Hugh Hefner Playboy

ตำนาน Hugh Hefner ชายผู้ให้กำเนิด Playboy อาณาจักรเซ็กซี่พันล้าน

เมื่อเอ่ยชื่อ Playboy น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักนิตยสารเซ็กซี่ขยี้ใจชายหนุ่มทั่วโลกเล่มนี้ แต่อาณาจักร Playboy ไม่ได้มีเพียงแค่หนังสือเท่านั้น เพราะแค่โลโก้กระต่าย ก็สามารถขายทำเงินได้หลายสิบล้านดอลล่าร์ เมื่อไปปรากฏอยู่บนสินค้าต่าง ๆ เกินกว่าที่คุณจะจินตนาการ ตั้งแต่ชุดชั้นในไปจนถึงขนมหวาน วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับผู้ก่อตั้งอาณาจักรแห่งนี้ Hugh Hefner ผู้ล่วงลับ จากต้นกำเนิด สู่ชีวิตที่หรูหราและเป็นที่อิจฉาของชายหนุ่มทั่วโลก ใช้ชีวิตดั่งราชา มีสาว ๆ บันนี่ห้อมล้อม และมีบ้านเป็นที่จัดปาร์ตี้ได้ตลอดเวลา ทั้งหมดนี้เกิดจากมันสมองและสองมือของเขาเองด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 8,000 ดอลล่าร์เท่านั้น

เปิดตำนาน Hugh Hefner ผู้ก่อตั้ง Playboy อาณาจักรแห่งความเย้ายวน

Hugh Hefner (ฮิวจ์ มาร์ซัน เฮฟเนอร์  – Hugh Marston Hefner) เกิดเมื่อวันที่ 9 เมษายน 1926 ที่เมืองชิคาโก รัฐอิลินอยส์ เข้าเรียนชั้นประถมในโรงเรียน Sayre และเรียนจบชั้นมัธยมที่โรงเรียน Steinmetz High School ในชิคาโก ระหว่างนั้นได้เคยทำการทดสอบไอคิว เฮฟเนอร์ มีไอคิวสูงถึง 152 และเขาได้เป็นผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ประจำโรงเรียนตอนเรียนมัธยมด้วย

เฮฟเนอร์ เข้ารับใช้ชาติเป็นทหารในกองทัพสหรัฐฯ ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาก็ไปเป็นนักเขียนข่าวในกองทัพ และปลดประจำการในปี 1946 หลังจากนั้นได้เข้าเรียนที่สถาบันศิลปะชิคาโก เป็นเวลา 2 ปี จึงมาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย อิลลินอยส์ เออร์แบนา-แชมเปญจน์ โดยเลือกเรียนสาขาจิตวิทยา, สาขาศิลปะและการเขียนเชิงสร้างสรรค์ (Creative Writing and Art) และใช้เวลาเพียง 2 ปีครึ่ง ก็จบการศึกษาในปี 1949 ต่อมาได้แต่งงานกับ มิลเดรด วิลเลี่ยมส์ ภรรยาคนแรก หลังเรียนจบ

หลังจบการศึกษา ในปี 1950 Hugh Hefner ก็ใช้ชีวิตอย่างสุดเหวี่ยงและเข้าทำงานในตำแหน่ง นักเขียนคำโฆษณา (Promotional  Copywriter) ให้กับนิตยาสาร Esquire ซึ่งในขณะนั้นเป็นนิตยสารคุณภาพชั้นแนวหน้าในอเมริกา มีนักเขียนชื่อดังระดับโลกมากมายมาเขียนคอลัมน์ให้ เช่น เออร์เนสต์ เฮมิ่งเวย์ และ เอฟ. สกอตต์ ฟิตช์เจอรัลด์ ต่อมาในปี 1953 Hugh Hefner ได้ขอลาออกจาก Esquire เนื่องจากมีปัญหาเกี่ยวกับเงินเดือน ที่ เฮฟเนอร์ ขอขึ้นเงินเดือนเพียง 5 ดอลล่าร์เท่านั้นแต่ได้รับการปฏิเสธ

