ประวัติ Sam Walton แห่ง Walmart

จากการจัดอันดับมหาเศรษฐีของโลกโดยนิตยสาร Forbes เรามักเห็นคนในตระกูล Walton ติดอันดับต้น ๆอยู่เสมอ ความร่ำรวยของสมาชิกตระกูลนี้มาจากมรดกตกทอดอย่างห้าง Walmart ธุรกิจค้าปลีกอันดับ 1 ของโลกซึ่งมีสินทรัพย์รวมมหาศาลกว่า 2 แสนล้านเหรียญ โดยมีผู้ก่อตั้งอย่าง Sam Walton เป็นผู้วางรากฐานความมั่งคั่งนี้ เชื่อหรือไม่ว่ากว่าที่ Sam Walton จะพา Walmart มาอยู่ในจุดนี้ได้ เขาเองก็ต้องพบเจออุปสรรคอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ Sam Walton ผู้ให้กำเนิด Walmart กันครับ

ชีวิตแสนลำเค็ญในวัยเยาว์

Sam Walton เกิดวันที่ 29 มีนาคม 1918 ที่เมือง Kingfisher รัฐ Oklahoma ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาเป็นลูกชายของชาวไร่ ในช่วงต้นเขาจึงอาศัยอยู่ในฟาร์มของครอบครัว แต่ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่อเมริกาประสบปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้ความเป็นอยู่ของครอบครัวไม่ค่อยจะสู้ดีนัก พ่อของเขาต้องเอาฟาร์มไปจำนองและไปทำงานที่บริษัทประกันของน้องชาย

ท้ายที่สุดเมื่อสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น ครอบครัวของเขาต้องขายฟาร์มไปในปี 1923 และย้ายไปอยู่ที่เมือง Columbia รัฐ Missouri ที่นี่เองเขาต้องช่วยครอบครัวทำงานโดยต้องรีดนมวัว บรรจุนมลงขวดและขับรถไปส่งให้แก่ลูกค้า เวลาว่างหลังจากนั้นเขายังทำงานเป็นคนส่งหนังสือพิมพ์ จนกระทั่งเขาจบการศึกษาที่ David H. Hickman High School

หลังจากนั้นเขาได้เข้าศึกษาต่อที่ University of Missouri ด้วยความหวังว่าจะพบหนทางที่จะสามารถช่วยเหลือครอบครัวได้ ในระหว่างนี้เขาได้ทำงานแปลก ๆ หลายอย่างซึ่ง 1 ในนั้นก็คือการรับจองโต๊ะเพื่อแลกกับมื้ออาหาร เขาจบการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ในปี 1940

ในช่วงเวลานั้นได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาจึงเข้าร่วมในกองทัพโดยทำงานให้กับหน่วยสืบราชการลับและมียศถึงร้อยเอก

ผันตัวเข้าสู่โลกธุรกิจฝึกปรือประสบการณ์

ในปี 1945 หลังออกจากกองทัพในวัย 26 ปี ด้วยความช่วยเหลือให้ยืมเงินจากพ่อตาและเงินจากกองทัพ Sam ได้ซื้อแฟรนไชส์ร้านค้าปลีก Ben Franklin ด้วยเงิน 25,000 เหรียญ นี่คือธุรกิจแรกของเขา ในขณะบริหารร้าน Sam เป็นคนที่มีความสามารถสูงประกอบกับเป็นคนช่างคิด เขาปรับปรุงวิธีการขาย วิธีการวางสินค้าจนทำให้ร้านที่เขาดูแลสามารถเพิ่มยอดขายจาก 80,000 เหรียญกลายเป็น 250,000 เหรียญใน 3 ปี แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่างภายหลังเขาปฏิเสธที่จะต่อสัญญาแฟรนไชส์และขายคืนไปในราคา 50,000 เหรียญ

หลังจากนั้นเขาไปซื้อร้านค้าขนาดเล็กในราคา 20,000 เหรียญ ในย่าน Bentoville ซึ่งก่อนหน้านี้มียอดขายเพียง 72,000 เหรียญ แต่หลังจากที่เขาเข้ามาบริหารร้านสามารถเพิ่มยอดขายได้ถึง 105,000 เหรียญ ภายในปีแรกและเพิ่มเป็น 140,000 เหรียญและ 175,000 เหรียญตามลำดับ

ถึงเวลาสร้างแบรนด์ของตนเอง

ในวันนี้ 2 กรกฎาคม 1962 Walmart สาขาแรกได้ถือกำเนิดขึ้นที่รัฐอาร์คันซอร์ในรูปแบบของ Discount Store ที่จำหน่ายสินค้าราคาถูกกว่าที่อื่น ซึ่งเหตุผลที่ทำให้ Walmart สามารถขายสินค้าได้ต่ำกว่าร้านอื่น ๆ คือ Walmart จะหาผู้ผลิตที่ต้นทุนต่ำและเข้าไปติดต่อกับผู้ผลิตเหล่านั้นโดยตรงไม่ยอมติดต่อผ่านคนกลางโดยเด็ดขาดและอาศัยการซื้อสินค้าในปริมาณมากจึงยิ่งทำให้ต้นทุนถูกลงมากยิ่งขึ้น

อีกประการหนึ่งที่ทำให้ Walmart แตกต่างจากร้านค้าอื่น ๆ คือ ตัว Walmart จะไปเปิดตามเมืองเล็ก ๆ ที่ไม่ใช่เมืองใหญ่และพัฒนาระบบขนส่งหรือ logistics ตามศูนย์ส่งให้มีประสิทธิภาพ ทำให้สินค้ากระจายไปยังลูกค้าแพร่หลายกว่า โดยภายหลัง Sam ยอมรับว่าเขาเรียนรู้รูปแบบการจัดการมาจากร้าน Meijer Store ร้านค้าปลีกชื่อดังที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในขณะนั้นและนำมาปรับใช้กับ Walmart

ผลจากการจัดการภายในที่ดีทำให้ Walmart เติบโตจากปี 1977 ที่มีร้านอยู่ทั้งสิ้น 190 สาขา กลายมาเป็น 800 กว่าสาขาในปี 1985 และนั่นเองที่เป็นรากฐานให้ Walmart กลายมาเป็นค้าปลีกอันดับ 1 ของโลกในปัจจุบัน

กุญแจแห่งความสำเร็จของ Walmart

1. ความสำเร็จที่ปฏิเสธไม่ได้มาจากการบริหารจัดการที่ดี

ตัวชี้วัดความสำเร็จอย่างแรกสุดคือการบริหารจัดการระบบธุรกิจ ระบบการจัดการที่ดีจะทำให้การดำเนินงานทั้งหมดราบรื่น และเป็นไปตามกลยุทธ์ที่วางไว้ ยิ่งภายในมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งเพียงใด โอกาสชนะศึกนอกยิ่งสูงมากขึ้นตามไปด้วยเพราะฉะนั้นการวางระบบการจัดการในเรื่องต่าง ๆ ของธุรกิจจึงมีความสำคัญและควรเป็นสิ่งแรกที่จะต้องนึกถึงเสียก่อน

2. มีแบบอย่างของความสำเร็จ

หลายครั้งความสำเร็จของธุรกิจก็มาจากการเรียนรู้โมเดลธุรกิจของคนอื่นที่ประสบความสำเร็จอยู่แล้วและเรานำมาพัฒนาต่อยอดปรับใช้กับธุรกิจของเรา จริง ๆ แล้วสูตรสำเร็จในโลกธุรกิจมักจะมีอยู่ไม่มากนักและรูปแบบก็เป็นพิมพ์เขียวเดียวกัน แต่แตกต่างกันที่รายละเอียดปลีกย่อยเท่านั้น บางครั้งการดื้อดึงเกินไปที่จะไม่ศึกษาแบบอย่างความสำเร็จเลย อาจจะส่งผลเสียต่อตัวธุรกิจเราเองก็เป็นได้

3. ดูแลลูกค้าอย่างดีสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้า

ความจริงใจคือสิ่งแรกที่เราควรคำนึงถึงเมื่อสินค้าของเรากำลังจะออกสู่ตลาด เมื่อเราผลิตสินค้าและบริการลูกค้าด้วยความจริงใจ สิ่งที่เราจะได้รับกลับมาก็คือความไว้วางใจนั่นเอง อย่าลืมว่าความไว้วางใจไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสร้าง แต่เมื่อเกิดแล้วสิ่งนี้จะอยู่กับเราไปนาน ตราบเท่าที่เรายังมอบความจริงใจให้แก่ลูกค้าอยู่ แล้วความไว้วางใจนี้จะกลายมาเป็นความภักดีต่อแบรนด์ในอนาคต

4. ทุกคนในองค์กรเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

ความสามัคคีคือพลังที่ผลักดันองค์กรให้เดินหน้า หากทุกคนรู้สึกถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและรู้สึกว่าตนเองผูกพันและเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรได้ เมื่อนั้นองค์กรนี้ก็จะลอยลมบนและทะยานสูงอย่างไม่มีอะไรรั้งได้จริง ๆ

ข้อคิดที่คุณสามารถนำไปปรับใช้

1. มุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศในทางธุรกิจ

เมื่อใดที่ลงมือทำธุรกิจเราต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าเราอยากให้ธุรกิจของเราไปยืนอยู่ ณ จุดใดของวงการ สิ่งนี้จะเป็นแรงผลักดันที่สำคัญให้เราไปสู่ความสำเร็จที่มุ่งหวัง เพราะเมื่อเรามุ่งหวังในความเป็นเลิศ เราย่อมจะทำทุกอย่างให้ออกมาดีที่สุด เมื่อสิ่งที่ทำออกมาดีผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมมุ่งหวังได้

2. วิสัยทัศน์ต้องชัดเจน

นอกจากความมุ่งมั่น วิสัยทัศน์ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ CEO ควรคำนึงถึงเพราะวิสัยทัศน์คือเข็มทิศที่จะชี้นำทิศทางขององค์กร วิสัยทัศน์ที่ชัดเจนจะเป็นแนวทางให้ทุกคนปฏิบัติตามไปในทางเดียวกัน และทำให้องค์กรเดินหน้าไปสู่เป้าหมายที่วางไว้อย่างราบรื่น

แม้ว่า Sam Walton จะเสียชีวิตไปแล้วแต่บทเรียนแห่งความสำเร็จจากแนวความคิดการบริหาร Walmart ของเขาคือสิ่งล้ำค่าที่เขาทิ้งไว้ รูปแบบความสำเร็จที่จับต้องได้คือสิ่งที่ควรศึกษาและสมควรอย่างยิ่งที่จะนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณ ดังเช่นที่ Sam Walton เองก็ศึกษาโมเดลจากผู้อื่นและปรับใช้จน Walmart ยิ่งใหญ่ในทุกวันนี้