กรณีศึกษา Elon Musk ทวีตปั่นตลาดคริปโทฯ; Bitcoin ยังเป็น Decentralized จริง ๆ หรือไม่

ตั้งแต่ต้นปี 2021 ที่ผ่านมา Elon Musk ทวีตปั่นกระแส สร้างความเคลื่อนไหวให้ตลาดคริปโทเคอร์เรนซี โดยเฉพาะ บิทคอยน์ (Bitcoin), และโดจคอยน์ (Dogecoin) อย่างคึกคัก ถึงขั้นสร้างเศรษฐีใหม่ร่ำรวย รวมไปถึงผู้เสียหายขาดทุนหลายล้านบาทจากการไล่เก็งกำไรตามกระแส Elon Musk จนเริ่มเกิดคำถามว่า Bitcoin เป็น Decentralized จริง ๆ หรือไม่? ทำไมจึงปั่นกระแสง่ายโดยอาศัยข้อความทวีตสั้น ๆ ของคน ๆ เดียว ได้ถึงเพียงนี้



แต่หากเราถอยออกมาดูในภาพรวม; เหตุการณ์ปั่นกระแสคริปโทฯ แทบไม่ส่งผลกระทบใด ๆ สำหรับกลุ่ม HODL  (Hold on for dear life) หรือ นักลงทุนเน้นถือยาวเป็นปี ๆ ดังนั้น การกล่าวต่อว่า ว่า ‘Bitcoin ไม่เป็น Decentralized‘ เพียงเพราะ Elon Musk อาจเป็นคำกล่าวที่โอเวอร์เคลมไปสักนิด และ บิตคอยน์ยังคงมีโครงสร้างพื้นฐานเป็น Decentralized อยู่

นักลงทุนรายใหญ่ อาทิ Grey Scale และ Microstrategy ไม่มีผลกระทบเลย และพวกนี้ยังคงไล่เก็บ บิตคอยน์ เข้าพอร์ตเนือง ๆ รวมไปไถึงสาย HODL ก็เช่นกัน

อันที่จริง สิ่งที่ Elon Musk ทำ อาจจะไม่ใช่การเข้าแทรกแซงความเป็น Decentralized ของโครงสร้างพื้นฐาน แต่เป็นเพียงการเข้าแทรกแซง จิตวิทยาของนักเก็งกำไร และต่อไปนี้ CEO Channels จะเล่าให้ฟังฉบับภาษาชาวบ้าน ฟังสบาย ๆ ว่า Decentralized คืออะไร

Decentralized คืออะไร

Decentralized คือ ระบบที่ไม่มีการรวมศูนย์อำนาจ และไร้คนกลาง การทำงานอาศัย Network หรือ เครือข่ายชุมชนขนาดใหญ่มารับรู้ รับทราบ ตกลง และบันทึกข้อมูลและข้อเท็จจริงร่วมกัน

ระบบ Decentralized ไม่ใช่เรื่องใหม่

มีบันทึกการพบเห็นครั้งแรกเมื่อ 500 ปีก่อน เหรียญ Decentralized ชุดแรกที่ถูกค้นพบมีชื่อว่า ‘Raicoin’

Raicoin เป็นแท่งศิลาหนักหลายตัน อยู่บนเกาะ Yap และบันทึกข้อมูลที่ตกลงมูลค่าและการเปลี่ยนมือพร้อมพยาน คือ คนทั้งหมู่บ้าน ลงในสมุดกลาง ในขณะที่ตัว Raicoin ส่วนใหญ่ไม่เคยถูกเคลื่อนย้ายไปไหน

เหรียญ Raicoin แห่งเกาะ Yap

ยุค Bitcoin

bitcoin ถูกเรียกว่า Crypto-asset หรือ Crypto-currency แต่นักลงทุนระยะยาวในต่างประเทศ มักมอง bitcoin เป็น Crypto-asset หรือ ทรัพสินย์ มากกว่า สกุลเงิน

ครั้งแรกที่หลายคนได้ยินคำว่า Crypto-asset จะรู้สึกทะแม่ง ๆ เพราะมันพ้องเสียงกับ Kryptonite ธาตุอวกาศในภาพยนต์ Superman จึงรู้สึกว่า Crypto-asset มัน ไซไฟ เกินไปหรือไม่

Crypto มีชื่อเรียกว่าเต็ม ๆ ว่า Cryptographic หรือ…

กิจกรรมการป้อนเงื่อนไขด้วยหลักคณิตศาสตร์เพื่อกำหนดฟังชันการทำงานของสิ่ง ๆ หนึ่งที่อยู่ภายใต้เงื่อนไขนั้น ๆ โดยไม่อาจแทรกแซงหรือเปลียนแปลงได้โดยบุคคลที่สาม

Cryptographic asset จึงหมายถึง ทรัพย์สินที่ถูกล็อกไว้ด้วยโค้ดดิ้งที่ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว อันบุคคลที่สามจะไม่สามารถเข้าแทรกแซงแก้ไขได้

โดยบุคคลที่สาม ในที่นี้มักพุ่งเป้าไปที่ รัฐบาล และ ธนาคาร นั่นเอง

วัตถุประสงค์การเกิดขึ้นของ Bitcoin

Satoshi Nakamoto บุคคล หรือ กลุ่มบุคคล เปิดตัวโปรเจค Bitcoin เพียง 1 เดือน ก่อนที่สหรัฐฯ จะประกาศเหตุการณ์ Subprime mortgage crisis หนึ่งในการพังทลายครั้งใหญ่ของเศรษฐกิจโลกที่มีศูนย์กลางจากสหรัฐฯ

และวิกฤตครั้งนั้นเกิดจากระบบ Centralized ได้แก่ ภาครัฐ และสถาบันการเงินที่มีอำนาจ และเล่นแร่แปรธาตุกับเปริมาณเงินในระบบ และการออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่าง ๆ ทั้งมีคุณภาพ และไม่มีคุณภาพออกสู่ประชาชน หนึ่งในนั้นรวมไปถึงการ พิมพ์เงินอย่างไม่มีขีดจำกัด รวมอยู่ด้วยในอำนาจของระบบ Centralized ซึ่งเราจะไม่ลงรายละเอียดตรงนี้มากนักในบทความนี้

และไม่ว่า Satoshi Nakamoto จะเป็นบุคคลเดี่ยว ๆ ก็ตาม หรือกลุ่มบุคคลก็ตาม

แต่พวกเขา คือ อัจฉริยะทั้งด้าน คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร๋ จิตวิทยา และเศรษฐศาสตร์ เพราะคนกลุ่มนี้เข้าใจอดีตของระบบการเงินโลกทั้งหมด และมองเห็นอนาคตของระบบการเงินโลกไปหลายร้อย หรืออาจจะหลายพันปี

หากใครมีโอกาสศึกษาการทำงานของ Satoshi เพียงพอ จะรู้ว่าเขามีการออกแบบระบบ Bitcoin ให้สามารถรันตัวมันเองได้หลังการไม่มีตัวตนอยู่ของพวกเขาต่อไปได้อีกเป็นร้อยปีด้วยเงื่อนไข Cryptographic 2 ข้อสำคัญ ได้แก่

  • Limited มีจำนวน 21 ล้านเหรียญตายตัว
  • Scarcity ผลิตยากขึ้นเรื่อย ๆ โดยวางเงื่อนไข Halving เหรียญ ทุก ๆ 4 ปี

เงื่อนไขทั้งหมดถูกล็อกด้วยโปรแกรม และการรันโปรแกรมแบบ Decentralized ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลก ที่ ๆ ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งมีอำนาจแก้ไขแต่เพียงผู้เดียว

Limited และ Scarcity เป็นสองปัจจัยสำคัญที่มีผลทั้งทาง คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร๋ จิตวิทยา และเศรษฐศาสตร์ ที่จะทำให้ สินทรัพย์หนึ่ง ๆ ก้าวขึ้นมามีมูลค่า ไม่ใช่แค่ Medium of exchange แต่เพื่อเป็น…

  • Stored of value พิทักษ์มูลค่าของความมั่งคั่ง
  • Medium of reserves ทรัพย์สินกลางเพื่อใช้แบ็กเงินที่เป็น Medium of exchange อีกที

ข้อแรกทำสำเร็จแล้ว ซึ่งกว่าจำสำเร็จก็ใช้เวลาถึง 12 ปี ดังนั้น ข้อสองที่กำลังจะตามมาอาจจะเกิดขึ้นใน 10 – 20 ปีข้างหน้า ในขณะที่ bitcoin ถูกโปรแกรมให้รันต่อไปอีกกว่า 100 ปีก่อนที่จะแตะลิมิตซัพพลาย



Bitcoin คือสกุลเงินกลางของโลก? NO WAY!

ถึงตรงนี้ ‘Haters is gonna hate’ สายแอนตี้จะยังคงบอกว่า “ไม่เชื่อ” หรือ “เป็นไปไม่ได้” ฯลฯ แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาที่จะส่งต่อความเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของ Bitcoin และเราก็จะเล่าต่อไป

ในแง่ความใหญ่ของตลาดคริปโทฯ ปัจจุบันอยู่ที่กว่า 2 ล้านล้านดอลฯ ซึ่งยังถือว่าเล็กมาก เมื่อเทียบกับตลาด ทองคำ 11 ล้านล้านดอลล่าร์ และเล็กจิ๋วเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตลาดพันธบัตร ตลาดอสังหาฯ และตลาดอนุพันธ์

ยังมีเงินอีกจำนวนที่คุณอาจจินตนาการเลขศูนย์ไม่ออกบนโลกใบนี้ที่ยังไม่ไหลเข้าไปในตลาดคริปโทฯ และบิตคอยน์ และเชื่อเถอะว่าถ้าคุณเก็ตในข้อมูลที่ผมเล่าไป…

คุณจะยังไม่อยากให้เงินแม้เพียง 1% ไหลเข้าไปก่อนที่คุณจะมีโอกาสได้ซื้อ bitcoin

แม้แต่ตอนที่ บ. Microstrategy ตัดสินใจ All-in; เอาเงินสดจำนวนเกือบ 500 ล้านดอลล่าร์ ที่ไม่มีโครงการจะนำไปใช้ทำอะไร ใส่เข้าไปใน bitcoin พวกเขายังต้องแยกคำสั่งซื้อออกเป็น 167,000 ออเดอร์ และทำการซื้อเป็นระยะเวลากว่า 1 สัปดาห์จึงจะซื้อแล้วเสร็จ [อ้างอิงจากหนังสือ Bitcoin: Hard Money You Can’t F*ck With]

เพราะหากบริษัทเดียวยัดเงิน 500 ล้านดอลล่าร์ เข้าไปในบิตคอยน์ในวันเดียว ตลาดแตกแน่นอน นี่คือการเล่าให้เห็นภาพว่า ตลาดคริปโทฯ นั้นยังมีขนาดเล็กแค่ไหน

และเส้นชัยแรกของ bitcoin ที่นักลงทุนระยะยาวเห็นพ้องต้องกันว่าไปถึงแน่ ๆ คือ เทียบเท่าตลาดทองคำ หรือ 11 ล้านล้านดอลล่าร์ ซึ่งเมื่อไปถึงจะส่งผลให้ bitcoin มีราคา 500,000 ดอลล่าร์ หรือ 15 ล้านบาท ต่อ 1 บิตคอยน์

สรุป

อย่างไรก็ดี การทำความเข้าใจเรื่อง Blockchain, Crypto และ Bitcoin ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่เทรดเดอร์ที่เทรดคริปโทฯ มานับปีก็อาจจะยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาในภาพใหญ่ของ Blockchain และบางคนอาจยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ชื่อเต็ม ๆ ของมันคือ ‘Cryptographic’ ไม่ใช่ Kryotonite ;- D

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่วันนี้ทั่วโลกจะรุมด่า Elon Musk และโวยวายว่า bitcoin ไม่เป็น decentralized อีกต่อไป

Bitcoin เป็น Decentralized เสมอ

และเมื่อใครก็ตามที่เข้าใจบทบาทและการเกิดขึ้นของมัน พวกเขาอาจจะเริ่มไม่อยากจะถือเงินเฟียตจำนวนมากอีกต่อไป และอาจจะยังไม่อยากให้มันใหญ่ไปกว่านี้จนกว่าจะได้ซื้อบิตคอยน์แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยมาเก็บไว้ในมือสัก 1 หรือ 2 บิทคอยน์ ก่อนที่ราคาจะไม่มีวันหวนกลับสู่หลักล้านบาทต้น ๆ หรือกลาง ๆ ต่อ 1 บิทคอยน์อีกแล้วใน 10 ปีข้างหน้า

หนุ่มดวงดี ซื้อเหรียญ DogeCoin แบบ All-in สองเดือน เงินงอก 1.8 แสนดอลล่าร์ เป็น 1.9 ล้านดอลล่าร์