ประวัติ Robert Kiyosaki แห่งซีรีหนังสือ Rich Dad Poor Dad

หากพูดถึงหนังสือสร้างแรงบันดาลใจที่ได้รับความนิยม ช่วยเปลี่ยนมุมมองและแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องเงิน หนึ่งในนั้นคือ Rich Dad Poor Dad หนังสือที่ขายดีและได้รับความนิยมอย่างสูง แม้กระทั่งตัวผู้เขียนเองก็ได้รับความสนใจไม่แพ้กัน จึงทำให้ชื่อของ Robert Kiyosaki กลายเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว กว่าจะมาเป็นหนังสือเล่มนี้ได้ เชื่อว่าชีวิตเขาต้องไม่ธรรมดาแน่นอน อะไรคือสิ่งที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงได้ขนาดนี้

ตำนานพ่อรวยสอนลูก

Robert Kiyosaki เกิดเมื่อวันที่ 8 เมษายน 1947 รัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา การที่พ่อของเขาเป็นอาจารย์ ทำให้ช่วงชีวิตในวัยเด็กจึงได้รับการศึกษาเป็นอย่างดี จบการศึกษาขั้นต้นจาก Hilo High School หลังจากนั้นเขาได้เข้าเรียนที่ Merchant Marine Academy ในนิวยอร์ก เขาเป็นผู้ก่อตั้ง Rich Dad Company ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนที่ให้ความรู้ด้านการเงินส่วนบุคคลและ Cashflow Technologies, Inc.

การผจญภัยเริ่มต้นที่มหาสมุทร… โด่งดังสุดจากปลายปากกา

หลังจบการศึกษาเขาทำงานกับบริษัทเรือเดินสมุทรในฐานะเจ้าหน้าที่ดาดฟ้า ทำให้ได้มีโอกาสเดินทางไปยังที่ต่างๆสัมผัสกับวัฒนธรรมและวิถีชีวิต เห็นถึงความยากจนที่หลายคนต้องเผชิญ เป็นแรงผลักดันส่วนหนึ่งของชีวิต จนในปี 1972 ระหว่างสงครามเวียดนามเขารับใช้ประเทศชาติด้วยการทำหน้าที่เป็นนักบินติดอาวุธในนาวิกโยธิน หลังจากนั้นอีกสองปีจึงตัดสินใจลาออกแล้วเดินทางไปที่นิวยอร์ก

ปี 1974 – 1978 เขาทำงานเป็นพนักงานขายเครื่องถ่ายเอกสาร และรู้ว่านี้ไม่ใช่สภาพแวดล้อมที่เขาต้องการ ในขณะเดียวกันในปี 1977 เขาเก็บเงินได้มากพอที่จะเริ่มสร้างบริษัทของตัวเองด้วยการจำหน่ายกระเป๋าสตางค์ที่ชื่อว่า Velcro surfer แต่ประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จนท้ายที่สุดต้องเลิกกิจการไป

ช่วงต้นปี 1980 เขาได้รับลิขสิทธิ์ในการจำหน่ายเสื้อยืดของวงร็อค Motley Crue ธุรกิจดำเนินได้ดีในช่วงแรก แต่น่าเสียดายที่ความนิยมกลับลดลงเรื่อยๆ บริษัทจึงล้มละลายในปี 1985 ตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมาของเขาเคยเฟื่องฟูและเคยดิ่งลงถึงจุดต่ำสุด แต่ไม่เคยสูญเสียความหวัง เมื่อบรรลุความสำเร็จ เขาตัดสินใจเกษียณตอนอายุ 47 ปี

หลังจากเกษียณไปได้สามปี เขาต้องการหาอะไรใหม่ๆทำ และคิดว่าการถ่ายทอดความรู้ผ่านการเขียนเป็นสิ่งที่ดีที่สุด นี่คือจุดเริ่มต้นของหนังสือ Rich Dad Poor Dad ซึ่งเขาได้ร่วมเขียนกับ Sharon Lechter ซึ่งผลงานสร้างชื่อที่ทำให้เขากลายเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วคือ Rich Dad Poor Dad ตีพิมพ์อย่างเป็นทางการในปี 2000 มีเนื้อหาเกี่ยวกับการสนับสนุนอิสรภาพทางการเงิน และสอนให้ผู้อ่านเห็นถึงความสำคัญของการสร้างความมั่งคั่ง ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จนกลายมาเป็นหนังสือยอดนิยมติดอันดับ New York Times Bestseller 6 ปีซ้อน

หนังสือสามเล่มแรกของเขาคือ Rich Dad Poor Dad, CASHFLOW Quadrant และ Guide to Investing ได้รับการจัดอันดับ 1 ใน 10 อันดับที่มียอดขายดีที่สุดพร้อมกันใน The Wall Street Journal, USA Today และ The New York Times ความสำเร็จของหนังสือเหล่านี้ผลักดันให้เขาดำเนินการต่อในหนังสือชุดเกี่ยวกับการเงิน ซึ่งมีทั้งหมด 15 เล่ม นอกจากนี้เขายังเป็นนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ผู้ประกอบการ นักเขียน และนักพูดสร้างแรงบันดาลใจอีกด้วย

กุญแจความสำเร็จ

1. เต็มเปี่ยมไปด้วยความพยายาม ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค

ตอนที่ยังไม่มีธุรกิจสำนักพิมพ์ เขาต้องออกทุนและทำการตลาดเองในการตีพิมพ์หนังสือ Rich Dad Poor Dad ออกมาทั้งหมด 1,000 เล่ม การตลาดของเขาคือการเข้าไปติดต่อตามร้านหนังสือ แน่นอนว่าโดนปฏิเสธอยู่หลายครั้ง เขาจึงตัดสินใจโทรหาเพื่อนที่เป็นเจ้าของร้านล้างรถในรัฐเท็กซัส เพื่อขอวางขายหนังสือจำนวน 12 เล่ม และเป็นอีกครั้งที่โดนปฏิเสธ แต่ด้วยความพยายามบวกกับความตั้งใจอย่างเปี่ยมล้น ทำให้หนังสือของเขาได้วางจำหน่าย เวลาผ่านไป 1 เดือนก็ยังอยู่ครบทุกเล่ม จนในที่สุดมีคนสนใจขอซื้อหนังสือทั้งหมดที่เหลืออยู่

2. อย่าสูญเสียความหวัง

หลายครั้งที่เขาต้องเจอกับความล้มเหลว รวมถึงการที่คนอื่นพร่ำบอกในสิ่งที่เขาคิดหรือกำลังทำอยู่ว่าเป็นไปไม่ได้ ให้ล้มเลิกความตั้งใจนั้น ตราบใดที่ยังมีความหวังและศรัทธาต่อตนเอง แม้จะเหนื่อยยากแค่ไหน หนทางแห่งความสำเร็จที่รออยู่ข้างหน้าก็ไม่ไกลอีกต่อไป
ไม่หยุดที่จะเรียนรู้

หนึ่งในคุณสมบัติของคนที่ประสบความสำเร็จมักทำเป็นประจำ นั่นคือการเรียนรู้อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเรียนรู้เกี่ยวกับงานของตัวเอง เรียนรู้จากคู่แข่ง เรียนรู้ในสิ่งใหม่ เพราะโลกเปลี่ยนแปลงเร็วมาก แค่เรียนรู้อย่างเดียวคงไม่พอ ต้องเรียนรู้ไวและปรับตัวยืดหยุ่นได้อย่างรวดเร็ว เมื่อหยุดเรียนรู้นั่นหมายถึงเรากำลังล้าหลังลงเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดอาจมองไม่เห็นอนาคตข้างหน้าอีกเลย

3. หาที่ปรึกษา

คนเราไม่ได้เก่งไปซะทุกอย่าง และคนที่ประสบความสำเร็จไม่จำเป็นที่จะต้องลงมือทำเองทุกขั้นตอน เมื่อไม่ชำนาญในสิ่งใด การหาที่ปรึกษาย่อมดีกว่าการลองผิดลองถูกเอง กว่าจะเข้าที่เข้าทางอาจล่าช้าเกินไปหรืออาจต้องสูญเสียในส่วนที่ไม่ควรเสียมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ

ข้อคิดที่คุณสามารถนำไปปรับใช้

1. ชนะหรือแพ้ไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือการเรียนรู้

การแพ้หรือชนะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในสนามแข่งทุกประเภท ความแน่นอนไม่เคยมีอยู่จริง สิ่งที่ดีที่สุดคือการเรียนรู้จากเหตุการณ์เหล่านั้น การยอมรับอย่างตรงไปตรงมาแล้วรีบหาทางแก้ไขย่อมดีกว่าการจมดิ่งอยู่กับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น หรือแม้แต่การยึดติดกับความสำเร็จครั้งอดีต เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงได้เสมอ

2. ตั้งคำถามที่ท้าทายความคิด

จุดเล็กๆในการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง อาจเริ่มต้นมาจากการตั้งคำถามอยู่บ่อยๆ เพราะช่วยกระตุ้นสมองให้คอยคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆที่เกิดขึ้น ช่วยแก้ปัญหาที่กำลังคิดไม่ตก และสามารถหลุดจากกรอบเดิมๆได้คำถามที่ดีนั้นต้องท้าทายความคิด และสร้างสรรค์เพื่อให้เกิดมุมมองใหม่ ๆ

ชีวิตคนเราก็เหมือนกับการล่องเรือกลางมหาสมุทรที่ไม่มีใครรู้ว่าจะเจอกับอะไร คลื่นยักษ์ถาโถม สภาพอากาศแปรปรวน ความอ้างว้างที่เริ่มเกาะกินจิตใจ การมีสติ ความมุ่งมั่น ความอดทน และทักษะในการแก้ปัญหาจะช่วยให้ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความหฤโหดนี้ไปได้ สิ่งที่สำคัญคือเราเรียนรู้อะไรจากตรงนั้น เพราะนั่นคือแก่นแท้ของการประสบความสำเร็จที่แท้จริง