กำเนิดนิตยสารสุดเซ็กซี่ Playboy

ระหว่างการทำงานที่ Esquire เฮฟเนอร์ ใฝ่ฝันในการทำนิตยสารของตัวเองมาโดยตลอด และเขาเชื่อมั่นว่าเขาสามารถทำได้ดีกว่า Esquire หลังจากลาออกจากงาน เขาได้กู้เงินธนาคารมาเป็นจำนวน 600 ดอลล่าร์ และประกาศระดมทุนจากนักลงทุน 45 คน ได้เงินมา 8,000 ดอลล่าร์ ในจำนวนนั้นมีแม่ของเขาด้วย ที่ลงทุน 1,000 ดอลล่าร์ “ไม่ใช่เพราะเชื่อมั่นในธุรกิจ แต่เชื่อมั่นในลูกชายของเธอ” เฮฟเนอร์ กล่าว ก่อนที่จะเปิดตัวนิตยสาร Playboy

เฮฟเนอร์ เคยคิดจะตั้งชื่อ Stag Party แต่ต้องเลี่ยงไปใช้ชื่ออื่นเพราะเกรงจะมีปัญหาการฟ้องร้องเรื่องลิขสิทธิ์ เพราะมีนิตยสารชื่อ Stag อยู่ก่อนแล้ว จากนั้นก็มีเพื่อนของเขาคนหนึ่งเสนอชื่อ Playboy ขึ้นมา โดยเป็นชื่อของบริษัทผลิตรถยนต์แห่งหนึ่งในเมืองชิคาโก ที่เพิ่งจะปิดกิจการลงไป เฮฟเนอร์ ถูกใจชื่อนี้ทันทีที่ได้ยิน เขารู้สึกว่ามันเป็นชื่อที่ให้ความรู้สึกเหมือนการใช้ชีวิตที่หรูหราในสังคมชั้นสูง

เฮฟเนอร์ เริ่มต้นทำนิตยสารฉบับแรกของเขาในห้องครัวที่อพาร์ทเม้นต์ของเขาในชิคาโก ก่อนที่จะวางแผงในเดือนธันวาคม 1953 โดยไม่มีการระบุวันที่บนหน้าปก เพราะไม่มั่นใจว่าจะมีโอกาสทำเล่มที่ 2 ออกมาอีกหรือไม่ แต่เพื่อรับประกันความสำเร็จในระดับหนึ่ง เขายอมควักกระเป๋าจ่ายเงินเพื่อซื้อรูปสีของ มาริลีน มอนโร ที่เคยเปลื้องผ้าถ่ายนู้ดไว้ก่อนที่เธอจะกลายเป็นดาราภาพยนตร์ชื่อดัง และเอามาตีพิมพ์ในหน้าคู่กลางของนิตยสารด้วย (Playboy ฉบับแรกเป็นเพียงนิตยสารเล่มบาง ๆ เข้าเล่มด้วยลวดเย็บกระดาษเท่านั้น และเป็นการพิมพ์แบบขาวดำและเทาแดง และเป็นสี่สีในคู่หน้ากลางเท่านั้น ราคาจำหน่ายตามหน้าปกคือ 50 เซ็น) และนิตยสาร Playboy ฉบับปฐมฤกษ์ก็ขายหมดเกลี้ยงในเวลาอันรวดเร็ว เนื่องจากตีพิมพ์ครั้งแรกเพียง 54,000 เล่มเท่านั้น เพราะ เฮฟเนอร์ เองก็ไม่มั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน (ตอนนี้มีราคาประมูลใน ebay สูงถึง 9,000 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 298,000 บาท)

Playboy
Image credit: playboyenterprises

หลังจาก Playboy ฉบับแรกขายหมดลงอย่างรวดเร็วทำให้กลายเป็นปรากฏการณ์ในวงสังคม ชื่อของ Playboy และ Hugh Hefner ก็ได้แจ้งเกิดในวงการสื่อสิ่งพิมพ์ และจึงมีการตีพิมพ์เล่มที่ 2 ออกมา

