กลยุทธ์การตลาดอินเตอร์เน็ต สำหรับนักธุรกิจอินเตอร์เน็ต

balloons house

หลายครั้งที่ผมได้ยินคนบ่นถึงปัญหา Traffic หดหาย รายได้ลดลง และเว็บไซต์ของตนเองที่เคยรุ่งเรื่องกำลังจะล่มสลายเพราะ Google algorithm เปลี่ยนส่งผลให้การแสดงอันดับเว็บไซต์ของพวกเขาหายไปจาก 1-3 หน้าแรกของ Search engine result page.

จริงๆ แทบทุกคนรู้ปัญหาว่าเกิดจากอะไร เพราะหลายคนที่มีเว็บไซต์ติดหน้าแรกไม่น้อยเพราะการทำ SEO ด้วยวิธีอัด Back link ซึ่งสมัยหนึ่ง Google จัดอันดับเว็บจาก Back link แต่เมื่อ Google algorithm ฉลาดขึ้น คัดกรองมากขึ้น เว็บที่ทำ SEO ด้วยวิธี Back link ก็โดน Penalize หรือ ตบร่วง โดย Google แต่เชื่อไหมว่าทุกวันนี้คนเปิดเว็บไซต์ใหม่ๆก็ยังใช้วิธีเดิมๆในการพยายามทำอันดับ คือ อัด Back link แต่อัดน้อยลง ทิ้งช่วง ทำจังหวะ ฯลฯ

แต่สำหรับเว็บ The CEO Blogger ผมไม่ได้มีการทำ SEO ใดๆมากนักนอกจาก SEO พื้นฐาน เช่น Keyword title, keyword sub title และ จัดวาง content ให้ง่ายต่อการอ่าน ติดตั้ง WordPress All in One SEO Plugin จบแล้ว ไม่ได้สั่งทำ Back link ใดๆ Link ทั้งหมดเป็น Link ธรรมชาติ ทำให้การเปลี่ยนแปลงของ Google algorithm แทบไม่มีผลกระทบต่อเว็บ The CEO Blogger และในขณะเดียวกันผมยังมี Traffic เข้ามาอย่างต่อเนื่องแม้จะไม่ได้ update บทความ สาเหตุสำคัญผมเชื่อว่ามาจาก บทความคุณภาพ ที่เป็นรากฐานสำคัญของตัวเว็บ

อย่างไรก็ดี บทความคุณภาพ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัจจัยพื้นฐานของการมีเว็บไซต์ที่แข็งแกร่ง แต่บทความเพียงอย่างเดียวไม่สามารถเข้าถึงผู้คนได้หากไม่มีการตลาด ดังนั้นเจ้าของเว็บ หรือ บล็อกเกอร์ ที่ต้องการเผยแพร่ Content และ Expertise ของตนเองให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจำเป็นต้องสวมบทบาทนักการตลาดลงไปด้วย ซึ่งคำว่านักการตลาดอินเตอร์เน็ต หรือ Internet marketing ไม่ใช่แค่คลุกอยู่กับ Google เป็นแน่!

การตลาดสำหรับนักธุรกิจอินเตอร์เน็ตนอกจาก Google

การตลาดสำหรับนักธุรกิจอินเตอร์เน็ตมีหลายทาง แม้แต่แบบ Traditional อย่างโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์, วิทยุ, และหนังสือพิมพ์ก็ยังมีอยู่ อย่าง www.Lazada.com และ www.Tarad.com ก็เคยทำ นอกจากนั้น Banner ads ก็ใช่ แต่ผมจะขอยุบมาเล่าเฉพาะสองทางหลักที่ทำได้ง่ายและเริ่มได้เร็วโดยไม่ต้องลงทุนสูง ได้แก่ Facebook page และ Email list ถึงตรงนี้หลายคนคง อ๋อๆๆ แต่อย่าเพิ่ง คนใช้งานไม่เต็มประสิทธิภาพยังมีอีกเยอะ

