Pete Cashmore โดดเรียนมาทำบล็อก สร้างอาณาจักร Mashable.com พุ่งสู่ 95 ล้านเหรียญใน 7 ปี

CEO-1401003

ผมรู้จัก Mashable.com ในฐานะเทคโนโลยีบล็อกมานานแล้วแต่ไม่ได้ติดใจอะไรเพราะด้วยขนาดของบล็อกที่ใหญ่โตและซับซ้อน ผมจึงเข้าใจว่าเป็นบล็อกของบริษัทเอกชนทั่วๆไป จนกระทั่งสมาชิกได้แนะนำว่าเจ้าของบล็อกนี้ไม่ธรรมดานะ ก่อตั้งโดย Pete Cashmore, เด็กวัยรุ่นธรรมดาๆ ทำคนเดียวก่อนจะดังเป็นพลุแตก ผมจึงลองเข้าไปศึกษาดูแล้วก็ต้องอึ้งจนต้องนำมาบันทึกไว้เป็น Super Success Blogger

บล็อกเดียวมูลค่า 95 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

จากการบันทึกและจัดอันดับโดย Sunday Times UK Rich List และนิตยสารชั้นนำต่างๆที่นิยมบันทึกรายชื่อคนรวย, หรือผู้มีอิทธิพลในโลกออนไลน์ปี 2012 มีรายงานสินทรัพย์สุทธิของ Mashable.com ที่มูลค่า 95 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หากคูณอัตราแลกเปลี่ยนที่ 33 บาท ก็ประมาณ 3135 ล้านบาท

Mashable.com เป็นบล็อกข่าว รายงานงานข่าวสารเกี่ยวกับเทคโนโลยี, ธุรกิจ, และแวดวงโลกออนไลน์ต่างๆ รายได้ของบล็อกได้แก่ โฆษณา และ บริการประกาศ ได้แก่ CPC, CPA โดยใช้ Google AdSense เป็นหลัก, Private ads รับติดป้าย banners ต่างๆ, Sponsor articles, บริการโพสต์ประกาศ อาทิ Event, และ Job listing ฯลฯ

จุดเริ่มต้นของ Mashable.com

Pete Cashmore เป็นชาวสก็อตแลนด์ เริ่ม Mashable.com ในปี 2005 ตอนอายุ 19 ปี เขาหลงใหลการติดตามกระแสเทคโนโลยี, และธุรกิจไฮเทค, และเขารักการเขียนเรื่องราวที่เขาสนใจ จึงเลือกที่จะเขียนลงในบล็อก

ตอนนั้น Pete ยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจนของบล็อกเสียทีเดียวเขาจึงไม่อยากตั้งชื่ออะไรที่มันเจาะจงมากไปจนเป็นการผูกมัดตัวเองจนเกินไป เขาจึงตั้งชื่อว่า Mashable

เขาทุ่มเทให้กับการผลิต Content ใส่บล็อกเป็นอย่างมาก เขาใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนกับการป้อนบทความลงในบล็อก และนอนพักเพียงวันละ 4 ชั่วโมงในช่วงเริ่มต้น เขาพบว่า Traffic ส่วนใหญ่มาจากทางอเมริกา โดยตัวเขาเองตอนนั้นอาศัยอยู่ในฝั่งยุโรป เขาจึงพยายามปรับเปลี่ยนการโพสต์บทความให้ตรงกับช่วงเวลาที่คนอเมริกันจะอ่านบล็อกของเขาได้อย่างสดๆร้อนๆ

Pete นั้นเรียกได้ว่าแทบจะหมกตัวอยู่กับการบล็อกที่แม้แต่พ่อแม่ก็ไม่รู้ว่าวันๆ เขาทำอะไรอยู่ในห้อง

บล็อก 18 เดือนก่อนที่จะมีรายได้ก้อนแรก

Pete เขียนบล็อกด้วย Passion เป็นกำลังสำคัญทำให้บล็อกของเขามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีสำนวนและสไตล์ในแบบของเขาเองหรือจะเรียกว่านี่คือ Unique content ที่แท้จริง สไตล์นี้เองที่ทำให้เนื้อหาเกิดการ Connect กับผู้อ่านและดึงดูด Traffic เข้าเว็บมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งย่างเข้าเดือนที่ 18 เขาได้รับการติดต่อจากบริษัทธุรกิจผลิตภัณฑ์ Chat ออนไลน์เพื่อขอลงโฆษณาที่ราคาค่าเช่าเดือนละ $3,000 ณ ตอนนั้น Mashable.com มีผู้เยี่ยมชมเว็บสูงถึงเดือนละ 2 ล้าน Views

เดินทางสู่อเมริกาเพื่อขยับขยาย

Mashable.com เติบโตขึ้นเรื่อยๆและมีรายได้จากค่าโฆษณาต่อเนื่อง ทำให้ Pete ตัดสินใจย้ายไปอเมริกาเพื่อพัฒนาบล็อกให้เป็นบริษัท Content จริงจังในปี 2008 จากนั้นก็เริ่มมีการจ้างทีมงานเข้ามาดูแลส่วนต่างๆ รวมไปถึงงานผลิต Content เพื่อตอบสนองเนื้อหาที่กว้างขึ้นและ Traffic ที่เยอะขึ้น

จากทีมงานหลักสิบและเติบโตไปสู่หลักร้อยในปัจจุบัน และจาก Tech Blog ไปสู่ News Blog โดยเทคโนโลยียังเป็น Topic หลักของบล็อก ปัจจุบัน Mashable แบ่ง Category เนื้อหาออกเป็น Social media, Tech, Business, Entertainment, US& World, Life Style, Others…

วิธีคิดที่เป็นรากฐานความสำเร็จของ Mashable.com

ในโลกนี้มีบล็อกมากมาย เอาแค่ Tech blog ก็เหลือหลาย ในไทยเองก็มีคนจำนวนมากทำ Tech blog กัน แต่ส่วนน้อยจะประสบความสำเร็จ ทั้งๆที่ Tech blog เป็น Niche ที่มีความต้องการของตลาดสูง ฉะนั้นสาเหตุของความสำเร็จของ Peter Cashmore กับ Mashable.com เป็นสิ่งที่น่าเรียนรู้อย่างยิ่งซึ่งต้องบอกว่าพอผมได้ทราบถึง Mindset หรือ วิธีคิด ของแล้วไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงกลายเป็นบล็อกเกอร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง

วิธีคิดที่เป็นรากฐานของ Mashable.com คือการเป็นบล็อกที่ให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์บนสมมุติฐานว่าเทคโนโลยีต่างๆที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีความอัพเดทตลอดเวลาอาจทำให้คนจำนวนมากยังไม่รู้ถึงประโยชน์และวิธีใช้งาน เขายกตัวอย่างว่า Twitter นั้นมีคนจำนวนมากไม่รู้ว่าจะมีไว้เพื่ออะไร ใครจะอยากพิมพ์ข้อความ 160 ตัวอักษรไปทำไม ซึ่ง Mashable. ทำหน้าที่ให้ความกระจ่างตรงนี้ ทำให้คนเกิดความรู้ความเข้าใจในการใช้งานเทคโนโลยีว่ามีผลต่อศักยภาพทางธุรกิจอย่างไร เพื่อให้คนนำความรู้ที่ได้จาก Mashable.com ไปใช้พัฒนาธุรกิจและตัวของพวกเขาเองต่อได้

Pete Cashmore ใส่ใจในรายละเอียดของ Content ตั้งแต่ ชื่อบทความ รูปภาพที่ใช้ เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง และการสนับสนุนให้คน Engage บทความด้วยการ Comment และ Share ต่อ ทำให้ Mashable.com กลายเป็นชุมชนย่อยบนโลกออนไลน์ที่มีผู้คนแชร์บทความจาก Mashable.com ออกไปถึงเดือนละไม่ต่ำกว่า 2.5 ล้าน Shares

คมความคิดของ Pete Cashmore

Put a face to your product or company. Make yourself known to give a more personal impression to everyone.

แสดงตัวตนของคุณลงไปในสินค้าหรือบริษัท ทำให้ตัวตนของคุณป็นที่รับรู้เพื่อที่จะเข้าถึงใจผู้คนได้มากขึ้น

Loyalty is incredibly important. There’s a base of stability in [our] organization that [feels] like we can weather anything because we have these relationships with key people and they’re going to be with us whatever we do.

ความจงรักภักดีเป็นสิ่งสำคัญมาก เป็นรากฐานความมั่นคงขององค์กรและเราสามารถจะก้าวไปข้างหน้าได้เพราะความสัมพันธ์อันดีทำให้ผู้คนพร้อมจะสนับสนุนเราไปตลอดไม่ว่าจะทำอะไร

Failure has to be built into your business model. You only need more than a 50 per cent hit rate to be successful. It’s the mistakes that will teach you the way.

อันที่จริงความล้มเหลวมีประโยชน์ต่อการทำธุรกิจ คุณทำถูกแค่ 50% ก็สามารถประสบผลได้แล้ว ความผิดพลาดต่างๆจะเป็นตัวสอนและชี้แนวทางที่ถูกต้องให้คุณ

สรุป

หลังจากที่เรียนรู้เรื่องราวของ Pete Cashmore แล้วผมก็มอง Mashable.com ในมุมใหม่ จากเดิมที่ผมเคยมองว่ามันเป็น Just another tech blog กลายเป็น Valuable branded blog หรือบล็อกทีมีแบรนด์อันแข็งแกร่งจาก Passion ของเจ้าของเป็นแรงส่ง

สุดท้ายก็ต้องกลับมาที่คำถามถึงผมและทุกๆคนว่า คุณเป็น Just another WordPress blog หรือไม่?

การจะทำบล็อกสักอันสำคัญคือต้องนำเสนออย่างมีสไตล์ และมีวัตถุประสงค์ที่จะส่งมอบประสบการณ์อันเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านเป้าหมายของบล็อก

CEO-1401003-2

Join The CEO Blogger’ Email List – Free sign up below.

[convertpress id=”1876″ replacetheme=”false”]