ตลอดปี ค.ศ. 2017 มีข่าวค้าปลีกรายใหญ่ในอเมริกาประกาศปิดสาขาไปมากมายไม่ว่าจะเป็น Wal-mart, Kmart, Sears, Mercy, Toy-R-Us อันเนื่องมาจากการสูญเสียศักยภาพในการแข่งขันให้กับฝั่ง E-commerce ไม่ว่าจะเป็น Amazon, Zappos, Alibaba และอื่น ๆ อีกมากมายที่เข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งและลูกค้าไปต่อหน้าต่อตา และล่าสุดก็มาถึงคราวของ ค้าปลีกเสื้อผ้าแฟชั่นที่ขึ้นชื่อว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงก็เริ่มได้รับผลกระทบจาก E-Commerce นั่นคือ H&M
Hennes & Mauritz หรือที่รู้จักกันในนาม H&M แบรนด์และร้านเสื้อผ้าแฟชั่นราคาถูกและเน้นหมุนเวียนเร็วสัญชาติสวีเดนที่มีสาขาไปทั่วโลก ประกาศผลการดำเนินงานปี 2017 โดยยอมรับว่าธุรกิจได้รับผลกระทบจาก E-Commerce อย่างมีนัยสำคัญ
Mr. Karl-Johan Persson, CEO ของ H&M แจ้งต่อสื่อมวลชนสหรัฐฯ ว่าผลการดำเนินงานของบริษัทน่าผิดหวังกว่าที่คาดการณ์ไว้ กำไรบริษัทในไตรมาสที่ 4 ของปี 2017 ลดลงถึง 33% ในขณะที่ยอดขายลดลง 2% ส่วนการคาดการณ์ยอดขายในไตรมาสแรกของปี 2018 ทาง H&M ยอมรับว่าก็จะไม่ดีขึ้นเท่าไรนัก
ทำไม H&M จึงประสบปัญหา
สาเหตุของผลประกอบการของหน้าร้านที่แย่ลงอย่างไม่มีท่าทีที่จะกลับมาดีในเร็ว ๆ นี้เกิดจาก คู่แข่งแบรนด์ Inditex เจ้าของเดียวกับแบรนด์ Zara เข้ามาชิงส่วนแบ่ง โดยทั้งสองแบรนด์รวมกันมีจำนวนมากกว่า 9605 สาขาในขณะที่ H&M มี 4553 สาขา นอกจากนั้นพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันไปซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น ผนวกกับ Amazon เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสรายใหญ่ก็หันมาจับแบรนด์แฟชั่นของตัวเอง ทำให้ตลาดแฟชั่นแข่งขันรุนแรงเป็นทะเลเดือด
จำนวนสาขาที่ เปิดใหม่ VS ปิดตัว ระหว่าง 1999-2018
ที่มา Bloomberg
H&M ปิดสาขาจำนวนมากที่สุดในรอบ 19 ปี
H&M มีแผนปิดสาขาจำนวน 170 สาขาในปี 2018 และจะเปิดเพิ่มอีก 390 สาขา ซึ่งแม้ดูจะเป็นตัวเลขการเปิดสาขาใหม่ที่ค่อนข้างมาก แต่ก็นับว่าเป็นการขยายสาขาจำนวนน้อยที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา ในขณะที่การปิด 170 สาขา เป็นการปิดสาขาจำนวนมากที่สุดในรอบ 19 ปี
ทั้งนี้ H&M มีแผนที่จะย้ายกลยุทธ์ไปขายผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้นโดยแพลทฟอร์มที่จะนำสินค้าไปขายคือ Tmall ของเครือ Alibaba Group
ข้อมูลเพิ่มเติม
การปิดตัวและกลยุทธ์ใหม่ของ Wal-mart
ความถดถอยอย่างกู่ไม่กลับของ Toy-R-Us
Amazon ลุยทำแฟชั่นแบรนด์ของตัวเอง