ผู้เชี่ยวชาญชี้ ทำไมการออมเงินจึงเป็นคำสอนที่ล้าสมัย

ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย แต่หลายประเทศทั่วโลกรวมถึงอเมริกาก็มีค่านิยมสอนให้ลูกหลานออมเงินไว้ใช้ยามชรา อย่างไรก็ดีผลสำรวจของ Lending Tree Survey ปี 2017 สำรวจชายหญิงอายุ 22-37 ปีจำนวน 1,050 คนพบว่า ผู้ชายเป็นเพศที่ให้ความสำคัญกับการหารายได้เพิ่มมากกว่าผู้หญิง

จากผลสำรวจใน ตารางนี้  พบว่า ผู้ชาย ให้ความสำคัญกับการเพิ่มรายได้ 27.78% ในขณะที่ผู้หญิงให้ความสำคัญข้อนี้เพียง 20.66% ในขณะที่ในข้อการออมเงิน ผู้ชายให้ความสำคัญ 18.40% ในขณะที่ผู้หญิงให้ความสำคัญกับการออมเงินสูงถึง 23.42%

Olivia Mitchell ผู้อำนวยการฝ่ายงานวิจัยด้านสวัสดิการและบำนาญแห่งมหาวิทยาลัย University of Pennsylvania สัมภาษณ์ ต่อเว็บไซต์ CNBC ว่า

“…ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะต่อรองเรื่องรายได้กับนายจ้างน้อยกว่าผู้ชาย และเมื่อทำงานผิดพลาด ผู้หญิงก็มักถูกตำหนิติเตียนหนักกว่า…”

“…ความตั้งใจในการเลือกออมเงินมากกว่าหาวิธีสร้างรายได้เพิ่มในผู้หญิงหลัก ๆ มาจากการสั่งสอนและปลูกฝังในอดีตที่มุ่งเน้นให้ ทำงาน ออมเงิน กินเงินหลังเกษียณ และให้สามีเลี้ยงดู…” — Olivia Mitchell ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อ

ในฝั่งของ Grant Cardone เศรษฐีอสังหาริมทรัพย์ ผู้ร่ำรวยจากการเป็นนายหน้าค้าขายอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจรถยนต์มีความเห็นว่า การออมเงิน เป็นพฤติกรรมแบบตั้งรับ ซึ่งเป็นค่านิยมสมัย Baby boomer ที่ตลาดต้องการแรงงานจำนวนมาก งานหาง่าย บริษัทใหม่มีสวัสดิการให้ลูกจ้างมากมายไปจนเกษียณ

แต่เขามองว่าปัจจุบันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว โครงสร้างธุรกิจและองค์กรเปลี่ยนแปลงไปมาก และเทคโนโลยีเปิดโอกาสให้คนสามารถทำงานประจำ, พัฒนาอาชีพสำรอง และบริหารการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ควบคู่ได้สะดวกขึ้นกว่าเมื่อก่อน

Grant Cardone เห็นว่า ด้วยโอกาสและเครื่องมือที่อำนวยความสะดวกในการสร้างรายได้หลายช่องทางในปัจจุบัน การที่ยังยึดถือแนวคิดการออมเงินรอเกษียณแบบสมัย Baby boomer ทำให้เสียโอกาสในชีวิตอย่างมาก

สุดท้าย Olivia Mitchell ยังคงเสนอว่า การออมเงินและการเพิ่มรายได้เปรียบเสมือนเหรียญคนละด้านที่แยกจากกันไม่ได้ และแต่ละคนต้องรู้ว่าช่วงเวลาไหนควรจัดการกับงานเงินของตัวเองอย่างไรเพื่อสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว