Tim Ferriss

อยากมีธุรกิจ E-commerce พร้อมกับไลฟ์สไตล์คูล ๆ แบบ Tim Ferriss ต้องอ่าน

Tim Ferriss ผู้เขียนหนังสือ The 4-hour Workweek เป็นหนังสือที่เรียกได้ว่า คนที่ทำธุรกิจยุคใหม่จำเป็นต้องมีไว้เป็นตำราติดบ้านกันเลยทีเดียว ซึ่งเป็นหนึ่งใน 100 สุดยอดหนังสือธุรกิจที่ CEO ทั่วโลกแนะนำ สำหรับในบทความนี้ Tim Ferriss จะมาแนะนำการทำธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ สไตล์ออโตเมติก ที่ถือได้ว่า เป็นธุรกิจในฝันของใคร ๆ หลาย ๆ คนที่ต้องการสร้างธุรกิจ E-commerce ให้มีระบบอัตโนมัติ เรียกได้ว่าเป็นระบบที่ขายของออนไลน์ได้ แทบจะไม่ต้องพูดคุยกับลูกค้าเลย แถมยังไม่ต้องมีเงินเป็นถุงเป็นถัง ก็สามารถเริ่มต้นได้ไม่อยากจนเกินไป แถมตัวธุรกิจเองเมื่อมันสามารถตั้งไข่ได้แล้ว นอกจากจะมีเงินไหลเข้าบัญชีอย่างสม่ำเสมอแล้ว ยังทำให้มีเวลาเหลือเฟือในการไปทำอย่างอื่นที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตแบบมีไลฟ์สไตล์ ท่องเที่ยวรอบโลก หรือใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว โดยที่ตัวธุรกิจก็ยังคงทำเงินได้เรื่อย ๆ ซึ่งสิ่งแรกที่จะต้องปรับเปลีั่ยนก่อนเลยก็คือ แนวคิดการทำธุรกิจในยุคออนไลน์เฟื่องฟู ไร้พรมแดนในการค้าขาย

ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ สไตล์ Tim Ferriss คืออะไร?

Tim Ferriss
Image credit: fourhourchef

Tim Ferriss กล่าวว่า ทุก ๆ ธุรกิจ ควรมีการตั้งระบบให้มันสามารถทำเงินได้อัตโนมัติ มีกระแสเงินสดไหลเข้าอยู่สม่ำเสมอ แม้ว่าตัวคุณจะไม่ได้อยู่ดูแลมันสักพัก ถ้าเราสังเกตจากธุรกิจแบบเดิม ๆ ที่มีหน้าร้าน คุณคงคุ้นชินกับการที่มีเถ้าแก่ นั่งอยู่ที่โต๊ะเก็บเงิน และคอยคุมลูกน้องที่หน้าร้านด้วยตนเองทั้งหมด เพราะถ้าเผลอไม่อยู่แป๊บเดียว ให้ลูกน้องคุมที่แคชเชียร์ รับรองได้เลยว่า เงินหายเป็นหมื่นเป็นแสนอย่างแน่นอน อีกทั้งแม้จะมีลูกค้าเข้ามาอุดหนุนสินค้าอย่างมากมาย แต่ตัวเถ้าแก่เองกลับไปไหนไม่ได้ วันไหนหยุดร้านก็ไม่มีรายได้เข้ามา อยากจะไปเที่ยวกับครอบครัว ก็ไปได้ปีละ 1 ถึง 2 ครั้งเท่านั้น แถมถ้าไม่อยู่ให้ลูกน้องคุม ก็เละตุ้มเป๊ะไม่เป็นท่า

ดังนั้น โจทย์ที่สร้างธุรกิจของ Tim Ferriss ไม่ใช่เพราะอยากเป็นเศรษฐี ไม่ใช่เพราะอยากมีเงินเยอะ ๆ แต่เป็นธุรกิจที่สามารถซับพอร์ทไลฟ์สไตล์ในแบบที่ต้องการได้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่คุณอยากมี สิ่งที่คุณอยากเป็น และสิ่งที่คุณอยากทำ ซึ่ง Tim Ferriss เรียกว่า New Rich เศรษฐีมิติใหม่ ที่ร่ำรวยทั้งเวลาและเงินทอง

เพราะที่ผ่านมานั้น Tim Ferriss เคยผ่านมาทั้งการเป็นพนักงานประจำ สู่เจ้าของธุรกิจที่มีรายได้สูง แต่แทบไม่มีเวลานอนด้วยซ้ำ เพราะแม้ว่าธุรกิจจะทำเงินได้เยอะ แต่กลับไม่มีเวลาไปใช้เงินเลย หนำซ้ำเงินที่หามาได้ ก็กลายเป็นค่าหมอซะงั้น เพราะโหมทำงานหนักจนเกินไป

จนกระทั่ง Tim Ferriss ได้ออกแบบระบบธุรกิจใหม่ทั้งหมด โดยให้มันทำงานแบบอัตโนมัติมากที่สุด แม้ว่ารายได้อาจจะไม่สูงเท่าตอนโหมงาน แต่กลับมีเวลาอย่างเหลือเฟือมากยิ่งขึ้น ซึ่งแน่นอนว่า “เวลามีค่ากว่าเงินทอง”

ดังนั้น สิ่งแรกที่คุณต้องทำก็คือ การตั้งเป้าหมายว่า ไลฟ์ไสตล์ของคุณนั้นมีค่าดำเนินการเท่าไหร่? ลองกำหนดในแต่ละเดือนดูว่า คุณจะต้องมีเงินหมุนเวียนในธุรกิจเท่าไหร่ จึงจะสามารถช่วยทำให้ไลฟ์สไตล์คุณเป็นจริงได้ ลองกำหนดในช่วง 3 เดือน 6 เดือน หรือ 12 เดือน นับจากนี้

  • สิ่งที่คุณอยากมี เช่น รถ, บ้าน หรือสิ่งของอื่น ๆ ที่คุณใฝ่ฝันมานานว่าอยากจะมีไว้ในครอบครอง
  • สิ่งที่คุณอยากเป็น เช่น สุขภาพแข็งแรงมีซิกแพค, วิทยากร, พูดได้ 3 ภาษา บลาๆๆๆ
  • สิ่งที่คุณอยากทำ เช่น ท่องเที่ยวรอบโลก, ส่งลูกเรียนเมืองนอก, ดูบอลพรีเมียร์ลีคที่อังกฤษ เป็นต้น

สมมติว่า ไลฟ์สไตล์ที่กล่าวมา มีค่าดำเนินการเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1 แสนบาทต่อเดือน นี่คือเป้าหมายของคุณ ว่าจะต้องสร้างธุรกิจที่สามารถสร้างผลกำไรให้ได้ 1 แสนบาทต่อเดือน ดูดี ๆ นะครับ “กำไร” ไม่ใช่ยอดขาย เพราะถ้ายอดขาย 1 แสน มันยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เป็นต้นทุนในการทำธุรกิจ ดังนั้นเป้าหมายของคุณคือ กำไร 1 แสนบาทต่อเดือน ตัวเลขนี้ขึ้นอยู่กับคุณเลยครับว่า ต้องการไลฟ์สไตล์แบบไหน และไม่ควรจะตั้งต่ำหรือสูงจนเกินไป เอาในระดับที่น่าจะเป็นไปได้ในช่วงเวลา 3-12 เดือน ต่อจากนี้

โดย Tim Ferriss ได้ใช้หลักการเดียวกันกับ Napoleon Hills ที่ใช้การทำงานแบบนึกภาพความสำเร็จในอนาคต เสมือนว่ามันเกิดขึ้นจริงแล้ว แล้วให้นึกย้อนกลับไปว่า จะต้องทำอะไรบ้าง เพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา

เลือกผลิตภัณฑ์เริ่มต้นจากตรงไหนดี?

หากพูดถึงผลิตภัณฑ์ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ สินค้าและบริการ ซึ่งการเริ่มต้นด้วยผลิตภัณฑ์ประเภทสินค้านั้น จะดูดีมีภาษีกว่าผลิตภัณฑ์ที่เป็นการบริการ เนื่องจาก การบริการนั้น จำเป็นที่จะต้องใช้บุคคลากรที่มีความสามารถหรือได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เพื่อให้เกิดความพึงพอใจสูงสุดต่อลูกค้า และนอกจากนั้น ยังต้องใช้เวลาในการบริการลูกค้าค่อนข้างมากพอสมควร แต่ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ที่เป็นสินค้า หลังจากผลิตออกมาแล้วก็สามารถส่งให้ลูกค้าได้เลย จ่ายเงินแล้วก็จบขั้นตอน อาจจะมีเรื่องของการเคลมสินค้าหรือจัดส่งสินค้าบ้างในบางกรณี ยกตัวอย่างเช่น

หากเป็นผลิตภัณฑ์ด้านบริการ เป็นร้านตัดผม คุณจำเป็นที่จะต้องมีช่างตัดผมประจำร้าน ซึ่งก็จะต้องมีฝีมือพอตัว และสามารถรองรับลูกค้าได้ทีละราย แต่ในขณะที่หากคุณขายวิกผม ลูกค้าก็สามารถเลือกที่หน้าเว็บไซต์โดยไม่ต้องมีหน้าร้านก็ยังได้ จากนั้นก็จัดส่งสินค้าหลังลูกค้าชำระเงินเข้ามา

ตั้งราคาสินค้าเท่าไหร่ดี?

