หลักคิดทำการตลาดโซเชียลมีเดียให้ยั่งยืน

Facebook พัฒนาตัวเองตลอดเวลา และทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง ผู้ใช้ Facebook ทำธุรกิจและการตลาดจะได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า

Facebook เปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง?

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อนานมาแล้วโพสต์ขายอะไรก็ขายได้ ไม่ต้องยิงโฆษณา ต่อมา Facebook ลดการมองเห็นของโพสต์ขายสินค้า และส่งผลให้ผู้ขายของบนโซเชียลมีเดียแห่งนี้ต้องซื้อโฆษณาแทบทุกคน

ระบบโฆษณาในช่วงแรก ค่ายิงแอดหลักสิบยอดขายหลักหมื่น คนยิงโฆษณาจำนวนมากขึ้น ค่าโฆษณาหลักสิบไม่ได้ผล วันนี้บางเพจในบางอุตสาหกรรมต้องยิงโฆษณาวันละหลักหมื่นบาท

สมัยหนึ่งยิงโฆษณาแบบ Reach เน้นการเข้าถึงก็ขายได้ ต่อมาต้องเป็นแบบ Engagement ต่อมาต้องยิงโฆษณาแบบทัก Chat และต่อมาต้องยิงโฆษณาแบบ Website Conversion การยิงโฆษณาไม่ใช่แค่แพงขึ้น แต่ยังซับซ้อนขึ้น

เมื่อการยิงโฆษณาแบบเดิม ๆ เริ่มไม่ได้ผล ตอนนี้มีทั้งการยิงแบบ Retargeting ไปยัง Custom audience และ Lookalike ร่วมด้วย!

เหล่านี้ยังไม่นับเรื่องของประเภทของคอนเทนต์ที่ Facebook ให้การสนับสนุนแตกต่างกันในแต่ละยุคสมัย บางช่วง โพสต์รูปภาพแล้ว Reach ดี บางช่วงโพสต์วีดีโอแล้ว Reach ดี เป็นต้น

คุณเหนื่อยไหมกับการทำแบบนี้?

แต่เหนื่อยแค่ไหนคุณก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า Facebook คือ โซเชียลมีเดียที่ทรงพลังที่สุดด้วยจำนวนผู้ใช้งานมากกว่า 2300 ล้าน Monthly active users และแทบทุกกิจกรรมที่พัน ๆ ล้านยูเซอร์ทำลงบน Facebook จะกลายไปเป็นฐานข้อมูลขนาดยักษ์ในระบบดาต้าเบสของ Facebook เรียกว่า Big Data

Big Data ทำให้ Facebook เป็นหนึ่งในมหาอำนาจฐานข้อมูล และครอบครองเครื่องมือโฆษณาออนไลน์ที่ทรงพลังที่สุดในโลก ทรงพลังกว่าเครื่องมือโฆษณาโซเชียลทุกชนิด และทรงพลังกว่าโฆษณา Google Ad ในบางวัตถุประสงค์

เพราะ Google Ad เป็นโฆษณาแบบ ตั้งรับ และทำการโฆษณาบนพื้นฐานของ Keyword bidding ต้องมีคนมาค้นหาให้ตรงคีย์ถึงจะเจอโฆษณา

แต่ Facebook เป็นโฆษณาแบบ บุกตะลุย และทำการโฆษณาบนพื้นฐานของ Interest และ Behavior หรือ พฤติกรรมการใช้งานและความสนใจของยูเซอร์ในระบบซึ่งมีหลากหลาย และการยิงโฆษณา Facebook เห็นผลแทบจะทันที

ผมเชื่อว่าในเร็ว ๆ นี้จะยังไม่มี แพลทฟอร์ม ใดที่จะทำหน้าที่เป็นทั้ง สื่อการตลาด และ เครื่องมือโฆษณา ให้ธุรกิจคุณได้ดีไปกว่าเฟซบุ๊ค ดังนั้นแทนที่ะเราจะเหนื่อยหน่ายกับมัน เราลองมาสร้างมุมมองใหม่ในการมอง Facebook กันครับ

ปรัชญาของ Facebook

Mark Zuckerberg ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO ของ Facebook สร้างแพลทฟอร์มนี้ขึ้นมาบนแนวคิดที่จะเชื่อมโลกเข้าถึงกัน คีย์เวิร์ดหลัก ๆ ที่ Mark Zuckerberg มักหยิบยกมาใช้ในโพสต์ใน Facebook ส่วนตัว และ Facebook Newsroom รวมไปถึงบนเวทีบรรยายต่าง ๆ อาทิ

  • Connecting the World
  • Friends and family first
  • People you care about
  • Meaningful content
  • Content worth sharing
  • Community & engagement

สรุป การมีอยู่ของ Facebook จึงเป็นไปเพื่อ!

‘Connecting สิ่งที่มีคุณค่าและน่าแชร์ให้กับคนที่คุณแคร์ได้มีส่วนร่วม’

Facebook ทำเงินจาก Advertisers ก็จริง แต่ Advertisers มาที่นี่เพราะ Active Users

บ่อยครั้งที่ Advertisers ไม่พอใจ Facebook ที่มีการปรับเปลี่ยนระบบต่าง ๆ จนรู้สึกว่าการยิงโฆษณาขายของยากขึ้น แพงขึ้น และเกิดความสงสัยว่าทำไม Facebook ไม่เอาใจพวกเขาทั้ง ๆ ที่พวกเขาคือกลุ่มคนที่คนจ่ายเงินให้ Facebook

ในฐานะที่ผมเองก็เป็นเจ้าของสื่อออนไลน์ทำเว็บไซต์ข่าวที่มีรายได้จากค่าโฆษณา สิ่งที่ท้าท้ายธุรกิจสื่อ คือ การทำให้ผู้อ่านที่เป็น Free user ได้รับคุณค่าโดยไม่ถูกบุกรุกโดยโฆษณามากเกินไป

เพราะหากเว็บไซต์มีโฆษณามากเกินไป Free user ก็จะหนีหายกันหมด และพอ Free user หนีหาย Advertiser ก็จะเป็นรายต่อไปที่จะหนีหายตามไปด้วย

เมื่อคนใช้ Facebook มากขึ้น

ก็เกิดการใช้งานผิดวัตถุประสงค์ เกิดโปรไฟล์ปลอม โปรไฟล์สแปม โปรไฟล์ขายของขึ้นมากมากมายไปหมด โดยในช่วงแรกเป็นยุคที่ ใครโพสต์อะไรก็เห็นหมด ทำให้ User ตัวจริงเริ่มเบื่อหน่ายกับโพสต์สแปม

Facebook จึงต้องพัฒนา อัลกอริธึ่ม หรือ ระบบการคำนวณการแสดงผลของ Newsfeed ตามพฤติกรรมการใช้งานและความสนใจของ User แต่ละคน รวมไปถึงการลด Reach หรือ การเข้าถึงและมองเห็นของโพสต์ที่เป็นการขายของทั้งใน Facebook ส่วนตัว และ Fanpage

การพัฒนาระบบนี้ก็เพื่อทำให้ User พอใจและอยู่กับ Facebook ต่อไป รวมไปถึงการทำให้ User อยากล็อกอินเข้ามาใช้เวลาอยู่กับ Facebook Newsfeed กันนาน ๆ

เพราะทั้งจำนวน User และ Active time หรือ เวลาที่ User อาศัยอยู่บน Facebook ยิ่งจำนวนมาก และ ยิ่งนาน ล้วนเป็นสิ่งที่ทั้งดึงดูดและทำให้ Advertisers ไม่ไปจาก Facebook เช่นกัน

แนวทางการใช้ Facebook เพื่อการตลาดออนไลน์อย่างยั่งยืน

Brandon McCormick โฆษกเฟสบุ๊คให้คำแนะนำว่า

“Advertisers should think of fans as a means to an end, not as the end in themselves”

แปลว่า “พวกท่านจงมองแฟนเพจเป็นเพียงช่องทางเพื่อนำไปสู่วัตถุประสงค์อื่น มิใช่เพื่อเป็นวัตถุประสงค์หลักโดยตัวมันเอง”

ไม่มีใครรู้ว่า Facebook จะเป็นที่นิยมไปอีกนานแค่ไหน หรือต่อไปจะ Transform บริการไปเป็นอะไร ดังนั้นวันนี้เราสามารถใช้ Facebook เป็นส่วนหนึ่งของการตลาดออนไลน์ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของคุณ

กล่าวคือ อย่านำธุรกิจทั้งหมดของคุณไปไว้บน Facebook 100% เพราะคุณอาจไม่จำเป็นต้องรอวันที่ Facebook หมดความนิยม เอาแค่คุณเกิดทำผิดกฏโดยไม่รู้ตัวแล้วถูกแบนบัญชี ธุรกิจคุณก็หายวับไปในบัดดล

คำว่า จงมองแฟนเพจเป็นเพียงช่องทางเพื่อนำไปสู่วัตถุประสงค์อื่น — ขยายความอย่างเรียบง่ายที่สุด คือ ใช้ Facebook Fanpage เป็นทางผ่านไปสู่เป้าหมายสูงสุดของคุณ โดยเป้าหมายสูงสุดในการทำธุรกิจออนไลน์ให้ย้อนกลับไปยังหัวข้อ Growth Hacking Marketing

เป้าหมายของการตลาดแบบ Growth Hacking คือ การให้ได้มาซึ่ง List หรือ ฐานข้อมูลพฤติกรรมและวิธีติดต่อกลุ่มเป้าหมาย มาไว้ในระบบที่คุณเป็นเจ้าของและสามารถควบคุมได้ 100%

Facebook เปิดใช้งานฟรีเพื่อแลกกับการสะสม Database ผู้ใช้งานจำนวนมหาศาล และนำ Database เหล่านี้ไปหาเงินต่อได้ปีละหลายแสนล้านบาท และหน้าที่ของคุณ คือ ใช้ทรัพยากรของ Facebook ในการดึงฐานข้อมูลเหล่านั้นมาไว้ในระบบฐานข้อมูลที่คุณสร้างขึ้นมาเองอีกทีหนึ่ง ระบบที่คุณสามารถติดต่อไปขายของแก่พวกเขาโดยไม่ต้องจ่ายเงินซื้อโฆษณา Facebook ad จำนวนมาก ๆ อีกต่อไป

เมื่อนั้น ธุรกิจของคุณจะมีความเป็นอิสระจาก Facebook มากขึ้นอีกหลายเท่าตัว!