กว่าจะมาเป็นโลโก้ Playboy

Hugh Hefner ชื่นชอบกระต่ายเป็นการส่วนตัว เขาใส่ภาพวาดการ์ตูน กระต่ายใส่เสื้อคลุม คาบบุหรี่และถือแก้วเครื่องดื่ม แทนตัวเขาเองที่อยู่ในปาร์ตี้ รูปนี้ถูกตีพิมพ์ตั้งแต่ Playboy เล่มแรก ต่อมาเจ้ากระต่ายก็กลับมาบนปกเล่ม 2 อีกครั้ง

Playboy Magazine
Image credit: fishki

การที่ เฮฟเนอร์ เลือกใช้กระต่ายแทนสัญลักษณ์ของ Playboy นั้น มาจาก ”ความหมายแฝงเรื่องอารมณ์ขันทางเพศ” และยังแสดงถึงความมีชีวิตชีวาและความขี้เล่น ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาพยายามสอดแทรกลงในบทความและการ์ตูนที่อยู่ในนิตยสารของเขามาโดยตลอด

กระต่ายเป็นสัญลักษณ์ของความเจ้าชู้และอารมณ์ทางเพศที่สูงปรี๊ด เนื่องจากกระต่ายเป็นสัตว์ที่ถูกล่าเป็นอาหารจึงต้องแพร่พันธุ์ได้มากและเร็ว กระต่ายจึงไม่มีฤดูผสมพันธุ์แต่จะผสมพันธุ์ทุกเวลาที่มีโอกาส

playboy logo
Image credit: mishes

เฮฟเนอร์ พยายามสร้างสรรค์เนื้อหาให้กับ Playboy เพื่อสร้างความแตกต่างจากนิตยสารผู้ชายทั่ว ๆ ไป โดยคัดสรรเรื่องราวการใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติ และนิยายแบบแมน ๆ ซึ่งเขาตัดสินใจว่านิตยสารเล่มนี้จะต้องมีเรื่องราวของคนหลายเชื้อชาติ และผู้อ่านจะเป็นชายหนุ่มที่มีการศึกษา หากพูดถึงการมีเซ็กซ์ของคนกลุ่มนี้จะต้องไม่ใช่การเที่ยวกับผู้หญิงขายบริการ แต่จะต้องเป็นจินตนาการที่ล้ำลึกอย่างสาวข้างบ้าน (The Girl next door)

ในช่วงแรก แม้ เฮฟเนอร์ จะพยายามชูจุดเด่นในการโปรโมทนิตยสารด้วย ปรัชญาของ Playboy ที่เขาเลือกเดินตามความเชื่อพื้นฐานของเพศชาย จึงอิงเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเป็นหลัก แต่ เฮฟเนอร์ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า จุดขายที่สำคัญที่สุดคือภาพเปลือยของสาว ๆ บนนิตยสารของเขา

ในปี 1956 เพียง 3 ปีหลังจากเปิดตัวฉบับแรก Playboy สามารถทำยอดพิมพ์แซงหน้าคู่แข่งอย่าง Esquire ได้สำเร็จ และเข้าใกล้ตัวเลข 1 ล้านฉบับต่อเดือน แต่ในปี 1959 เฮฟเนอร์ ถูกภรรยาของเขาขอหย่า หลังจากที่มีลูกด้วยกัน 2 คน เนื่องจากเขามีความสัมพันธ์กับนางแบบมากมายที่มาถ่ายแบบให้เขา

ยุคทองของ Playboy

ในช่วงปี ’60 เฮฟเนอร์ เป็นเหมือนสัญลักษณ์ที่มีชีวิตของ Playboy เขาเป็นชายหนุ่มผู้ร่ำรวยในชุดสูทผ้าไหมสีควันบุหรี่พร้อมคาบไปป์ตลอดเวลา เขายินดีต้อนรับหนุ่มสาวที่มีการศึกษาดี คนที่ประสบความสำเร็จ คนที่มีชื่อเสียงในวงสังคม เข้ามาที่บริษัทของเขา จนมีแต่หนุ่มหล่อสาวสวยเดินไปมาในออฟฟิศของเขาเต็มไปหมด

ด้วยยอดพิมพ์ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างถล่มทะลาย เฮฟเนอร์ เริ่มลงทุนสร้างอาณาจักรของเขาที่จะต้องมีกุญแจส่วนตัว (Private Key) ไขเข้าสู่คลับที่มีพนักงานต้อนรับเป็นสาวกระต่าย (Playboy Bunny) จากการสวมชุดที่เป็นสัญลักษณ์ของนิตยสาร นี่เป็นจุดเริ่มต้นให้ เฮฟเนอร์ ขยายอาณาจักรเป็น Playboy Enterprises โดยเริ่มต้นสร้างโรงแรม, ทำธุรกิจโมเดลลิ่งจัดหานางแบบ, สร้างภาพยนตร์, ตีพิมพ์นิยาย และเปิดบริษัทเพลง จนถึงทำรายการทีวี

Playboy ขยายอาณาจักรสู่บริษัทมหาชน

เข้าสู่ปี 1971 ทศวรรษที่ 70 นี้เอง ที่อาณาจักร Playboy ขยายขนาดจนเป็นบริษัทมหาชน เฮฟเนอร์ นำบริษัทเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จ โดยนิตยสาร Playboy มียอดพิมพ์กว่า 7 ล้านฉบับต่อเดือน และมีกำไรถึง 12 ล้านดอลล่าร์ต่อเดือน ในปี 1972 เฮฟเนอร์ ได้สร้างแมนชั่นขนาดใหญ่ไว้ถึง 2 แห่ง คือ ชิคาโก และลอสแอนเจลิส เพิ่อไว้ใช้จัดปาร์ตี้เวลาเขาอยู่กับสาว ๆ บันนี่ของเขา เขามีเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว ที่ชื่อว่า Big Bunny ที่มีทั้งห้องครัว, ห้องนั่งเล่น, ดิสโก้, ชุดโฮมเธียร์เตอร์, บาร์เหล้าและห้องนอนที่รองรับแขกได้ถึง 16 คน

ในช่วงปี 1975 อาณาจักรของเขาต้องสั่นคลอน  เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจที่ตกต่ำของสหรัฐอเมริกา และการแข่งขันที่สูงขึ้นจากคู่แข่งใหม่มากมายที่ออกมาทำนิตยสารแนวเดียวกันอย่าง Penthouse ในช่วงแรก เฮฟเนอร์ ออกมาโจมตีว่า “เป็นการลอกเลียนจากพวกนักลอกเลียนแบบ” และ เฮฟเนอร์ ตอบโต้ด้วยการลงภาพนางแบบที่โป๊เปลือยมากกว่าการโพสต์ท่าหรือการจัดองค์ประกอบภาพที่ดูดี แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม เมื่อยอดโฆษณาลดลง และส่งผลกระทบมาถึงยอดขาย เนื่องจากนิตยสารกลายเป็นหนังสือเกรดต่ำ ทำให้ เฮฟเนอร์ ต้องกลับมาทุ่มเทกับงานนิตยสารอีกครั้ง และเขาได้ตัดสินใจตัดธุรกิจที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ออกไปเช่น Playboy Club และ โรงแรม ในขณะที่ธุรกิจภาพยนตร์และบริษัทเพลงถูกตัดงบ และลดเงินเดือนพนักงาน ส่วนฝ่ายนิตยสารก็มีการสร้างมาตรฐานใหม่ในการคัดเลือกนางแบบ โดยคัดเลือกสาว ๆ ที่ไม่เคยผ่านการถ่ายแบบมาก่อน ในโครงการอย่าง “Girl of the Big Ten พร้อมกับเพิ่มเนื้อหาและคุณภาพของบทความให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น

จากนั้น เฮฟเนอร์ ได้ตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่ ลอสแอนเจลิสอย่างถาวร เพื่อที่จะได้มีเวลาดูแลธุรกิจทีวี และภาพยนตร์ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งก็สามารถผลิตภาพยนตร์ดัง ๆ ออกมาได้หลายเรื่องเช่น Macbeth, Monty Python ต่อมาในปี 1978 เขาได้เริ่มต้นจัดงาน Playboy Jazz Festival งานเทศกาลดนตรีแจ๊ส ที่จัดว่าเป็นงานที่ดีที่สุดงานนึงของโลกเลยทีเดียว

เริ่มมีปัญหาสุขภาพ

เนื่องจากเป็นคนปาร์ตี้จัด ชอบสังสรรค์  ทำให้ เฮฟเนอร์ ถูกตรวจพบอาการเส้นเลือดในสมองตีบ ในวัย 59 ปี แม้จะไม่รุนแรงมากนักแต่ก็เป็นสัญญาณเตือนถึงสุขภาพของเขา เขาตัดสินใจงดการร่วมปาร์ตี้ริมสระที่เขาโปรดปราน แต่ส่งผลเสียต่อสุขภาพของเขา หลังจากนั้นเขาตัดสินใจเข้าพิธีแต่งงานกับ คิมเบอร์ลี่ย์ คอนราด แฟนสาวที่คบหากันมานานหลายปี โดยงานแต่งงานมีขึ้นในปี 1989 ในการแต่งงานครั้งนี้เขาได้ลูกชายเพิ่มมาอีก 2 คน คือ มาร์สตัน และคูเปอร์ หลังจากนั้นทั้งคู่ก็หย่าขาดจากกันในปี 1999

คริสตี้ เฮฟเนอร์ ลูกสาวของ ฮิวจ์ เฮฟเนอร์  ได้เข้ามาทำงานในกองบรรณาธิการของ Playboy ตั้งแต่ช่วงต้นของยุค ‘80 จนในปี 1988 ฮิวจ์ เฮฟเนอร์ ก็เริ่มถ่ายโอนอำนาจการบริหารให้กับ คริสตี้ ลูกสาวคนโตของเขา โดยแต่งตั้งให้คริสตี้ดำรงค์ตำแหน่ง ประธานบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และยังเป็นบรรณาธิการบริหารในส่วนของนิตยสารอีกด้วย คริสตี้เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการนำพา Playboy Enterprises เข้าสู่ธุรกิจเคเบิ้ลทีวี, การผลิตวิดีโอและสื่อออนไลน์ต่าง ๆ

เกาะกระแสเรียลิตี้โชว์ กำเนิดรายการ “The Girl Next Door”

ในปี 2005 เป็นช่วงที่กระแสรายการเรียลิตี้ได้รับความนิยมอย่างมาก ฮิวจ์ เฮฟเนอร์  ก็ไม่พลาดที่จะสร้างรายการเรียลิตี้โชว์ตามติดชีวิตตัวเอง กับบรรดาแฟนสาวใน Playboy Mansion โดยออกอากาศทางช่อง E! หลังจากหย่าขาดจากภรรยาคนที่สองในปี 1999 ฮิวจ์ เฮฟเนอร์ ก็ใช้ชีวิตอย่างสุดเหวี่ยง โดยเลือกคบกับสาว ๆ แบบเป็นกลุ่มแฟน ที่มีอายุตั้งแต่ 18-28 ปี (หมายความว่าทุกคนเป็นแฟนของ เฮฟเนอร์ ทั้งหมด แต่มีการจัดลำดับความสำคัญ) ในปี 2000 แบรน โรเดริค (Brande Roderick) ถอนตัวจากการแสดงซีรีส์เรื่อง Baywatch เพื่อมาเข้าสังกัดแฟนของเฮฟเนอร์ หลังจากนั้นเฮฟเนอร์ เลือกเยสมิน คิง (Yazmin King) เป็นคนโปรด หลังจากนั้นทีน่า แมรี่ จอร์แดน (Tina Marie Jordan) ได้เป็นแฟนคนหลัก แต่หลังจากนั้นเขาก็เสาะหาสาวผมบลอนด์อีก 7 คนมาเข้าสังกัดแฟนของเขา รวมไปถึง ฮอลลี่ แมนดิสัน (Holly Madison) บริจเจ็ด มาร์คาร์ด (Bridget Marquardt) และเคนดรา วิลคินสัน (Kendra Wilkinson) ซึ่งเป็นนักแสดงจากซีรีส์ The Girls Next Door ก็มาอยู่กับที่แมนชั่นเพลย์บอยของเฮฟ เฮฟได้เลือก เคนดรา วิลคินสัน วัย 18 ปี (Kendra Wilkinson) เป็นแฟนลำดับที่ 3

