นักวิเคราะห์พบข้อมูล Facebook ขึ้นค่าโฆษณา 122% ในปีเดียว

AdStage บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านซอฟต์แวร์วิเคราะห์สถิติการตลาดออนไลน์กลุ่ม Paid Marketing ได้พบสัญญาณการเคลื่อนไหวของราคาค่าโฆษณา Facebook อย่างมีนัยสำคัญ โดยมีการปรับราคาขึ้นเป็นจำนวนที่สูงสวนทางตัวเลข Impression ที่กลับลดลงอย่างต่อเนื่อง เปรียบเทียบปีต่อปี

ด้านล่างเป็นกราฟข้อมูลที่สำนักวิเคราะห์ AdStage นำมาเปิดเผยต่อสื่อผ่านเว็บไซต์ ReCode เมื่อต้นเดือน มีนาคม 2018 เผยให้เห็นว่าช่วงเวลาระหว่าง มกราคม 2017 ถึง มกราคม 2018 ค่าโฆษณา Facebook มีการปรับตัวขึ้น ๆ ลง ๆ แต่ในภาพรวมอยู่ในทรงขาขึ้น ในขณะที่ยอด Impression อยู่ในทรงลดลงอย่างต่อเนื่อง

ทาง AdStage คำนวณแล้วได้ผลลัพธ์ว่า ค่าโฆษณา Facebook ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 122% ปีต่อปี สำหรับระหว่างปี ค.ศ. 2017 – 2018 ในขณะที่ระหว่างปี ค.ศ. 2016 – 2017 ได้มีการปรับขึ้นเฉลี่ย 45% รวม 2 ปีปรับขึ้นไปแล้วเฉลี่ยประมาณ 167%

Source: https://www.datawrapper.de/_/GmfZE/

สาเหตุของการปรับราคาค่าโฆษณา Facebook

ช่วงก่อนปี ค.ศ. 2016 ทาง Facebook ประสบปัญหาการเติบโตของผู้ใช้งานเพิ่มขึ้นในอัตราลดลง ระยะเวลาในการใช้งานบน Facebook ที่เริ่มลดลง ส่งผลต่อ การเข้าถึง (Reach) และ การมองเห็น (Impression) สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากปริมาณของ ผู้โฆษณา หรือ Advertiser เพิ่มขึ้นอย่างมากจนทำให้ Newsfeed เต็มไปด้วยโฆษณา เหล่านี้เป็นตัวผลักผู้ใช้งานทั่วไปให้หนีจากแพลทฟอร์มโซเชียลมีเดียของ Facebook และเริ่มไปเล่นแพลทฟอร์มอื่น อาทิ Snapchat,Twitter มากขึ้น

Facebook จึงมีการปรับกลยุทธ์และ Algorithm ต่าง ๆ อย่างหนักหน่วงตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา ที่ไม่ใช่เพียงดึงคนกลับมา แต่ทำให้คนใช้เวลาอยู่บนแพลทฟอร์มมากขึ้น อาทิ การปรับ User interface ใหม่ให้ดูตื่นตาเป็นระยะ ๆ, การเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น การโพสต์ข้อความเป็นกระดานสีสันต่าง ๆ, การเพิ่มปุ่ม Emotion, การนำแอปพลิเคชั่นแบบเดียวกับ Snapchat Story มาใช้กับ Facebook ฯลฯ อื่น ๆ อีกมากมายตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

และอันที่ได้สร้างผลกระทบเป็นข่าวใหญ่ที่สุด คือ เมื่อ Mark Zuckerberg ออกมาประกาศว่า Facebook จะใช้นโยบาย Friend and Family First นำเสนอเรื่องราวของ เพื่อน พ่อ แม่ พี่น้อง และคนรักของผู้ใช้งานก่อน ส่วน โพสต์จากแบรนด์ และแฟนเพจต่าง ๆ จะถูกปรับลดการมองเห็นลงไป

นโยบายนี้ส่งผลกระทบต่อแบรนด์ และแฟนเพจอย่างชัดเจน และเป็นวงกว้าง ทำให้แบรนด์ต่าง ๆ ต้องพัฒนากลยุทธ์ Content marketing ของตนบนโซเชียลมีเดียตัวนี้ให้มีคุณภาพมากขึ้น ควบคู่ไปกับการซื้อโฆษณา Facebook บ่อยขึ้น หรือด้วยเงินจำนวนมากขึ้น

แต่ในขณะเดียวกัน คนทำธุรกิจหน้าใหม่ รายย่อย และอาจรวมไปถึงมือสมัครเล่นที่หวังจะมาใช้ Facebook ค้ากำไรระยะสั้นก็จะเริ่มหายไปจาก Facebook เพราะไม่มีกำลังในการซื้อโฆษณาจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง คงเหลือไว้สื่อ แบรนด์ ใหญ่ ๆ ที่มีกำลังเงินหนา และการทำสื่อโฆษณาที่มีคุณภาพมากขึ้น

ผลลัพธ์จากนโยบายการปรับ Facebook Newsfeed ของ Mark Zuckerberg

ปัญหาที่เล่ามาข้างต้น ส่งผลให้ผู้ใช้งานทั่วไปใช้เวลาอยู่บน Facebook น้อยลง การเห็นโฆษณา (Ad Impression) ก็น้อยลง และเมื่อ Mark Zuckerberg มีการปรับกลยุทธ์ใหม่ ๆ ส่งผลให้ Ad Impression หรือ จำนวนผู้ใช้งานทั่วไปที่มองเห็นโฆษณาจากแบรนด์ ในไตรมาส 3 ปี 2017 ปรับตัวขึ้น 10% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และในไตรมาส 4 ปี 2017 ปรับขึ้นอีก 4% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

Facebook ยังคงมีรายได้เพิ่มต่อเนื่องจากการขายพื้นที่โฆษณา

อย่างไรก็ดี แม้จะประสบปัญหาที่เล่ามาทั้งหมดในข่าวนี้ แต่ผลประกอบการของ Facebook ก็ยังปรับตัวสูงขึ้นอย่างฉุดไม่อยู่ โดยรายได้จากค่าโฆษณา ไตรมาส 3 ปี 2017 อยู่ที่ 10,100 ล้านเหรียญ ตามมาติด ๆ กับไตรมาส 4 ปี 2017 พุ่งขึ้นมาเป็น 12,800 ล้านเหรียญ แม้ Ad Impression จะโตขึ้นในอัตราลดลงจากไตรมาสก่อนก็ตาม

Ad Impression ลดลง แต่รายได้จากค่าโฆษณาสูงขึ้น เหตุผลนั้นไม่ต้องสืบเลยว่าเกิดจากการ เก็บเงินค่าโฆษณาจากแบรนด์ต่าง ๆ สูงขึ้นนั่นเอง พร้อมกันนี้ AdStage ยังแย้มอีกว่า ย่างเข้าปี 2018 เฉพาะเดือน กุมภาพันธ์ เพียงเดือนเดียว ค่าโฆษณา Facebook แอบปรับราคาขึ้นไปอีก 77% ในเดือนเดียว

นี่คือสัญญาณว่า ค่าโฆษณาของโซเชียลมีเดียค่ายนี้มีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง

Source: https://www.datawrapper.de/_/1OZ7z/

อ่านรายงานสำคัญเกี่ยวกับ Facebook Algorithm ที่นี่

Facebook ปรับ Algorithm เพื่อจำกัดโพสต์ประเภท Enagement Bait ออกจาก Newsfeed

Facebook กับรายงานการปรับ Algorithm สำคัญตลอดปี 2017 และต่อเนื่องยังปี 2018