Jason Fried remote book

CEO BOOK: รีวิวหนังสือ REMOTE สร้างธุรกิจให้ได้ดี ไม่ต้องมีออฟฟิศ by Jason Fried and David Heinemeier Hansson

หนังสือ REMOTE เป็น 1 ใน 100 หนังสือธุรกิจที่ CEO BLOG แนะนำให้อ่าน โดยผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ได้มีโอกาสทำงานแบบทั้งที่มีออฟฟิศและไม่มีออฟฟิศ ในฐานะลูกจ้างและผู้ประกอบการมาแล้วทั้งสิ้น ซึ่งต้องยอมรับว่าการจะมีหรือไม่มีออฟฟิศนั้น มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป แต่สุดท้ายมันขึ้นอยู่กับว่าโจทย์ของธุรกิจหรือ Core Business ของเราคืออะไร และเราชอบไลฟ์สไตล์แบบไหนมากกว่ากันเท่านั้นเอง

วันนี้ก็ลองมาดูกันว่า การสร้างธุรกิจโดยที่ไม่ต้องมีออฟฟิศตามสไตล์ของหนังสือ REMOTE: Office Not Required เขียนโดย Jason Fried กับ David Heinemeier Hansson (ซึ่งเป็นผู้เขียนเดียวกันกับหนังสือ REWORK: ยกเครื่องความคิด) นั้น เขาจะชูโรงว่า ธุรกิจในสมัยใหม่นั้น ไปได้ดีได้โดยที่ไม่ต้องมีออฟฟิศหรือในบางมุมการมีออฟฟิศนี่แหละที่ปิดกั้นการเติบโตของบริษัทและคนทำงานในยุคสมัยใหม่ โดยในบทความนี้ ก็จะเน้นมุมมองและข้อดีของการไม่มีออฟฟิศเป็นหลัก ซึ่งจะใช้ประโยชน์ของความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและโลกอินเตอร์เน็ตมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการสร้างธุรกิจ

ก่อนที่โลกอินเตอร์เน็ตจะรุ่งเรืองเท่ายุคนี้ ต้องบอกได้เลยว่า การติดต่อสื่อสารกันภายในองค์กรนั้น ก็คงมีตัวเลือกเดียวคือการโทรศัพท์คุยกันหรือไม่ก็ต้องมาเจอหน้ากันเพื่อพูดคุยเรื่องงาน แต่ในขณะที่ยุคนี้ เป็นยุคที่อินเตอร์เน็ตเฟื่องฟูเป็นอย่างมาก แถมมีโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ที่ทำให้การติดต่อสื่อสาร เป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย รวดเร็ว และมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำลงกว่าเดิมมาก

เนื้อหาในหนังสือ REMOTE ถูกแบ่งออกเป็น 7 บทหลัก ๆ ดังนี้

บทที่ 1: ถึงยุคของการทำงานทางไกลแล้ว

ในบทนี้ จะเป็นมุมมองที่ผู้เขียนหนังสือพยายามหาข้อดีของการไม่ต้องมีออฟฟิศมาหักล้างกับข้อเสียในการออฟฟิศซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่า ในบทนี้จะต้องอวยเรื่องของการทำงานนอกออฟฟิศแบบเต็ม ๆ ซึ่งอาจจะมีทั้งถูกใจและขัดใจใครหลาย ๆ คน เพราะต่างคนต่างมุม แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะชื่อหนังสือก็บ่งบอกอยู่แล้วว่า ต้องสร้างธุรกิจให้ดีโดยที่ไม่มีออฟฟิศนี่นา ดังนั้นหนังสือในเล่มนี้ก็จะพยายามทำให้ผู้อ่าน เชี่ยวชาญในการสร้างธุรกิจแบบไม่มีออฟฟิศให้ธุรกิจมันออกมาดีที่สุดเท่าที่จะทำได้

เหตุผลหลัก ๆ ที่ใช้โจมตีจุดอ่อนของการทำงานในออฟฟิศ เช่น การต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางไปที่ทำงานแต่แล้วก็พบว่ารถโคตรจะติด ทำให้อารมณ์บูดตั้งแต่เช้า กว่าจะถึงออฟฟิศก็หมดแรงซะแล้ว แถมยังต้องเสียเงินไปเป็นจำนวนมากกับค่าเดินทาง ที่จะว่าไปก็ไม่ใช่เงินจำนวนน้อย ๆ หรือหากไม่อยากเสียค่าเดินทางก็ต้องเลือกที่อยู่อาศัยในใกล้กับที่ทำงานมากที่สุด ซึ่งแน่นอนว่า ยิ่งออฟฟิศอยู่ใจกลางเมือง ค่าครองชีพ ค่าเช่า ก็สูงตามขึ้นไปด้วย แถมลำพังแค่ทำให้ตัวเองตื่นตอนแต่เช้าก็ยังคงเป็นเรื่องสาหัสสำหรับใครหลาย ๆ คนอยู่ดี เป็นต้น

