข้อความบนหน้าปกส่วนหนึ่งของนิยายเรื่อง The Hitchhiker’s Guide to the Galaxy ซึ่งเป็นซีรีส์ชุดแรก ที่เขียนโดย Douglas Adams เรื่องราวเกี่ยวกับนักท่องอวกาศที่ชื่อว่า Arthur Dent ซึ่งเป็นนิยายที่ Elon Musk อ่านในวัยเด็กและชื่นชอบอย่างมาก และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เขาเดินตามความฝันที่จะท่องอวกาศ
โครงการท่องอวกาศเพื่อไปตั้งรกรากบนดาวอังคารของ Elon Musk ยังคงดำเนินต่อไป ยังไม่มีใครทราบว่าเราจะเดินทางไปถึงดาวอังคารได้เมื่อไหร่ แต่ไม่แน่ว่า วันที่เราสามารถส่งคนไปอาศัยบนดาวอังคารได้นั้น เจ้ารถยนต์ Tesla Roadster และนาย Starman อาจจะไปรอเราอยู่ที่ดาวอังคารแล้วก็เป็นได้
Sources:
- http://www.businessinsider.com/spacex-successfully-launched-falcon-heavy-rocket-2018-2
- http://www.businessinsider.com/falcon-heavy-launch-radiation-is-a-challenge-for-spacex-6-hours-in-2018-2
- http://www.businessinsider.com/elon-musk-launch-tesla-roadster-mars-spacex-falcon-heavy-2018-2
- http://www.businessinsider.com/falcon-heavy-launch-falcon-heavy-roadster-says-dont-panic-on-the-dashboard-2018-2
- http://www.businessinsider.com/tesla-q4-earnings-preview-2018-2