ในซีรีส์ The Girls Next Door ซีซั่นสุดท้ายที่ออกอากาศในปี 2009 มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้น เริ่มจากการย้ายออกจากแมนชั่น ของมาร์ควอร์ดท์ เพื่อไปเริ่มต้นทำซีรีส์ทีวีของตนเอง ตามมาด้วย วิลคินสัน ที่ขอเลือกเริ่มต้นชีวิตใหม่กับหนุ่มนักอเมริกันฟุตบอล และ ฮอลลี่ แมนดิสัน เป็นคนสุดท้ายที่ขอคืนห้องและก้าวออกจากแมนชั่นไป เนื่องจากเธอไม่มีความสุขจากการที่ ฮิวจ์ เฮฟเนอร์ ไม่แสดงความจริงจังในความสัมพันธ์กับเธอ และในที่สุดในปี 2012 ฮิวจ์ เฮฟเนอร์ ก็ได้แต่งงานกับ คริสตัน แฮร์ริส สาวเพลย์เมต วัย 26 ปี หนึ่งในบรรดาแฟนของเขาในซีรีส์ The Girls Next Door หลังจากที่ทั้งคู่เคยหมั้นและถอนหมั้นกันมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยในวันแต่งงาน ฮิวจ์ เฮฟเนอร์ ก็มีอายุ 86 ปีเข้าไปแล้ว

ฮิวจ์ เฮฟเนอร์ กับ คริสตัน แฮร์ริส
ฮิวจ์ เฮฟเนอร์ กับ คริสตัน แฮร์ริส Image credit: nydailynews

ปิดตำนานราชากระต่าย

Hugh Hefner เสียชีวิตใน Playboy Mansion บ้านพักของเขาในลอสแอนเจลิส ในวันที่ 27 กันยายน 2017 ในวัย 91 ปี จากสาเหตุภาวะหัวใจล้มเหลวและติดเชื้อในกระแสเลือด เขาถูกฝังในสุสาน Westwood Memorial Park ในลอสแอนเจลิส โดยฝังใต้ถุนโบสถ์เคียงข้างกับ มาริลิน มอนโร นางแบบคนแรกของนิตยสาร Playboy ตามความปารถนาครั้งสุดท้ายของเขา “การได้ใช้ชีวิตนิรันดร์เคียงข้าง มาริลิน ช่างเป็นโอกาสอันแสนหวานที่ปล่อยผ่านไม่ได้จริง ๆ “ Hefner เคยให้สัมภาษณ์กับ Los Angeles Times ไว้เมื่อปี 2009 เรียกได้ว่าขอซ่าจนวาระสุดท้ายกันเลยทีเดียว

และในวันที่ 3 ตุลาคม 2017 ที่ผ่านมานี้เองก็มีการประกาศว่าจะมีการสร้างภาพยนตร์อัตชีวประวัติ ของ Hugh Hefner โดยเขามีความคิดที่จะสร้างภาพยนตร์ประวัติของตัวเองมาก่อนหน้านี้ตั้งแต่ปี 2010 ซึ่งเขาได้เลือกผู้กำกับไว้แล้วคือ Brett Ratner (เคยกำกับ Rush Hour 1 และ 2) แต่ก็มาจากไปเสียก่อน ซึ่งโปรเจ็คนี้ยังมีคนสานต่อ  โดยผู้ที่จะมารับบทเป็น Hefner ก็คือ Jared Leto นักแสดงหนุ่มผู้มากความสามารถ ที่ได้รับรางวัลมาแล้วทั้ง ออสการ์และลูกโลกทองคำ ในฐานะนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ส่วนของบทภาพยนตร์ ได้ Jeff Nathanson มารับหน้าที่นี้ ซึ่งเคยเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Rush Hour 2 และ 3, Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull และ Pirates of the Caribbean: Dead Men Tell No Tales เป็นต้น ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้ยังไม่มีกำหนดออกฉาย

ทศวรรษต่อไปในมือหนุ่มน้อย

เมื่อลูกสาวคนโต คริสตี้ เฮฟเนอร์ ได้ลาออกจากทุกตำแหน่งในปี 2009 Hugh Hefner ได้กลับมารักษาการ CEO เพื่อเตรียมถ่ายโอนอำนาจให้กับลูกชายคนเล็ก คูเปอร์ เฮฟเนอร์ ซึ่งเป็นหนุ่มมากความสามารถไม่แพ้เฮฟเนอร์ผู้เป็นพ่อเลย คูเปอร์เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทสื่อครบวงจรที่ชื่อว่า HOP ก่อนจะเข้ารับตำแหน่ง CEO ของ Playboy Enterprises ในวัยเพียง 26 ปี ซึ่งหนุ่มน้อยคูเปอร์นี้ มีเสน่ห์ล้นเหลือไม่ต่างจากพ่อเลยจริงๆ แถมยังใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงเหมือนกันอีกด้วย เนื่องจากเขาเกิดและเติบโตอยู่ใน Playboy Mansion ได้เห็นพ่อของเขากับบรรดาสาว ๆ และชีวิตที่สุดเหวี่ยง ก็ไม่แปลกเลยที่คูปเปอร์จะถอดแบบฮิวจ์มามากขนาดนี้

Cooperb Hefner
Image credit: Cooperb Hefner

และหนุ่มน้อยคูเปอร์นี้เอง เป็นผู้ที่ประกาศวิสัยทัศน์ของ Playboy ในยุคทศวรรษที่ 70 ในวันที่บริษัทอายุ 64 ปี เขาคิดว่ารูปโป๊เปลือยจะไม่ดึงดูดนักอ่านอีกต่อไป และต่อจากนี้นิตยสาร Playboy จะไม่ลงรูปวาบหวิวของนางแบบอีกต่อไปแล้ว โดยจะเน้นเนื้อหาที่สร้างสรรค์และชวนติดตามเท่านั้น ซึ่งเป็นที่น่าจับตามองว่า คูเปอร์หนุ่มจะนำพาอาณาจักร Playboy ไปในทิศทางใดต่อไป

สรุปเส้นทางชีวิตของ Hugh Hefner

เรื่องราวชีวิตของ Hugh Hefner เป็นชีวิตที่หนุ่มๆหลายคนพากันอิจฉา แต่กว่าจะมีชีวิตที่สุดขีดแบบนี้ได้เขาต้องผ่านอุปสรรคและการตัดสินใจครั้งสำคัญมากมาย

6 ข้อคิดชีวิต CEO จาก Hugh Hefner

ข้อคิดที่ 1 – Hugh Hefner มีหัวใจของผู้ประกอบการเต็มเปี่ยม

หากเขายังคงทำงานที่ Esquire เขาอาจจะได้เลื่อนขั้นสูงสุดคือเป็นบรรณาธิการ  หากเขายอมรับเงินเดือนเท่าเดิม ที่บริษัทไม่ยอมจ่ายเพิ่มให้แค่ 5 ดอลล่าร์ วันนี้คงไม่มีนิตยสาร Playboy ที่ชื่อก้องโลก แต่เฮฟเนอร์เลือกที่จะลาออก แล้วมาทำตามความฝันของตัวเอง โดยที่มีแผนการไว้ทั้งหมดแล้ว

ข้อคิดที่ 2 – Hugh Hefner กล้าเสี่ยงที่จะทำอะไรใหม่ ๆ ดีกว่าที่ทำอะไรแล้วเหมือนคนอื่น

ตอนที่ออกมาทำ Playboy ก้ตั้งใจไว้เลยว่าต้องแตกต่าง ไม่ใช่แค่เหมือนหรือเทียบเท่า Esquire แต่ต้องแตกต่างและเหนือกว่าเท่านั้น

