CNN รายงาน เมื่อต้นเดือนสิงหาคม 2017 ว่าหุ้น SNAP ของบริษัท Snap Inc. เจ้าของแอปพลิเคชั่นโดนใจวัยรุ่นนาม Snapchat ที่เพิ่งจดทะเบียนในตลาดหุ้น NYSE เมื่อ 2 มีนาคม 2017 ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2017 ขาดทุน 443 ล้านเหรียญ การเติบโตของผู้ใช้งานชะลอตัว ส่งผลให้นักลงทุนแห่ทิ้งหุ้นจนราคาหุ้น SNAP ร่วง 15% ในวันเดียว
Evan Spiegel, ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Snap Inc. ให้พูดถึงเรื่องผลประกอบการเพียงเล็กน้อยก่อนจะเบนความสนใจไปที่ผลลัพธ์และแผนพัฒนาแอปพลิเคชั่นร่วมกับระบบ Android และผลประกอบการในผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง Spectacles หรือ แว่นตาสแนปแชท
การเติบโตของผู้ใช้งาน
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ต่างก็ไปเสาะหาข้อมูลมีวิเคราะห์ผ่านสื่อต่าง ๆ ว่าสถานการณ์ของ Snapchat น่าเป็นห่วง เพราะเป็นธุรกิจในกลุ่มโซเชียลมีเดียที่มีรายได้จากค่าโฆษณา หัวใจของธุรกิจนี้อยู่ที่่่ความสามารถในการขยายฐานผู้ใช้งานหรือ Growth user ให้ได้จำนวนมาก
แต่ตั้งแต่ปลายปี 2016 เป็นต้นมา ทั้ง Facebook และ Instagram ได้ทำการเลียนแบบโมเดลของ Snapchat ไปไว้ในแอปพลิเคชั่นของตนในนาม Facebook Directs และ Instagram Stories เป็นการอัดคลิปวีดีโอสั้น ๆ และจะแสดงผลประมาณ 24 ชั่วโมงก่อนจะลบตัวเองออกไป และได้รับการตอบรับอย่างดีโดยเฉพาะ Instagram Stories ที่คนนิยมเล่นกันมากขึ้น
Instagram Stories ทำให้มี Daily active users (DAU) 200 ล้านคนในเดือน เมษายน 2017 และกระโดเป็น 250 ล้านคนในเดือน พฤษภาคม 2017 ในขณะที่เดือน มิถุนายน – กรกฏาคม ที่ผ่านมาฝั่ง Snapchat ผู้ริเริ่มไอเดียระบบนี้กลับมี DAU เพียง 173 ล้านคน!
สรุป
อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวแจ้งว่า Evan Spiegel, ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Snap Inc. ยังคงวางตัวอย่างสุขุมและมั่นใจแม้จะเผชิญข่าวลบ ๆ ระหว่างการรายงานผลประกอบการต่อผู้ถือหุ้นให้ครั้งนี้ เขากล่าวทิ้งท้ายอย่างเฉียบคมในการประชุมว่า
“…If you want to be a creative company, you have got to be comfortable with and basically enjoy the fact that people copy your stuff. We believe that everyone is going to develop a camera strategy. Just because Yahoo has a search box doesn’t mean they’re Google…”
แปลไทย:
“…ถ้าคุณคิดจะทำธุรกิจสร้างสรรค์ คุณต้องทำใจให้ได้ที่จะถูกลอกเลียนผลงาน เรารู้อยู่แล้วว่าใคร ๆ ก็ต้องลอกเลียนแบบธุรกิจถ่ายภาพ (แบบ Snapchat) อย่างไรก็ดี เปรียบกับการที่ Yahoo มีช่อง ‘ค้นหา’ ไม่ได้ทำให้เขาเป็น Google …”