บทที่ 2: รับมือกับข้อโต้แย้ง

หลังจากบทแรกที่อวยข้อดีของการทำงานแบบไม่มีออฟฟิศและโจมตีจุดอ่อนของการมีออฟฟิศไปแล้วนั้น มาในบทนี้ ก็ยังคงอวยอย่างต่อเนื่อง นั่นก็คือ หากฝ่ายตรงข้าม(ฝ่ายที่ชอบทำงานในออฟฟิศ) มาดิสเครดิตกัน อารมณ์ประมาณว่า การทำธุรกิจแบบไม่มีออฟฟิศ มีแต่ข้อเสียเยอะแยะไปหมด มันก็ถึงเวลาที่ฝ่ายที่ไม่อยากทำงานในออฟฟิศตอบโต้นั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น บริษัทชั้นแนวหน้าเขาก็มีออฟฟิศกันทั้งนั้นแหละ, ไหนลองบอกมาซิว่า มีบริษัทแนวหน้าสักกี่บริษัทที่ไม่ต้องมีออฟฟิศบ้าง, แล้วแน่ใจได้ยังไงว่า ลูกน้องที่ไม่เข้าออฟฟิศจะทำงานตามที่ได้รับมอบหมาย ไม่ใช่รับค่าจ้างไปเปล่า ๆ แล้วแอบอู้งานหรอกหรือ เป็นต้น

ดังนั้นหากคุณมุ่งมั่นที่จะสร้างธุรกิจแบบที่ไม่ต้องพึ่งพาออฟฟิศแล้วล่ะก็ คุณก็ต้องเตรียมตัวรับมือกับข้อขัดแย้งที่อาจจะมาจาก หุ้นส่วน เพื่อนร่วมงาน หัวหน้า ลูกน้อง ลูกค้า ให้ดี เพราะพวกเขาเหล่านั้น ก็ยังคงนึกภาพไม่ค่อยออกว่า จะทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้ยังไงโดยที่ไม่ต้องมีออฟฟิศ

บทที่ 3: วิธีทำงานทางไกลร่วมกัน

สิ่งหนึ่งที่ผมเองได้ใช้เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วมในการทำงานร่วมกันระหว่างทีมงานที่อยู่กันคนละที่ นั่นก็คือ พฤติกรรมจากเดิมที่เป็นคนใช้โปรแกรมพวก Microsoft Office ไม่ว่าจะเป็น Word, Excel หรือ PowerPoint ซึ่งสิ่งที่เป็นปัญหามากที่สุดก็คือ ไฟล์งานมักจะอยู่ที่คอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่ง บางครั้งก็อยู่ที่คอมตั้งโต๊ะที่ใช้ประจำ หรือบางทีไฟล์ก็อยู่ในโน้ตบุ๊คระหว่างที่ไปทำงานนอกสถานที่ ทำให้การแชร์ไฟล์หรือข้อมูลหลาย ๆ อย่างแก่เพื่อนร่วมทีมนั้นทำไปได้ด้วยความลำบาก

จนกระทั่งผมเองหันมาใช้โปรแกรม Google Drive ที่สามารถเก็บไฟล์งานต่าง ๆ ไว้บน Cloud ได้ แถมยังมีโปรแกรม Google Docs, Google Sheet และ Google Slide ที่มีความสามารถคล้าย ๆ กับ Microsoft Office เลย แถมยังสามารถแชร์และทำงานร่วมกับทีมงานไปได้ในเวลาเดียวกันอีกด้วย

แต่สำหรับหนังสือเล่มนี้ มักจะแนะนำโปรแกรมที่ชื่อว่า Basecamp ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ผู้เขียนหนังสือนั้นเป็นเจ้าของอยู่ โดยมีความสามารถในการทำหน้าที่เป็นโปรแกรมที่เอาไว้ให้ทีมงานคอยอัพเดทความคืบหน้าของงานแต่ละแผนก หากใครสนใจก็ลองเข้าไปทดลองใช้ได้ฟรีกันดูครับ

บทที่ 4: ข้อควรระวัง

ทีนี้ก็มาถึงข้อเสียที่อาจเกิดขึ้นได้ เมื่อคุณเลือกที่จะทำธุรกิจด้วยการไม่มีออฟฟิศ ตัวอย่างเช่น โรคเหงา โรคซึมเศร้า เพราะแม้ว่าจะมีเทคโนโลยีที่สามารถคุยกับใครที่ไหนและเมื่อไหร่ก็ได้ แต่มันก็ไม่สามารถที่จะเทียบเท่ากับการเจอหน้าคนแบบตัวเป็น ๆ อย่างแน่นอน

รวมไปถึงการที่ทำงานนอกออฟฟิศ แม้ว่าข้อดีของมันก็คือ การที่ไม่ต้องตอกบัตรเข้างานตอน 9 โมงเช้าและเลิกงานใน 5 โมงเย็น แต่หลุมพรางที่คุณอาจจะต้องเผชิญก็คือ การทำงานโดยไม่มีแบบแผน พอรู้ตัวอีกที กลับใช้เวลาทำงานมากกว่าสมัยที่ทำในออฟฟิศซะอีก บางคนก็เริ่มทำงานตอนเที่ยง แล้วพักเบรค ทำนู่นนี่นั่น รู้ตัวอีกทีก็ปาไปเที่ยงคืน กลายเป็นทำงานวันละ 12 ชั่วโมงไปซะหยั่งงั้น