ข้อคิดที่ 3 – Hugh Hefner ใช้ชีวิตในแบบที่ชอบ

แม้ว่าอาจจะไม่ถูกใจคนอื่นก็ตาม หากเขาเห้นว่ามันสนุกและได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ เขาก็ไม่ลังเลที่จะทำทันที “ชีวิตนี้มันสั้นเกินกว่าที่จะมาคอยทำตามความฝันของคนอื่น”

ข้อคิดที่ 4 – Hugh Hefner เมื่อต้องขอความช่วยเหลือ จงขอ

ในวันที่เขาลาออกจาก Esquire แล้วแบกความฝันในการทำนิตยสารไปหานักลงทุนนั้น ก่อนหน้านั้นเขาได้ลองเอาทรัพย์สินที่มีไปจำนองและยื่นขอกู้กับธนาคารแล้ว แต่ได้เงินมาเพียง 600 ดอลล่าร์ ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่เพียงพอที่จะก่อตั้งอะไรทั้งสิ้น เขาจึงต้องขอความช่วยเหลือจากทั้งแม่ และพี่ชายที่ร่วมลงขันกันคนละ 1000ดอลล่าร์ และเขาได้เริ่มขอระดมทุนจากนักลงทุนคนอื่นๆ จนได้เงินกว่า 8000 ดอลล่าร์ไปเริ่มต้นธุรกิจ

ข้อคิดที่ 5 – Hugh Hefner รู้ตัวและยอมรับความเป็นจริงได้โดยไม่ฝืน

ในช่วงปี 80 เขาเริ่มรู้สึกว่าตนเองไม่เหมาะกับการทำงานหรือปาร์ตี้หนัก ๆ อีกแล้ว เขาพร้อมที่จะลงจากตำแหน่งและให้ลูกสาวคนโตขึ้นทำหน้าที่แทน แล้วธุรกิจของเขาก็กลับมาดีขึ้นอีกครั้ง

ข้อคิดที่ 6 – Hugh Hefner ให้ความใส่ใจกับสุขภาพของตนเอง

แม้จะเพิ่งเริ่มใส่ใจสุขภาพในวัย 59 ปี แต่ก็ยังโชคดีที่เขารักษาความแข็งแรงไว้ได้จนวาระสุดท้าย สำหรับชายวัย 86 ปี ที่สามารถแต่งงานกับหญิงสาววัย 26 ได้นั้นนับว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว แม้จะใช้ชีวิตมากับงานและปาร์ตี้อย่างหนักหน่วง แต่ในที่สุดเขาก็ต้องเลือกที่จะรักษาสุขภาพไว้ และเขาใช้มันอย่างคุ้มค่าที่สุดในบั้นปลายชีวิตจนอายุ 91 ปี โดยที่ไม่มีอะไรที่จะต้องเสียใจภายหลัง

HUGH HEFNER
Image credit: knowyourmeme

– Life is too short to be living somebody else’s dream.
ชีวิตคนเรานั้นมันสั้น เกินกว่าที่จะมาคอยทำตามความฝันของใคร –

Hugh Hefner


และหากคุณชอบใน Content ที่ทาง CEO Blog ได้นำเสนอ ในเร็ว ๆ นี้ ทาง CEO Blog ของเรานั้น กำลังจะมีโปรเจค CEO Premium Content ซึ่งเป็น Content ด้านการค้าปลีกออนไลน์ แบบพรีเมี่ยม ที่หาอ่านไม่ได้บน Blog ปกติของ CEO Blog โดยจะเปิดรับสมัครสมาชิกพรีเมี่ยมในเร็ว ๆ นี้

หากคุณไม่อยากพลาด Content ระดับ Premium สามารถลงทะเบียนเพื่อรับแจ้งข่าวสารได้ที่นี่ก่อนใครเลยครับ รับรองได้เลยว่ามันเป็น Content ระดับพรีเมี่ยมในราคาที่คุ้มสุด ๆ อย่างแน่นอน >>> ลงทะเบียนรับข่าวสารที่นี่ก่อนใครceo premium content

Resources: