หลังจากที่ Facebook ได้ปล่อยฟีเจอร์ที่คล้ายกับแอปพลิเคชั่นโซเชียลมีเดียอื่นๆมากมาย เช่น snapchat ล่าสุดก็ถึงคิวของ Tinder แอปฯหาคู่ยอดนิยม เมื่อ Facebook ได้ทำการทดสอบฟีเจอร์ใหม่ที่ชื่อว่า “meet up” หรือ “นัดพบ”
Jacob Dube นักเขียนของ Motherboard ได้อัพเดทเรื่องราวนี้ลงในบทความของเขาว่า ตัวเขาได้รับการแจ้งเตือนในแอปฯ Facebook ว่า “(ชื่อของเพื่อน) และคนอีก 15 คน สนใจที่จะพบคุณในสัปดาห์นี้” ก่อนที่ Jacob จะกดเข้าไปและพบกับเพจที่มีรูปถ่ายของผู้ใช้คนหนึ่งบน Facebook และมีคำถามว่า “ต้องการจะพบกับ(ชื่อ) ในสัปดาห์นี้หรือไม่” พร้อมทั้งบอกด้วยว่าคำตอบจะเป็นความลับ(ในกรณีที่คุณกด No Thanks ยกเว้นทั้งสองฝ่ายจะกด Yes ทั้งคู่
โฆษกของ Facebook กล่าวกับ motherboard ว่า “ผู้คนมักใช้ Facebook ในการเตรียมแผนเพื่อนัดพบกับเพื่อน เราจึงทำการทดสอบขนาดเล็กในแอปพลิเคชั่น Facebook ก่อน” – การทดสอบนี้เป็นการทดสอบกับผู้ใช้จำนวนน้อย เฉพาะในโตรอนโต และนิวซีแลนด์เท่านั้น
ฟีเจอร์นี้จะยังไม่ได้แสดงหรือสื่อไปทางหาคู่ เพียงแต่อาจจะแนะนำให้เราออกไปเจอเพื่อน ๆ ใน Facebook ที่อยู่ใกล้เคียงกับเราเท่านั้น
ฐานผู้ใช้เกือบ 2 พันล้านคน จะทำอะไรก็ได้
ที่ผ่านมาฟีเจอร์เด่น ๆ จากหลาย ๆ แอปพลิเคชั่น ถูก Facebook จับมาใส่เป็นฟีเจอร์ของตัวเองมากมาย อย่าง Snapchat ที่โดน ก็อปปี้ฟีเจอร์สตอรี่ไปโผล่ใน Facebook Directs และ Instagram Stories เป็นการอัดคลิปวีดีโอสั้น ๆ และจะแสดงผลประมาณ 24 ชั่วโมงก่อนจะลบตัวเองออกไป และได้รับการตอบรับอย่างดีโดยเฉพาะ Instagram Stories ที่คนนิยมเล่นกันมากขึ้น หรือจะเป็นฟีเจอร์ Jobs ที่ออกมาแข่งกับ Linkedin โดยตรง และยังมี Facebook Watch ที่ตั้งใจแข่งกับ Youtube ที่จะแย่งครีเอเตอร์ด้วยการเสนอส่วนแบ่งรายได้จากค่าโฆษณาถึง 55% เรียกว่าท้าชนกับทุกคนในวงการกันเลยทีเดียว
และ Tinder ก็จะเป็นเหยื่อรายต่อไป หลังจากที่ Facebook ทดสอบฟีเจอร์ meet up นี้ ทุกคนต่างลงความเห็นว่า มันจะนำไปสู่การแมทชิ่ง หาคู่ในอนาคตอย่างแน่นอน เพราะโดยพื้นฐานแล้ว Tinder จับคู่และแนะนำผู้คนให้รู้จักกันได้ ก็โดยอาศัยฐานข้อมูลของผู้ใช้ Facebook ที่เปิดเป็นสาธารณะ แต่ถ้า Facebook ลงมาทำเองล่ะ? ข้อมูลทั้งหมด ทั้งที่เปิดสาธารณะหรือส่วนตัว Facebook สามารถรู้โดยละเอียด จนบางครั้งเจ้าตัวอาจจะแปลกใจว่า Facebook รู้จักตัวตนของเขาดีกว่าคนที่สนิทที่สุดด้วยซ้ำ
จากฐานข้อมูลของผู้ใช้จำนวนมหาศาลนี้ Facebook สามารถจะทำอะไรก็ได้ และสามารถจะดันให้มัน “เกิด” ได้ง่ายกว่า Start up เล็กๆ ที่ยังมีฐานผู้ใช้ไม่มากพอ
แม้เจ้าของ Snapchat จะเคยกล่าวว่า ไม่กลัวที่ Facebook จะลอกอะไรไปทำ เพราะแค่คุณมีช่องค้นหาก็ไม่ได้แปลว่าคุณเป็น Google (เป็นประโยคที่เสียดสี Facebook) แต่จากประโยคนี้เอง ก็ต้องกลับมาดูว่า หลังจากที่ Facebook มีฐานผู้ใช้มหาศาลเช่นนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะขึ้นไปอยู่บน Facebook และไปอยู่ในทุกที่ ทุกเวลา ผู้คนก็กลับมาค้นหาสิ่งต่างๆบน Facebook มากขึ้น ซึ่งนั่นเป็นผลกระทบที่แม้แต่ Google ยังปวดหัว
สิ่งเดียวที่ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เพียรพยายามทำมาโดยตลอดตั้งแต่ก่อตั้ง Facebook ก็คือการเพิ่มจำนวนผู้ใช้งาน Facebook ให้มากที่สุด ในช่วงเริ่มต้น Facebook ไม่มีรายได้เลย ไม่มีแม้แต่โมเดลการสร้างรายได้ แต่สามารถระดมทุนได้มากมาย และในวันที่ผู้ใช้ครบ 1 ล้านคน มาร์ก และพนักงานทุกคนแทบจะปิดบริษัทฉลอง และเมื่อครบ 100 ล้านคน โมเมนตัมก็เกิดขึ้น หลังจากทะลุ 1,000 ล้านคน Facebook กลายเป็นมหาอำนาจ และขณะนี้กำลังทะยานต่อไปถึง 2พันล้านคน ไม่มีอะไรมาหยุด Facebook ได้อีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่แค่เพียงจำนวนผู้ใช้งานเท่านั้น แต่ฐานข้อมูล ความสนใจ ความชอบ/ไม่ชอบ เป็นสิ่งที่ล้ำค่า ที่จะทำให้ Facebook สามารถนำข้อมูลไปสร้างผลิตภัณฑ์อีกมากมายได้ไม่รู้จบ และเชื่อว่า Facebook จะไม่หยุดแค่ meet up อย่างแน่นอน