แต่ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์แบบไหน คุณควรตั้งราคาไว้สูงกว่าต้นทุนที่ 8-10 เท่า เผื่อเอาไว้ให้มีกำไรมากพอที่จะดำเนินการธุรกิจและมีเงินเหลือซับพอร์ทกับไลฟ์สไตล์ของคุณ หลายคนอาจจะมีคำถามเกิดขึ้นในใจว่า ถ้าตั้งราคาสินค้าสูงจากต้นทุนขนาดนั้น จะมีใครซื้อกัน ส่วนใหญ่เขาก็ตั้งสัก 2 เท่าของต้นทุนก็น่าจะพอแล้ว ซึ่งมันก็น่าจะเป็นแบบนั้น แต่…

อย่าลืมว่า สินค้าที่คุณผลิตออกมานั้น มันจะขายหมดทั้งสต็อก ในเวลาอันรวดเร็ว คุณอาจจะได้กำไรก็จริง แต่กว่าจะขายสินค้าหมดสต็อก มันก็เสี่ยงเกินไป ดังนั้น วิธีการก็คือ อย่าพึ่งผลิตสินค้าออกมา ยิ่งคุณไม่เคยขายสินค้าประเภทนั้นมาก่อนแล้วด้วยยิ่งเสี่ยงที่จะมีสินค้าค้างสต็อกกันไปใหญ่ ซึ่งวิธีการที่จะช่วยลดความเสี่ยงได้ก็คือ การทดสอบการตลาดและการขายของคุณก่อนว่า สินค้าและราคาที่คุณตั้งขึ้นนั้น เมื่อเปิดจำหน่ายแล้ว มีคนสั่งซื้อเข้ามาจริง ๆ หรือไม่ ถ้าสั้งซื้อเข้ามา มีจำนวนเท่าไหร่ คุณอาจจะใช้เทคนิคการพรีออเดอร์หรือผลิตสินค้าในปริมาณที่น้อย ๆ ออกมาก่อนก็ได้ ซึ่งการผลิตน้อยก็จะมีต้นทุนสูงเป็นธรรมดา แต่อย่างน้อยคุณก็จะเท่าทุน ไม่ก็ขาดทุนนิดหน่อย แต่มันย่อมดีกว่าคุณขาดทุนล็อตใหญ่ ๆ อย่างแน่นอน รวมไปถึงในระหว่างที่คุณกำลังทดสอบความต้องการของสินค้าอยู่นั้น หากคุณยังคงทำงานประจำอยู่ คุณก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเสี่ยงในการลาออกเพื่อมาทำเต็มตัว

เรื่องราคาเป็นเรื่องรองลงมา คุณอาจจะเคยพบกับประสบการณ์ของตัวคุณเองว่า คุณต้องการสินค้าชิ้นหนึ่ง คุณพบว่าทั้งสองร้านที่คุณดูอยู่นั้น มีสินค้าตัวเดียวกันอยู่ แต่คุณกลับซื้อกับร้านที่ขายราคาสูงกว่า เพราะถูกใจด้านบริการ ถูกใจแม่ค้า พ่อค้า ส่งสินค้าเร็ว มีการรับประกัน มีเพื่อน ๆ บอกต่อ และอีกอย่างนึงก็คือ แบรนด์ของร้านค้าหรือตัวคนขายนั้น ได้รับความน่าเชื่อมากกว่า มีแบรนด์ที่แข็งแกร่งกว่า ก็สามารถลดปัญหาเรื่องการตัดราคาไปได้ เพราะลูกค้าเชื่อมั่นในแบรนด์คุณ

ส่วนใครกำลังมองหาระบบการค้าปลีกออนไลน์แบบกึ่งอัตโนมัติ ที่แทบจะไม่ต้องคุยกับลูกค้าเลย ตามสไตล์ Tim Ferriss ก็สามารถเข้าไปอ่านบทความนี้ได้เลยครับ >> ขายออนไลน์สไตล์ Tim Ferriss ขายอย่างไรให้ได้ล้าน ไม่แชท ไม่แพ็ก ไม่คุยกับลูกค้า


และหากคุณชอบใน Content ที่ทาง CEO Blog ได้นำเสนอ ในเร็ว ๆ นี้ ทาง CEO Blog ของเรานั้น กำลังจะมีโปรเจค CEO Premium Content ซึ่งเป็น Content ด้านการค้าปลีกออนไลน์ แบบพรีเมี่ยม ที่หาอ่านไม่ได้บน Blog ปกติของ CEO Blog โดยจะเปิดรับสมัครสมาชิกพรีเมี่ยมในเร็ว ๆ นี้

หากคุณไม่อยากพลาด Content ระดับ Premium สามารถลงทะเบียนเพื่อรับแจ้งข่าวสารได้ที่นี่ก่อนใครเลยครับ รับรองได้เลยว่ามันเป็น Content ระดับพรีเมี่ยมในราคาที่คุ้มสุด ๆ อย่างแน่นอน >>> ลงทะเบียนรับข่าวสารที่นี่ก่อนใครceo premium content

Resources