3 ความเข้าใจ ที่กลายเป็นเหตุผู้ประกอบการสูญเงินแสนจากการยิงโฆษณาผ่านแฟนเพจ

1. คิดว่า แฟนเพจ ขายของได้

Misconception

เราเห็นคนใช้โซเชียลมีเดียขายของกันจนชินตา ตั้งแต่ Hi5 มายัง Facebook แล้วก็ไปยัง Instragram และ Line@ จนเราเข้าใจไปเองว่าเหล่านี้คือพื้นที่หรือเครื่องมือขายของ ในขณะที่ในต่างประเทศแทบไม่มีใครใช้โซเชียลมีเดียในการขายของเลย น่าคิดไหมว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? หากเราเป็นประเทศเดียวในโลกที่ทำเช่นนี้ ยิ่งต้องน่าคิดว่าเรากำลังเดินถูกทางจริง ๆ หรือไม่ แล้วทำไมประเทศฝั่งตะวันตกที่ความรู้เรื่อง Digital marketing พัฒนาไปไกลมาก ๆ จึงไม่ทำตามเรา!

Problem

การที่โซเชียลมีเดียสามารถโพสต์อะไรก็ได้ และพอเราใช้โพสต์ขายของแล้วพบว่ามันขายได้ เราจึงเข้าใจไปเองว่า ‘โซเชียลมีเดียขายของได้’ ทั้งที่เจตนาเดิมไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อขายของ แต่เพื่อ Connect ระหว่าง ครอบครัว เพื่อนฝูง และคนที่มีความสนใจคล้ายกัน เมื่อเรานำมาใช้ขายของมากเกินไป วันหนึ่งเจ้าของพื้นที่ก็ต้องออกมาสร้างกฎ จำกัดสิทธิ และควบคุมพฤติกรรม อันส่งผลโดยตรงต่อผู้ขายของบนโซเชียลมีเดีย ในกรณีนี้คือ Facebook

Solution

สร้างทัศนคติในการทำธุรกิจอย่างมืออาชีพ สิ่งแรกคือ จงเลิกความคิด ‘รวยง่าย รวยเร็ว อยากหารายได้ออนไลน์’ ฯลฯ และมองตัวเองเป็น ‘ผู้ประกอบการ’ เพราะการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะธุรกิจสมัยเก่า สมัยใหม่ จะออฟไลน์ และออนไลน์ ล้วนมีความท้าทายในตัวของมันเอง – ออนไลน์ช่วยให้คุณเริ่มต้นง่ายขึ้น แต่ไม่ได้แปลว่าจะสำเร็จง่ายแต่อย่างใด

ทำความเข้าใจว่า Facebook เป็นศูนย์รวมของผู้คน และที่ผมมักพูดเสมอในงานสัมมนาต่าง ๆ คือ ‘ที่ใดมีคน ที่นั่นมีโอกาสทำเงิน’ – ตลาดนัดคือตัวอย่างในโลกออฟไลน์ โซเชียลมีเดียคือตัวอย่างในโลกออนไลน์

Facebook รวมคนเข้ามาอยู่ด้วยกัน และโอกาสในการประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการเป็นเพียงผลพลอยได้ของเหตุการณ์นี้ ขอย้ำว่า ‘เป็นเพียงผลพลอยได้’ ที่เหลือคือคุณจะนำผลพลอยได้นี้มาขยายเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่อย่างไร ฉะนั้น Mindset สำคัญคือ จงแยก ‘การขาย’ และ ‘การตลาด’ ออกจากกัน และ Facebook คือฝั่งของ การตลาด

อ่านเพิ่มเติมความแตกต่างระหว่าง การขายและการตลาด ที่นี่

2. อะไร ๆ ก็ Content… อะไร ๆ ก็ Engagement

Misconception

เมื่อ Facebook เข้มงวดขึ้น การโพสต์ขายสินค้าอย่างเดียวเริ่มไม่ได้ผล หลายหน่วยงานจึงเริ่มหันมาสนใจเรื่องการสร้าง Value content กันมากขึ้น และสิ่งที่ตีคู่กันมาคือเรื่อง Engagement กล่าวคือแทบทุกคนพุ่งความสนใจไปที่การทำ Content ยังไงให้คน Like เยอะ ๆ Share เยอะ ๆ และ Comment กันมาก ๆ จนกลายไปสู่การทำ Content ให้คน Share ด้วยอุบายต่าง ๆ เช่น แจกของ แจกเงิน หรือเล่นกับเรื่องดราม่า ๆ หรือเรื่องลวง ๆ เพื่อให้คนมา Engage เป็นต้น

Problem

อุบายกระตุ้น Engagement เป็นวิธีระยะสั้น และจะได้เพียงกลุ่มเป้าหมายชั่วคราว เมื่อหยุดแคมเปญ แฟนเพจของคุณก็อาจกลับมาเงียบเหมือนเดิม หากคุณใช้วิธีเหล่านี้ ก็จะต้องใช้เรื่อยไปเพราะคุณไม่มีแฟนคลับตัวจริง

ในกรณีที่คุณทำ Value content ที่ดีมากจริง ๆ แต่เก็บเนื้อหาและผู้คนทั้งหมดไว้บนแฟนเพจ คุณจะไม่สามารถทำ Lead generation และ Re-targeting ได้ เมื่อถึงเวลาที่ต้องการทำโฆษณา คุณเพียงทำได้แค่การ Boost post ธรรมดา เป็นการยิงโฆษณาไปหาคนกว้าง ๆ บน Facebook ซึ่งมีประสิทธิภาพน้อยกว่าการทำ Re-targeting เหล่านี้คือปัญหาที่ผู้ประกอบการหลายคนไม่รู้ เนื่องจากวันนี้ หลายสำนักต่างพูดตาม ๆ กันว่า “ทำ Value content สิ ๆ” แต่ไม่มีใครบอกว่า ทำไปทำไม?…

Solution

คุณทำ Value content เพื่อสร้าง Awareness หรือ การรับรู้และการมีตัวตนบนโลกออนไลน์ โดย Content ที่คุณสร้างนั้นควรทำบนเว็บไซต์ และนำ URL ลิงค์บทความไปโพสต์ลงใน Facebook เพื่อส่งคนเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณ การส่งคนเข้าเว็บไซต์มีประโยชน์หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น…

– เรื่องโอกาสติด Search engine
– เรื่องความน่าเชื่อถือของ Brand
– เรื่องการเก็บ Contact list เพื่อติดต่อลูกค้าทางอีเมล์และเทเลเซลส์
– และสำคัญที่สุดในการทำ Facebook marketing นั่นคือการเก็บ Facebook tracking pixel เพื่อนำไปทำ Re-targeting

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีทำ Re-targeting ที่นี่

3. คิดว่าอยากขายดีต้องอัดเงินโฆษณา

Misconception

ผู้ประกอบการที่ใช้ Facebook ทำการตลาดจำนวนไม่น้อยยังกดปุ่ม Boost Post ตรง ๆ จากทางหน้าไทม์ไลน์ของแฟนเพจ ซึ่งวิธีนี้ประสิทธิภาพน้อยที่สุด หากแอดวานซ์ขึ้นมาอีกนิดก็คือการ Boost Post ผ่าน Ad Manager ซึ่งสามารถกรองกลุ่มเป้าหมายได้ละเอียดขึ้น แต่ก็ยังไม่ค่อยมีประสิทธิภาพมากอยู่ดีเพราะวันนี้คนเข้ามาใช้โฆษณา Facebook ad มีจำนวนมาก และ Facebook เองก็ตั้งเพดานการเข้าถึงจำกัดมากขึ้นแม้จะจ่ายเงินก็ตาม ดังนั้นการอัดเงินค่าโฆษณานอกจากจะไม่ช่วยให้ยอดขายดีขึ้นแล้ว ยังจะทำให้คุณขาดทุนทางธุรกิจมากขึ้นด้วย

Problem

ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ Facebook ลดหรือจำกัดการเข้าถึงของ แฟนเพจ แต่อยู่ที่ผู้ประกอบการยังไม่รู้หรือยังไม่มีโอกาสได้ใช้เครื่องมือโฆษณาขั้นลึกของ Facebook เครื่องมือเหล่านี้ถูกสร้างมาเพื่อให้คุณสามารถ Customize กลุ่มเป้าหมายแบบเฉพาะเจาะจง และยิงเนื้อหาไปหากลุ่มนั้น ๆ โดยเฉพาะซึ่งจะแยกโฆษณาของคุณออกจากคู่แข่งที่แย่งกันยิงแบบ Boost Post ทั่ว ๆ ไป

Solution

หันมาใช้เครื่องมือโฆษณาของ Facebook ได้แก่ Website Custom Audience และ Lookalike Audience เพื่อสร้างกลุ่มเป้าหมายเฉพาะและยิงโฆษณาไปหากลุ่มนี้แทนการ Boost Post

การโฆษณาอย่างเฉพาะเจาะจง หรือ Re-targeting นั้นช่วยประหยัดงบค่าโฆษณาเพราะแทนที่จะยิงหว่านไปหาคน 1 ล้านคนเพื่อหาลูกค้าตัวจริงเพียง 10% คุณก็ยิงตรงไปหาคน 10% นั้นเลยด้วย Re-targeting ซึ่งใช้เงินน้อยกว่า และอัตราการผันจาก ‘ผู้พบเห็นเป็นผู้ซื้อ’ ก็มีโอกาสสูงขึ้น

สรุป

ต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับกลยุทธ์และวิธีทำโฆษณาแบบ Re-targeting สามารถเข้าชมวีดีโอความยาวเกือบ 1 ชั่วโมงเต็ม อธิบายเจาะลึกแบบเห็นภาพกันชัด ๆ ที่นี่ครับ

CEOblog How-to Facebook Fanpage Marketing