Facebook Page คือ เครื่องมือสร้างแบรนด์

มีคนไทยจำนวนไม่น้อยใช้ Facebook page แทนเว็บ e-commerce ที่ผมใช้คำว่าคนไทย เพราะในโลกนี้ผมคิดว่าคนไทยเป็นประเทศที่ใช้ Facebook page ในการนี้มากที่สุด ฝรั่งนั้นแทบไม่ได้ใช้ Facebook page ทำ e-commerce เลย

นี่จึงข้อดีของคนไทยคือ ชอบอะไรง่ายๆ Facebook page เปิดฟรีแถมโพสต์รูปได้ด้วยก็โพสต์ขายของไปเลย สั่งของ โอนเงิน แจ้ง EMS Tracking ผ่าน Facebook กันไปเลย ประยุกต์ใช้กันง่ายดี แต่ปัญหาของคนไทยอีกข้อคือ คิดแค่วันนี้ พรุ่งนี้ไม่คิดเผื่อ ไม่มองเชิง Long term business strategy… จริงๆไม่ใช่ว่าผมไม่เห็นด้วยกับการใช้ Facebook page ขายของ เพราะเมื่อทำแล้วมันขายได้เป็นใครๆก็ต้องทำต่อไป ก็มันขายได้นี่หว่า…

แต่ให้ลงลึก Facebook page ผมถือว่าเป็น Platform ของคนอื่น ไม่ใช่ของเรา เขาเปลี่ยนแปลงอะไรก็ได้ไม่ต้องมานั่งถามเรา ถ้าวันหนึ่ง Facebook page เปลี่ยนรูปแบบการแสดงผล หรือ แบนเพจที่มีการขายสินค้าบนเพจ หรือ โดน Google de-index จาก Search engine result page (คล้ายกรณี eZinearticles.com ที่ถูก Google เลิกแสดงผลการค้นหา) …ธุรกิจคุณเจ๊งทันที แล้วทุกคนก็จะแห่กันไปตั้งกระทู้ด่า Facebook บน ThaiSEOboard.com กลายเป็น Facebook คือผู้ร้ายเสียอย่างนั้น

Facebook page เป็น Social network ความสามารถที่โดดเด่นของ Facbook page คือสร้าง Viral หรือ “ข่าวสารแบบไฟลามทุ่ง” ฉะนั้นการใช้ Facebook page ที่ดีคือการใช้งานเพื่อพัฒนา Brand และ Content ของคุณ แล้วลาก Traffic ออกจาก Facebook page ไปสู่เว็บไซต์ของคุณเสมอ อย่าเก็บ Traffic ไว้บน Facebook page เพราะมันคือว่าที่หายนะพอๆกับคนที่พึ่งพา Traffic จาก Google แต่เพียงอย่างเดียว

Content ที่เหมาะกับการเผยแพร่บน Facebook Page

Content ที่เหมาะกับการแสดงบน Facebook page คือเนื้อหา (อักษร, ภาพ, เสียง) ที่ส่งผลต่อจิตใจของคน เช่น กระตุ้นความสนใจ กระตุ้นแรงบันดาล สะเทือนอารมณ์ ยั่วยวนใจ แทงใจ ฯลฯ ถ้าคุณจะใช้รูปภาพ ก็ควรเป็นรูปภาพที่สวยงาม ถ้าคุณจะโพสต์โปรโมทเสื้อตัวใหม่ ต้องทำให้สวย ไม่ใช่เสื้อมาวางกับพื้นแล้วถ่ายแบบบ้านๆ เวลาคุณฟลัดเพจ (flood) ไปด้วยรูปถ่ายพวกนี้ มันจะทำให้ Facebook page ดูน่าเกลียดไปเลย โปรโมทสินค้าและบริการไม่ต้องฟลัดเพจ ทำรูปสวยๆแล้วใส่ประโยคดีๆ แล้วลิงค์ไปเว็บไซต์หลัก สลับกับสาระและคำคมที่กระตุ้นใจ เพื่อสร้าง Community และ Follower ให้เกิดขึ้นภายใน Facebook page ของคุณ

Facebook page ขายเสื่อผ้าที่มีการทำแสดงสินค้าสวยงาม ได้แก่ Happy Go Lucky (www.facebook.com/happygoluckyclothes)เพจนี้ให้ความสำคัญกับการแสดงภาพและทำออกมาสวยงามน่าดูครับ ขนาดผมไม่ใช่ลูกค้าโดยตรงยังเข้าไป Follow เพราะชอบรูปภาพและถ้าใครจะซื้อเสื้อผมก็จะแนะนำให้ไปดูที่นี่ นี่แหละ Viral แม้ไม่ใช่ Direct customer ก็ Lead sales ได้โดยไม่ได้ตั้งใจ

ใช้ Boost Post ทำ Viral Marketing

100 Likes แรกมีความสำคัญมากเพราะเมื่อคุณมีครบ 100 Likes คุณจะสามารถใช้งาน “Boost post” ได้ ประโยชน์ของการ Boost post คือสามารถโปรโมทโพสต์เป็นรายบทความที่คุณโพสต์โดยไม่ต้องซื้อ Ads Campaign เหมาทั้งเพจ ซึ่งการ Boost post จะมีผลทันทีไม่ต้องรอ Approve และจะสร้าง Reach ออกไปเป็นวงกว้าง มีหลายราคาเริ่มต้นที่ $5 ระยะเวลาทำงาน 3 วันหรือจนกว่า Reach จะครบ (แต่ไม่เกิน 3 วัน และหากรูปภาพมีตัวอักษรมากเกินไปทาง Facebook อาจพิจารณา Disapprove ในภายหลังแล้วแต่จังหวะ)

คำสั่ง Boost post ไม่ได้เพิ่มจำนวน Page Like ได้เท่ากับ Ads Campaign แต่วัตถุประสงค์ของ Boost post ก็เพื่อสร้าง Viral marketing ให้บทความของคุณ เช่น คุณต้องการโปรโมทสินค้าลดราคา Summer Sales Collection หรือ โปรโมทบริการใหม่ๆ หรือ ต้องการสร้างแนวร่วมสมัครโครงการพิเศษต่างๆ เพื่อการแสวงหากำไรหรือไม่ก็ตาม คุณใช้ Boost post จะได้ผลเป็นอย่างดี เพราะเป็นการโฟกัสการประชาสัมพันธ์ที่โพสต์เพียงโพสต์เดียวเน้นๆไปเลย และอย่างลืมว่าควรมีลิงค์เพื่อส่ง Traffic ออกไปยังเว็บไซต์หลักด้วยนะครับ

ที่นี้การจะมี 100 Likes แรกทำอย่างไร ถ้าไม่อยากเอาเพื่อนๆมา Like ก็ใช้วิธีแลก Like ตามเว็บบอร์ด แต่ถ้าจะให้ดี ลงทุนนิดหน่อยโดยใช้ Facebook Ads Campaign โปรโมทเพจ คุณก็จะได้ 100 Likes แรกมาอย่างรวดเร็ว ผมใช้เวลาประมาณไม่เกินหนึ่งสัปดาห์เป็นเงินประมาณ $10-15 ในการใช้ Facebook Ads สร้าง 100 Likes แรก ก็ถือว่าไม่แพงมากครับ แต่สิ่งสำคัญคือก่อนจะเริ่มโปรโมทเพจด้วย Ads ก็ควรสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจบนเพจไปสักระยะหนึ่งก่อน เช่น อาจจะมีสัก 10-20 โพสต์เสียก่อนเพื่อทำให้เพจดูเป็นการเป็นงาน ไม่ใช่เปิดเพจมามี 2 โพสต์ คนเข้ามาแล้วนึกว่าคุณเปิดขำๆ เขาก็ไม่ Like ก็ออกจากเพจไปเลย เปลืองเงินค่า Ads เปล่าๆ เพราะคนเห็นแล้วไม่ Like

Email List เครื่องมือลูกค้าสัมพันธ์แห่งโลกอินเตอร์เน็ต

ใครที่ติดตามบล็อกของฝรั่งจะพบว่าบล็อกเกอร์เมืองนอกให้ความสำคัญกับ Email list building มากๆ เพราะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับ Platform ออนไลน์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็น

1. Google search ตบเว็บไซต์ของคุณหายไปโลก
2. Facebook page ล่มสลายหายไปจากโลก
3. Web host ล่มใช้การไม่ได้ตลอดกาล
(โอเว่อร์ไปหน่อย แค่เปรียบเทียบ)

แต่ Email list ของคุณยังอยู่ และ Email list เหล่านี้สามารถ import มาจัดเก็บเป็นไฟล์ MS Excel ได้

คนที่ได้สัมผัสประโยชน์ของ Email list ที่สุดคือ Pat Flynn เมื่อประมาณกลางปี 2012 ที่ผ่านมา เว็บ www.smartpassiveincome.com ของเขาถูกมือมืดโจมตีทำให้เว็บของเขาล่มและหายไปจาก Cyberspace เขาต้องใช้เวลาแก้ไขและย้าย Host กินเวลาร่วมเดือนกว่าที่เว็บไซต์จะกลับมา Online ได้อีกครั้ง และนั่นคือประสบการณ์ตัวอย่างที่ทำให้ Pat Flynn ซาบซึ้งในประโยชน์ของ Email list เพราะเขายังคงสื่อสารกับผู้อ่านทุกคนได้ผ่านทาง Email list เพื่อบอกเล่าสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับเขา

ส่วน Glen Allsopp แห่ง www.viperchill.com เป็นคนที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญในงาน SEO เป็นอย่างมาก แต่ถึงกระนั้นเขากลับไม่ฝากธุรกิจ Internet ของเขาไว้กับ Search engine เพียงอย่างเดียว เขาเคยบอกว่า Traffic หลักของเขายังคงมาจาก Email list ที่มีฐานสมาชิกจำนวนมากพุ่งตรงสู่เว็บไซต์ของเขาผ่านลิงค์ใน Email

ปัจจุบันเว็บไซต์ที่ขายสินค้าและบริการแทบทุกชนิด เพียงแค่คุณลงทะเบียน ไม่ว่าจะลงทะเบียนใช้งาน, หรือทดลองใช้งาน, หรือสมัครใช้บริการ, หรือแม้แต่สมัคร Affiliate อีเมล์ของคุณจะถูกบันทึกเข้าระบบ Email list ทันที รวมไปถึง ebay, Amazon, Best Buy, 2Check Out, Undemy, Grammarly, National Geographic แค่คุณสมัครในฐานะอะไร หลังจากนั้น ข่าวสารสำคัญๆ, และสินค้าและบริการใหม่ๆ จะถูกส่งมาแนะนำเป็นระยะๆ

นี่จึงเป็นข้อดีของ Email list เพราะต่อให้ผู้อ่านไม่ได้เข้าเว็บไซต์ของคุณทุกวัน แต่เขาก็จะไม่พลาดข่าวสารต่างๆเกี่ยวกับเว็บไซต์ของคุณได้ทันทีโดยไม่ต้องรอ Google มา index แล้วต้องรอคนไป Search หา

สำหรับเครื่องมือในการสร้าง Email list building หลักๆมี 3 รายได้แก่

www.aweber.com
www.mailchimp.com
www.getresponse.com

สรุปกลยุทธ์การตลาดอินเตอร์เน็ต

เจ้าของเว็บและบล็อกเกอร์ นอกจากจะต้องสรรค์สร้างสินค้าและบริการที่ดี และเนื้อหาที่ดีแล้ว ยังต้องเป็นนักการตลาดที่ดี โชคดีที่การตลาดในปัจจุบันไม่ได้มีราคาแพงแบบการออกสื่อโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์เหมือนในอดีต สำหรับบล็อกเกอร์ใหม่สามารถทำการตลาดตัวเองได้ง่ายๆโดยอาศัย 2 ช่องทางมารับลูกส่งลูกกันให้เกิดประสิทธิภาพนั่นคือ Facebook page และ Email list เพื่อ Lead traffic ออกไปยังเว็บบล็อกของคุณ แต่แน่นอนว่า ทำจริงย่อมยากกว่าคิด ต้องอาศัยความขยัน อดทน สม่ำเสมอ และมีเอกลักษณ์ในเนื้อหาของตนเอง เพื่อให้คนติดตาม