Alphabet บริษัทแม่ของ Google อยู่ในระหว่างการเจรจาที่จะลงทุน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อลงทุนใน Lyft จากรายงานของ Bloomberg ซึ่ง Lyft นั้นเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจแอปพลิเคชันเรียกรถแท็กซี่ แบบเดียวกับ Uber และถือเป็นคู่แข่งคนสำคัญ มียอดขายเป็นอันดับ 2 ในอเมริกา ส่วน Google นั้นได้เคยลงทุนใน Uber โดยผ่าน Google ventures แต่ในขณะเดียวกัน Google และ Uber ก็มีคดีความที่ฟ้องร้องกันอยู่ในเรื่องการขโมยทรัพย์สินทางปัญญา เกี่ยวกับรถยนต์ไร้คนขับ ของ Google ที่ถูกขโมยโดยอดีตวิศวกรและนำไปใช้กับ Uber
จึงทำให้ในขณะนี้ แม้ข่าวจะมีความน่าเชื่อถือ แต่ก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่า Google จะลงทุนใน Lyft ซึ่งเป็นคู่แข่งของ Uber ที่ตัวเองก็ลงุทนอยู่ ด้วยวิธีใด นักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์ว่า อาจจะใช้ Alphabet บริษัทแม่ลงทุนใน Lyft ก็เป็นได้
จุดแตกหักของ Uber และ Google
แม้ Google จะเป็นผู้ลงทุนใน Uber ถึง 258 ล้านดอลล่าร์ และเป็นกลุ่มแรก ๆ ก็ตาม แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองบริษัท เริ่มแปลเปลี่ยนจากพันธมิตรมาเป็นคู่แข่ง เมื่อ Uber เริ่มที่จะพัฒนารถยนต์ไร้คนขับด้วยตนเอง ซึ่งเป็นโปรเจ็คเดียวกันกับของ Google ที่ทาง Google ได้พัฒนามาอย่างยาวนาน และสุดท้ายก็มาถึงจุดแตกหักของ Google และ Uber เมื่อ Waymo บริษัทลูกของ Alphabet ได้ฟ้อง Uber กล่าวหาว่า อดีตวิศวกรของ Waymo ได้ขโมยความลับทางการค้าเกี่ยวกับรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองไปให้ Uber ซึ่งคดีนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณา Google จึงหันไปหา Lyft เพื่อร่วมกันพัฒนาระบบรถยนต์ไร้คนขับแทนที่ Uber ทันที
Lyft ได้เงินเพิ่มทุนไปแล้วกว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จากนักลงทุนหลายราย เช่น Alibaba Group Holding , General Motors, Rakuten และ กองทุนของ Andreessen Horowitz โดยมีมูลค่ารวม 7.5 พันล้านดอลล่าร์ และมีรายได้รวม 600 ล้านดอลล่าร์ ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ในขณะที่ Uber เป็นบริษัทที่มีมูลค่า 68,000 ล้านดอลล่าร์ แต่กำลังประสบปัญหาอย่างหนัก ทั้งในเรื่องคดีความฟ้องร้องกับ Google หรือปัญหาการปลดและลาออกของตำแหน่งผู้บริหารจำนวนมาก จากคดีล่วงละเมิดทางเพศพนักงาน และวัฒนธรรมองค์กรที่มีการเหยียดเพศ และยังต้องถูกตรวจสอบจากรัฐบาล 3 ประเทศในการดำเนินกิจการ และยังสูญเสียส่วนแบ่งรายได้ไปให้กับ Lyft เป็นจำนวนมากจากแคมเปญจ์ #DeleteUber
การร่วมลงทุนใน Lyft ของ Google ครั้งนี้ อาจจะทำให้อำนาจในการแข่งขันกับ Uber ของ Lyft และ Google เพิ่มขึ้นมาก โดย Lyft ที่มีแผนจะขยายตลาดออกไปนอกสหรัฐฯ จะสามารถบรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้น ในส่วนของ Google ก็จะมีโอกาสที่จะพัฒนาระบบ รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตนเอง เพื่อเข้าสู่เป้าหมาย แท็กซี่ไร้คนขับโดยผ่านเครือข่ายรถแท็กซี่ของ Lyft ด้วย
ตัวแปลเดียวของการลงทุนนี้อยู่ที่ SoftBank ที่มีความพยายามจะเข้าลงทุนใน Uber โดยยืนยันว่าต้องการถือครองหุ้นในสัดส่วนขั้นต่ำ 17.3% ซึ่งผู้ถือหุ้นเดิมต้องขายออกมา ซึ่งหากไม่มีใครขายให้ SoftBank ขู่ว่าจะย้ายไปลงทุนใน Lyft แทน ซึ่งหาก SoftBank ย้ายมาลงทุนใน Lyft ก็อาจจะต้องแข่งขันกับ Google ซึ่งอาจจะกระทบการเจรจาในดีลนี้