บทที่ 5: จ้างคนเก่งและทำให้พวกเขาอยู่กับเราไปนาน ๆ

ไม่ว่าจะทั้งในฐานะนายจ้างหรือลูกจ้างก็ตาม คงจะเจอกับปัญหานี้ไม่มากก็น้อย ในเรื่องของการย้ายถิ่นฐานที่ทำงาน พนักงานหลาย ๆ คนมีฝีมือที่ดีมาก แต่ติดที่สถานที่ทำงานอยู่ไกลบ้าน อยู่ในที่กันดาร หรือมีเหตุจำเป็นที่จะต้องย้ายที่อยู่อาศัย ทำให้การมีออฟฟิศนั้นเป็นอุปสรรคต่อการจ้างงานของคนที่มีฝีมือดี ๆ ที่มีอยู่ทั่วโลก เพราะเมื่อคุณเปิดกว้างกับการไม่ต้องให้พนักงานเข้ามาทำงานในออฟฟิศ สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ คุณสามารถจ้างคนเก่ง ๆ ที่กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลกได้อย่างง่ายดาย

แต่สิ่งที่ยากกว่าก็คือ จะทำยังไงให้ทีมงานฝีมือดีเหล่านี้ ทำงานกับบริษัทไปนาน ๆ เพราะเรารู้กันดีอยู่แล้วว่า มนุษย์คือทรัพยากรที่สำคัญที่สุดในการขับเคลื่อนธุรกิจ และการที่จะหาคนใหม่มาแทนที่พนักงานเก่าสักคนนั้นเป็นเรื่องที่จะต้องใช้เวลาพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเทรนนิ่ง การทำงานกับเพื่อนร่วมทีม ซึ่งกว่าจะเข้าขากันก็อาจจะพลาดโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญของบริษัทไปได้

แน่นอนว่าข้อเสียของการทำงานแบบไม่มีออฟฟิศก็คือ การที่ทีมงานไม่ได้ใช้ชีวิตแบบพบปะเหมือนคนทั่ว ๆ ไป ดังนั้น ประสบการณ์ในด้านชีวิตของทีมงานจะค่อนข้างอ่อนแอ เพราะส่วนมากเจอกันแต่ในโลกอินเตอร์เน็ต ดังนั้น คุณในฐานะที่เป็นหัวหน้าของพวกเขาก็จะต้องเรียนรู้การบริหารพนักงานให้มีประสบการณ์ชีวิตที่เหมือนกับพนักงานออฟฟิศปกติทั่ว ๆ ไป เช่น อาจจะมีการจัดกิจกรรมพาพนักงานไปท่องเที่ยว นัดเจอกันเป็นบางครั้งบางคราว

บทที่ 6: บริหารพนักงานทางไกล

ในฐานะที่คุณเป็นเจ้าของบริษัทหรือผู้บริหาร สิ่งที่จะทำให้เข้าใจการทำงานของพนักงานทางไกลที่ไม่ค่อยได้เข้าออฟฟิศก็คือ ให้คุณลองบริหารทีมงานของคุณโดยที่ตัวคุณไม่ได้อยู่ที่ออฟฟิศดูบ้าง อย่างน้อยที่สุด คุณก็จะได้สัมผัสกับการทำงานแบบไม่มีออฟฟิศและเข้าใจหัวอกของคนเหล่านั้นอยู่บ้างล่ะ

บทที่ 7: ชีวิตของพนักงานทางไกล

ในบทนี้ผู้เขียนหนังสือก็จะแนะนำว่า จะต้องจัดการกับตัวเองยังไงเมื่อจะต้องทำงานแบบไม่มีออฟฟิศ เพราะแม้ว่าข้อดีของการที่ไม่ต้องเข้าออฟฟิศคือการไม่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อที่จะฝ่าฝูงชนไปที่ทำงาน แต่ข้อเสียก็คือ หากไม่จัดการเวลาดี ๆ แล้วล่ะก็ ทั้งงานและทั้งเวลาส่วนตัว จะปนกันมั่วไปหมด จนอาจทำให้เวลาที่คุณควรพักผ่อนกลับต้องมาปั่นงาน เพราะตอนกลางวันมัวแต่ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม ดังนั้นในบทนี้ ก็จะพยายามหาวิธีแก้ไขในกรณีที่พนักงานมีปัญหาในการปรับตัวการทำงานแบบไม่มีออฟฟิศนั่นเอง และนั่นรวมไปถึงตัวคุณในฐานะเจ้าของบริษัทหรือผู้บริหารที่ไม่ค่อยได้เข้าออฟฟิศด้วย

 

Resource: