The 4-Hour Work กับคุณต่อ ปฐมภู เจ้าของ EMS Buddy

sms-in-iphone5-with-TEXT-BIGG

1. EMS BUDDY คืออะไร และสร้างผลลัพธ์อะไรให้ชีวิตคุณต่อในปัจจุบัน?

EMS BUDDY เป็นบริษัท Tech-Startup ที่มีผู้ก่อตั้งและดำเนินกิจการด้วยพนักงานเพียง 1 คน มีชั่วโมงทำงานเฉลี่ยวันละ 1-3 ชั่วโมง และส่วนมากจะเป็นช่วง 15:00 – 18:00 น. เพราะเป็นรูปแบบการทำธุรกิจทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนอินเตอร์เน็ตจึงไม่จำเป็นต้องมีสำนักงานหรือออฟฟิศ ดังนั้นสถานที่ทำงานของผมส่วนใหญ่ จึงมาจากการนั่งทำงานจากในร้านกาแฟครับ

EMS BUDDY คือระบบแจ้งหมายเลขพัสดุไปรษณีย์ ให้กับผู้รับปลายทางผ่านทาง SMS ที่มาพร้อมกับความสามารถในการอัพเดทสถานะ การจัดส่งสินค้าแบบอัตโนมัติตลอดเส้นทาง ผู้รับปลายทาง (ลูกค้าของคุณ) จะรับทราบทันทีที่สินค้าได้จัดส่งออกมาแล้ว พร้อมกับการสร้างความประทับใจต่อเนื่อง ด้วยการแจ้งบอกตำแหน่งของสินค้าให้ทราบตลอดการจัดส่ง

ด้วยระบบ EMS BUDDY นี้จะทำให้คำถามที่น่ารำคาญของคนทำธุรกิจขายของออนไลน์แต่ต้องเจอทุกวัน อย่างเช่น “เลขพัสดุอะไร?” หรือ “วันนี้ส่งของให้แล้วหรือยัง?” จะหมดไปทันทีนั่นเองครับ

จากสิ่งที่ผมทำขึ้นมา ในตอนนี้ก็แทบจะเรียกได้ว่าผมมีความสุขกับการทำงานกับ EMS BUDDY มากพอสมควรครับ ระดับความเครียดความกดดันก็แตกต่างกับตอนสมัยทำงานประจำมากพอสมควร ถึงแม้ว่าจะเริ่มต้นจากธุรกิจเล็กๆ แต่ด้วยระบบอย่าง EMS BUDDY ของผมนี้ ก็ได้มีโอกาสได้เข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาประจำวัน ให้กับเจ้าของร้านค้าออนไลน์อีกหลายร้อยคน อีกทั้งยังมีส่วนช่วยสร้างรอยยิ้มให้กับลูกค้าในแต่ละธุรกิจอีกด้วย และยิ่งไปกว่านั้นการที่ร้านค้าต่างๆนำรอยยิ้มที่ได้รับมาจากลูกค้านำมาส่งต่อให้กับทางเรา มันเป็นความรู้สึกที่พิเศษมากจริงๆครับ

IMG_0684
บรรยากาศการทำงานในช่วงบ่ายๆ ในร้านกาแฟ

2 ก่อนหน้านั้นทำงานอะไร?

สมัยที่ผมยังทำงานประจำ ผมทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ให้กับบริษัทเอกชนในตำแหน่ง Web Developer ครับ แต่ก็ยังเลือกที่จะทำงาน Freelance เพื่อเป็นอาชีพเสริมไปด้วยนอกเหนือจากงานประจำ (ซึ่งการทำ Freelance นี้ผมทำมาตั้งแต่สมัยยังเรียนปริญญาตรีอยู่แล้ว) และเนื่องจากผมเป็นคนที่ไม่ค่อยเที่ยวหรือสังสรรค์อะไรเท่าไหร่ จึงทำให้หลังจากเลิกงานและในช่วงเสาร์อาทิตย์จึงทำให้ค่อนข้างมีเวลาพอสมควร

ในช่วงที่เว้นว่างจากงานของ Freelance ผมเองก็เคยพัฒนาระบบสำหรับบริษัทธุรกิจเครือข่ายบริษัทหนึ่งขึ้นมา โดยเน้นให้บริการกับสมาชิกบริษัทเครือข่ายดังกล่าว (ปัจจุบันระบบดังกล่าวผมได้ขายกิจการไปเรียบร้อยแล้ว) ถึงแม้ว่าจะมีระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนที่ผมได้ดูแลระบบนี้อยู่ แต่ระบบที่ผมพัฒนาขึ้นในตอนนั้นก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นธุรกิจอย่างแรกๆที่ทำให้ผมได้เริ่มเข้ามารู้สึกถึงการเป็นเจ้าของธุรกิจของตัวเองก็ว่าได้ครับ

3 รู้สึกอย่างไรกับงานประจำที่ทำจึงได้คิดที่จะลาออกมาทำธุรกิจส่วนตัว?

ส่วนตัวแล้วการทำงานประจำสำหรับผม คือสถานที่ที่จะช่วยเพิ่มทักษะความรู้ความสามารถในด้านต่างๆของผมมากกว่าครับ เพราะผมเองไม่เคยมองว่าการทำงานประจำเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้เป็นรายได้หลักตั้งแต่แรกอยู่แล้วด้วย (ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงผมมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับบริษัทเก่าของผมนะ ผมผูกพันกับที่นั่นมากเลยหละ) แต่ในไม่ช้าก็เร็วผมเองจะต้องมีธุรกิจเป็นของตัวเองให้ได้อยู่ดี ผมมีความฝันตั้งต้นมาแบบนั้นครับ

ประกอบกับผมสนใจการทำธุรกิจอินเตอร์เน็ตมาตั้งแต่สมัยยังเรียนมัธยมแล้วด้วย และพยายามที่จะมองหารูปแบบธุรกิจที่เหมาะสมกับตัวผมเองอยู่ตลอด จากจุดเริ่มต้นของความรู้สึกที่คิดว่า “มันเท่ห์!” ที่จะมีธุรกิจอะไรซักอย่างที่ช่วยทำรายได้เข้ามาให้เราได้ตลอดเวลาทั้งๆที่ยังเรายังนอนพักผ่อนอยู่นั่นเอง ผมได้เห็นกรณีศึกษาจากต่างประเทศมามากพอสมควรจึงเกิดเป็นแรงบันดาลใจนี้ขึ้นมา ซึ่งคำตอบทั้งหมดก็มาลงเอยที่การทำธุรกิจบนอินเตอร์เน็ตนั่นเองครับ

4. ก้าวแรกในการทำ ธุรกิจ/ธุรกิจอินเตอร์เน็ต เริ่มต้นจากการทำเงินด้วยอะไร และประสบผลลัพธ์อย่างไร?

ผมเริ่มสนใจธุรกิจอินเตอร์เน็ตตั้งแต่อายุ 13 และพยายามศึกษาการทำธุรกิจบนอินเตอร์เน็ตรูปแบบต่างๆเรื่อยมาจนกระทั่งอายุ 14 ปี กว่าจะได้เริ่มต้นทดลองทำธุรกิจผ่านอินเตอร์เน็ตเป็นครั้งแรก ทั้งที่อยากจะเริ่มลองทำตั้งแต่อายุ 13 สาเหตุเพราะอายุยังน้อยเกินไปเจ้าหน้าที่ธนาคารในขณะนั้นจึงไม่เชื่อถือ จึงทำให้ผมไม่สามารถสมัครบริการบัญชีธนาคารออนไลน์ในขณะนั้นได้ และในตอนที่สมัครผ่านแล้ว ยังจำได้ว่าพนักงานสาขาแอบมาบอกว่าผมเป็นรหัสอันดับแรกๆของภาคเหนือเลยทีเดียว (ขนาดที่ว่าผู้จัดการสาขาในขณะนั้นยังไม่รู้จักบริการนี้ กว่าจะสมัครผ่านก็อธิบายกันนานพอสมควร)

ธุรกิจอินเตอร์เน็ตแรกที่ผมทำคือการขายของบน eBay ครับ และสินค้าชิ้นแรกที่ผมลงนำประมูลขายก็คือ Digimon Device Ver.1 (ของเล่นของผมเองในขณะนั้น) และผลลัพธ์ก็เรียกได้ว่าประสบผลสำเร็จเกินคาดเลยทีเดียว เพราะในสมัยนั้นผมซื้อของเล่นชิ้นนี้มาด้วยราคา 350 บาท หลังจากที่ผมลงประมูลเป็นระยะเวลา 7 วัน ก็มีชาวต่างชาติเข้ามาร่วมประมูลเป็นระยะ จนสุดท้ายสามารถปิดประมูลไปด้วยราคาถึง 900 บาท (กำไรกว่า 250%) ซึ่งถือว่าเกินคาดของผมไปมากพอสมควร

เพราะเป็นของมือสองที่ผ่านการใช้งานมาอย่างสมบุกสมบัน และในบ้านเราราคาของเล่นมือสองแบบนี้ในตอนนั้นจะมีราคาอยู่ราวๆ 100-200 กว่าบาทเท่านั้นเอง แถมผมเองยังถ่ายรูปไม่เก่ง เลยลงรูปภาพสินค้าไปแค่รูปเดียว เขียนอธิบายสินค้าก็ยังใช้ดิกชั่นนารีเปิดแปลกันคำต่อคำ ซึ่งตอนกดตัดสินใจลงขายยังนึกอยู่เลยว่าคงขายไม่ออกแน่ๆ

แต่สิ่งที่น่าสนใจมากไปกว่านั้น คือฝรั่งคนที่ชนะประมูลของผมไป ในสัปดาห์ถัดมาได้นำรูปสินค้าที่ผมเป็นคนถ่ายนำมาลงประมูลอีกครั้ง และปิดประมูลไปด้วยราคาถึง 2,000 กว่าบาท! (ในตอนนี้ราคาน่าจะอยู่ที่ 4,000 – 5,000 บาทแล้ว) ซึ่งจากเหตุการณ์นี้ทำให้ผมได้เรียนรู้เทคนิคการทำธุรกิจบนอินเตอร์เน็ตเพิ่มขึ้นอีกหลายอย่างเลยทีเดียว

หลังจากนั้นผมก็คร่ำหวอดอยู่กับวงการขายของออนไลน์กับต่างประเทศมาตลอดตั้งแต่ตอนนั้น แล้วก็อาศัยรายได้จากการทำธุรกิจนี้ช่วยเป็นค่าใช้จ่ายทางการศึกษาเรื่อยมาจนผมเรียนจบปริญญาตรี รายได้ที่ได้มาก็มีมากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่สินค้าและช่วงเวลาในขณะนั้นครับ

สินค้าที่ผมได้เคยลองนำมาลงขายก็คิดว่าหลากหลายพอสมควรครับ นับตั้งแต่สินค้าหัตถกรรมพื้นบ้านของจังหวัดของผมเอง ไปจนถึงของกินของใช้ ของแต่งบ้าน เสื้อผ้ารองเท้า ฯลฯ โดยยังเน้นการลงขายสินค้าไปต่างประเทศบน eBay เป็นส่วนใหญ่ เพราะในสมัยนั้นการซื้อขายของบนอินเตอร์เน็ตสำหรับคนไทยแล้ว ยังถือเป็นเรื่องไกลตัวเอามากๆ คนไทยในตอนนั้นยังไม่กล้าซื้อสินค้าที่ไม่ได้เห็นของจริง ซึ่งค่อนข้างผิดกับที่ต่างประเทศ

ผมทำธุรกิจขายของออนไลน์บน eBay จนมาถึงเรียนจบปริญญาตรีแล้วก็เลิกทำไปครับ เพราะผมในตอนนั้นสนใจลักษณะการทำงานที่ได้ใช้ความรู้ความสามารถจากที่ผมได้เรียนมากกว่า (ผมเรียนจบวิทยาการคอมพิวเตอร์) และประกอบกับถ้าทำงานประจำแล้วคงไม่มีเวลามานั่งตอบคำถามให้กับลูกค้าต่างประเทศที่มีเวลา Timezone ตรงกันข้ามกับบ้านเราแน่ๆ (กลางคืนของเราเป็นกลางวันของเขา) จึงได้ยุติการทำธุรกิจกับ eBay ไปตั้งแต่ตอนนั้นครับ

5. ค้นพบไอเดียทำ EMS BUDDY ได้อย่างไร?

ที่จริงแล้ว EMS BUDDY เกิดขึ้นมาได้ต้องขอขอบคุณความขี้เกียจในตัวผมในวันนั้นล้วนๆเลยครับ เพราะแรกเริ่มที่ออกมาจากงานประจำ ผมไม่ได้ตั้งใจจะเปิดเป็น Tech-Startup อะไรแบบในตอนนี้หรอกนะครับ แต่ผมคิดจะสร้างรายได้จากการออกแบบ Template เว็บไซต์แล้วนำขึ้นไปขายบนตลาดที่ Themeforest.com เท่านั้นเอง ในตอนนั้นได้รับแรงบันดาลใจจากคนไทยที่กำลังสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำจากโมเดลธุรกิจนี้

แต่เพราะแค่คิดว่าเท่านั้นเองนั่นแหละครับ จนมาลองได้ลงมือทำจริงแล้วถึงได้รู้ว่ามันไม่ง่าย! ไม่ง่ายเลยที่ว่ากว่าจะทำเสร็จซักชิ้นแล้วสามารถขึ้นนำออกขายได้ ต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนมากๆ ที่ซึ่งสุดท้ายก็ต้องมานั่งลุ้นกันต่อว่าจะได้รับการอนุมัติหรือเปล่า แล้วการที่ต้องผ่านขั้นตอนมากมายขนาดนั้นจึงทำให้ผมคิดได้ทันทีว่ากว่ารายได้จะเข้ามา ตอนนั้นผมคงไม่มีอะไรตกถึงท้องไปแล้วแน่ๆ

ตอนนั้นจึงต้องรีบตื่นจากฝันแล้วกลับสู่สามัญ คือต้องหารายได้ช่องทางอื่นเข้ามาเลี้ยงปากท้องกันก่อน ซึ่งผมกับแฟนจึงเลือกที่ใช้สิ่งที่พวกเรามีทักษะและประสบการณ์และความสนใจในด้านนี้อยู่แล้ว นั่นก็คือการขายของออนไลน์ (พวกเราตัดสินใจลาออกจากงานประจำในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน เพื่อออกมาทำตามความฝันในสิ่งที่พวกเราอยากทำครับ นั่นคือการมีธุรกิจเป็นของตัวเองที่สามารถมีวันหยุดพักผ่อนได้มากกว่าแค่วันเสาร์อาทิตย์)

หลังจากเริ่มต้นหาสินค้ามาขายออนไลน์และด้วยเพราะเป็นสินค้าที่อยู่ในกระแสที่ได้รับความนิยม พวกเราจึงสามารถสร้างรายได้พร้อมกับจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องได้อย่างไม่ยากเย็นอะไรมากนัก

พอเริ่มขายดีมากขึ้น ลูกค้าเริ่มให้ความสนใจร้านค้า จึงทำให้เริ่มมีโอกาสได้เจอลูกค้าหลากหลายประเภทมากขึ้น แล้วปัญหาเล็กๆที่มันดูเหมือนไม่น่าจะเป็นประเด็นอะไรก็ได้เกิดขึ้น นั่นคือ เริ่มมีลูกค้าที่เพิ่งเคยสั่งซื้อสินค้าออนไลน์เป็นครั้งแรกเข้ามามากขึ้น จึงทำให้ผมได้รับคำถามที่ว่า “จะส่งให้จริงหรือเปล่า?” “เลขพัสดุคืออะไร?” “ตอนนี้ของอยู่ที่ไหนแล้ว?” คำถามเหล่านี้เพิ่มขึ้นถี่มาก ถ้าเป็นคนอื่นก็อาจแค่ตอบลูกค้ากลับไป แต่สำหรับผมแล้วค่อนข้างทำให้หงุดหงิดและเสียสมาธิจากการทำงานอื่นๆมากเลยทีเดียวครับ

“เพราะผมขี้เกียจ” ขี้เกียจที่จะต้องมาคอยตอบคำถามพวกนี้ซ้ำๆทุกวัน คือร้านเราส่งของจริงและส่งไปแล้ว แต่ลูกค้าก็กังวลว่าจะไม่ได้รับสินค้า เลยยังต้องเข้ามาถามกับทางร้านทุกวัน ผมจึงเริ่มคิดที่จะพัฒนาระบบอะไรซักอย่างขึ้นมาช่วยผมทำงานในส่วนนี้ เพื่อที่ผมจะได้มีเวลาไปทำงานในส่วนอื่นบ้าง ความขี้เกียจในวันนั้นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของ EMS BUDDY วันนี้ครับ

อันที่จริงแล้วผมเองเพิ่งมารู้ทีหลังด้วย ว่าในต่างประเทศมีระบบแบบนี้ให้บริการอยู่เป็นเวลานานแล้ว แต่เมืองไทยของเรายังไม่เคยมี! พอรู้แบบนั้นผมจึงเริ่มเกิดความคิดที่จะเปลี่ยนระบบที่ตอนแรกออกแบบขึ้นมาเพื่อใช้งานส่วนตัว เปลี่ยนมาเป็นภาพความคิดที่ใหญ่มากขึ้น ด้วยการเปิดให้บริการกับร้านค้าคนอื่นๆที่ประสบปัญหาแบบเดียวกับผม ให้ได้เข้ามาร่วมใช้งานด้วย

เพราะผมค่อนข้างแน่ใจมากเลยทีเดียวว่าผมไมได้เจอปัญหานี้คนเดียว ร้านค้าออนไลน์ที่มียอดขายมากกว่าของผมในตอนนั้น จะต้องเจอปัญหาแบบเดียวกันอยู่นี้เป็นแน่ และจากความคิดจากตรงนี้ จึงทำให้เริ่มมองเห็นโอกาสในความเป็นไปได้ทางธุรกิจ จึงทำให้ระบบ EMS BUDDY กลายเป็นระบบติดตามสถานะพัสดุอัตโนมัติ รายแรกของประเทศไทยนั่นเองครับ

6. หลังจากตัดสินใจว่าจะเดินหน้าไปกับไอเดีย EMS BUDDY ขอให้เล่าภาพรวมในการลงมือทำงานจากก้าวแรกจนถึงเปิดตัวผลิตภัณฑ์

เดิมทีผมทำงานอยู่ที่กรุงเทพ แต่เพราะการจะเริ่มต้นทำธุรกิจขึ้นมาซักอย่างมันจำเป็นต้องมีเงินทุน และเงินทุนของผมก็คือเงินเดือนเดือนสุดท้ายที่ผมได้รับมาตอนลาออกจากงานประจำ ผมจึงต้องการลดค่าใช้จ่ายให้ได้มากที่สุด แต่ก็ยังต้องไม่ถึงกับกินอยู่อย่างอนาถอะไร ผมจึงเลือกกลับมาอาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ครับ เพราะเป็นจังหวัดที่ค่าครองชีพยังไม่สูงมากนัก และก็มีระดับความเจริญทางเศรษฐกิจที่มากพอสมควรเลย ด้วยเหตุผลดังกล่าวผมจึงคิดว่าที่จังหวัดเชียงใหม่เหมาะกับการเริ่มต้น Startup ที่มีเงินทุนไม่มากนักนั่นเองครับ (ที่จริงแล้วผมเติบโตมาจากจังหวัดแพร่ การกลับขึ้นมาอยู่ใกล้บ้านแบบนี้ก็ถือเป็นเรื่องดีกว่าตอนทำงานอยู่ที่กรุงเทพด้วยเช่นกัน)

ในช่วงเริ่มต้นของ EMS BUDDY งานชิ้นไหนที่ผมไม่ถนัดก็ให้จะเป็น Outsource เกือบจะทั้งหมดครับ แทนที่ผมจะพยายามทำสิ่งที่ไม่ถนัดด้วยตัวเอง เพราะใช้เวลาทำน้อยกว่าและงานก็ออกมาดีกว่าด้วย

เกือบทั้งหมดของการทำงาน จะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติที่ผมพัฒนาขึ้นมา เพื่อให้ทำงานแทนผมตลอด 24 ชม. หน้าที่หลักของผมคือการช่วยตอบข้อสงสัยให้กับลูกค้า และคอยตรวจสอบการแจ้งโอนเงินของลูกค้าเท่านั้น ส่วนเรื่องการทำบัญชี ผมก็ให้เป็นหน้าที่ของบริษัทรับทำบัญชี เพราะผมเรียนจบทางด้านคอมพิวเตอร์ ทักษะโปรแกรมมิ่งเต็มร้อย แต่ความรู้ทางบัญชีแทบจะเป็นศูนย์ จะไปนั่งเรียนเพิ่มก็คงไม่ไหว

แต่กว่าจะได้เริ่มเปิดตัวให้บริการ EMS BUDDY ผมเองก็ใช้เวลาศึกษาค้นคว้ารูปแบบการทำงานและใช้เวลาพัฒนาระบบนี้ขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างถึง 2 เดือนกว่าจะได้เริ่มเปิดให้บริการเป็นครั้งแรกครับ (EMS BUDDY เปิดให้บริการวันแรกเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2556)

IMG_0348
บรรยากาศห้องทำงานของ Founder ในช่วง Startup!

7. คนในครอบครัวและคนรอบข้างคิดอย่างไรกับสิ่งที่คุณทำ

“กลับไปทำงานประจำเถอะ มันไม่มั่นคง และไม่มีอะไรแน่นอน” คือประโยคที่ผมมักจะได้ยินบ่อยๆเวลาที่ทางบ้านถามถึงสิ่งที่ผมกำลังทำ แน่นอนเพราะการที่ผมเป็นลูกชายคนโตของครอบครัวจึงมักจะถูกตั้งความหวังในหลายๆอย่าง (และหลายครั้งผมเองก็คิดว่าทำให้ผิดหวังอยู่บ่อยๆด้วยเหมือนกัน) และยิ่งการที่ผมตัดสินใจออกมาเดินทางแบบนี้ย่อมไม่มีใครเห็นด้วยกับผมอย่างแน่นอน

“ถ้าเราไม่ทำโปรเจคนี้ เราก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นยังไงต่อ (คงเหมือนอีกหลายไอเดียที่เคยผ่านเข้ามา แต่ไม่ยอมลงมือทำ แล้วจนในที่สุดคนอื่นได้ไอเดียนั้นไป และสุดท้ายคงโดนที่บ้านให้กลับไปทำงานประจำเหมือนเดิม) แต่ถ้าเราลงมือทำมันลงไป ผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไงก็ไม่รู้ บางทีอาจจะเติบโตแบบก้าวกระโดด หรือตกลงมาเจ๊งไม่เป็นท่า แต่ที่แน่ๆคงเสียใจน้อยกว่าถ้าตอนนี้ไม่ได้ทำ”

ในวันที่ผมคิดได้แบบนี้ ผมจึงตัดสินใจลองคุยกับทางบ้านครับ ผมพยายามอธิบายให้เห็นภาพของสิ่งที่ผมกำลังจะทำอยู่นานพอสมควร แต่ก็ไม่ค่อยมีใครเข้าใจเท่าไหร่ สุดท้ายจึงออกมาเป็นข้อตกลงกันว่า ที่บ้านจะให้เวลาผมพิสูจน์ความคิดนี้เป็นระยะเวลา 6 เดือน ที่จะต้องทำให้เกิดรายได้เท่ากับหรือมากกว่าจากตอนที่ยังทำงานประจำ ถ้าไม่อย่างนั้นต้องกลับมาช่วยบริหารงานที่บ้านหรือกลับไปทำงานประจำ ซึ่งผมยอมรับว่าเป็นข้อตกลงที่อันตรายพอสมควรกับการทำธุรกิจ Startup ที่มีเงินทุนตั้งต้นจากแค่เงินเดือนเดือนสุดท้ายเท่านั้นเอง (จากวันนั้นถึงตอนนี้ EMSBUDDY ก็กำลังจะมีอายุครบ 1 ขวบครับ)

8. มีการทำการตลาดอย่างไร

เนื่องจากไม่มีเงินทุนมากพอที่จะจ้าง Sale มาช่วยนำเสนอขาย ในช่วงแรกของ EMS BUDDY ผมจึงอาศัยวิธีการติดต่อเข้าไปนำเสนอระบบกับเจ้าของร้านค้าออนไลน์ทีละรายๆครับ ประมาณว่าเดินเข้าไปเสนอขายแบบ Hard Sell เลย ร้านค้ารายไหนเข้าใจมองเห็นปัญหาหรือกำลังเจออยู่ก็ตัดสินใจสมัครแทบจะทันที แต่ก็มีบางส่วนที่ยังไม่เข้าใจและมองเป็นภาระค่าใช้จ่ายมากกว่าเป็นการลงทุนซื้อเวลา

หลังจากได้ลองติดต่อลองพูดคุยกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น จึงทำให้ได้เรียนรู้และรู้จักคนที่จะมาเป็นลูกค้าของเรามากขึ้น ทีนี้จึงทำให้ผมเริ่มที่จะดูออกว่าร้านค้าลักษณะแบบไหนที่ควรจะเข้าไปนำเสนอหรือแบบไหนที่มองว่ายังไม่ถึงเวลา ซึ่งมันช่วยให้ผมระบุกลุ่มเป้าหมายของผมได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น พอเรารู้กลุ่มเป้าหมายของเราแล้ว ก็ทำให้การทำตลาดในลำดับถัดมามีประสิทธิภาพมากขึ้นครับ นั่นคือการเน้นลงโฆษณาใน Social Network เฉพาะแค่กับกลุ่มเป้าหมายของเราเท่านั้น ไม่ได้ยิงกราดออกไปเหมือนบริษัทใหญ่ๆเขาทำกัน แต่ทุกวันนี้ลูกค้ากว่า 40% ที่ใช้งานระบบของเราอยู่ก็จะมาจากการแนะนำปากต่อปากเข้ามามากกว่าครับ

9. ผลตอบรับที่ได้จากการเปิดให้บริการ EMS Buddy ออกสู่ตลาด

หลังจากที่เริ่มเปิดตัว EMS BUDDY ออกสู่ตลาดก็ถือว่าได้รับเสียงตอบรับค่อนข้างดีเลยทีเดียวครับ ร้านค้าที่เป็นสมาชิกของเราส่วนใหญ่ก็มักจะได้รับ feedback เกี่ยวกับการใช้ระบบ EMS BUDDY มาจากลูกค้าเพิ่มมากขึ้น เห็นทางร้านก็ดีใจ ทางผมเองก็มีความสุขครับ เพราะถือว่าได้ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ครับ เพราะว่าระบบ EMS BUDDY ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเน้นแก้ไขปัญหาให้คนอื่นมากกว่าเน้นสร้างผลกำไรมาตั้งแต่แรก และอาจเพราะผมเน้นบริหารงานในลักษณะแบบครอบครัวที่สมาชิกทุกคนสามารถเข้าถึงตัวผมได้ง่ายมากกว่าการดำเนินงานเป็นรูปแบบบริษัทจ๋า จึงทำให้ทุกวันนี้เจ้าของร้านค้าหลายคนก็ได้เปลี่ยนจากคู่ค้าและกลายมาเป็นเพื่อนกันซะมากกว่าแล้วหล่ะครับ

sample-review-horz
ผลตอบรับจากลูกค้า

10. แผนงานปี 2015 เป็นต้นไปกับ EMS BUDDY

ในช่วงปี 2014 ที่ผ่านมาทาง EMS BUDDY ได้เติบโตขึ้นมามากพอสมควรจากจุดที่เริ่มต้นเอาไว้ในตอนแรก ระบบอัลกอริทึ่มของระบบเองก็ได้พัฒนาขึ้นมามาก ผมได้เรียนรู้รูปแบบการให้บริการที่เหมาะสมกับคนไทยและเทคนิคอีกหลายๆอย่าง ซึ่งสำหรับแผนงานในปี 2015 นี้คงเป็นช่วงที่ธุรกิจการขายของออนไลน์ในเมืองไทยน่าจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมากกว่าปีไหนๆ ในจุดนี้ผมจึงคิดว่าคงยังเน้นหนักไปทางขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มมากขึ้นและเปิดตัวระบบออกสู่สาธารณะเพิ่มมากขึ้นครับ นอกจากนั้นคงจะพัฒนาระบบให้มีความทันสมัยและอำนวยความสะดวกให้กับสมาชิกควบคู่ไปด้วยกันครับ และถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดในปี 2016 ผมวางแผนที่จะขยับขึ้นไปให้บริการในระดับภูมิภาค AEC ด้วย (แต่ในตอนนั้นคงต้องขยายทีมงานเพิ่มมากกว่านี้)

11. ข้อคิดดีๆ ที่อยากฝากถึงคนรุ่นใหม่อยากเป็นนายตัวเอง เพื่อเป็นแรงบันดาลใจสู่การทำธุรกิจส่วนตัว

S__17899527“รีบเจ๊งให้มากพอในตอนที่เรายังมีโอกาสครับ!” คิดไอเดียอะไรได้ ลองเขียนเป็นแผนธุรกิจออกมาเลย ถ้าวางแผนแล้วมันมองเห็นช่องทางทำเงิน ก็ลงมือทำเลยครับ อย่าไปกลัว เพราะสำหรับคนที่อยากเป็นเจ้าของธุรกิจตั้งแต่อายุยังน้อย การมีโอกาสได้ลองเริ่มลองทำและได้ลองล้มก่อนคนอื่น จะช่วยให้เรามีประสบการณ์จากเรื่องราวเหล่านั้นมากกว่าคนที่มัวแต่กลัวจนไม่ได้ลองทำอะไรซักที

พอเมื่อเรามีอายุมากขึ้น ต่างคนก็จะเริ่มมีภาระมากขึ้น มีครอบครัวต้องดูแล ต้องกลายเป็นเสาหลักของทางบ้าน อะไรแบบนี้ ถ้ามาถึงตรงจุดนี้กันแล้ว มันจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับที่จะทำธุรกิจอะไรที่อยากทำแล้วไม่ให้มันเจ๊ง โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยทำอะไรมาก่อนเลย การมาล้มตอนอายุมากๆนี้ไม่ได้เดือดร้อนแค่ตัวเราอย่างแน่นอน เพราะมันหมายถึงคนที่อยู่ข้างหลังของเราด้วย แต่ถ้าเราได้ลองทำตั้งแต่อายุยังน้อย พอล้มลงก็แค่ลุกแล้วเริ่มใหม่ ระดับความเสียหายมันต่างกันครับ

ก่อนหน้านี้ผมเองก็เคยทำมาแล้วหลายธุรกิจ ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เจ๊งมากกว่า 10 ธุรกิจ จนบางทีก็ขี้เกียจนับแล้วเหมือนกันว่าล้มเหลวมาแล้วกี่โปรเจค แต่เพราะผมได้มีโอกาสได้ลองล้มตั้งแต่อายุยังน้อย การลุกขึ้นมาเริ่มต้นใหม่พร้อมกับบทเรียนจากครั้งก่อน จึงเป็นอะไรที่ทำได้ง่ายกว่านั่งเสียใจอยู่มากพอสมควรครับ

สุดท้าย อย่ากลัวว่าคุณจะรู้ไม่มากพอ คุณไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องในสิ่งที่คุณจะทำครับ เพราะไม่มีใครเก่งไปทุกเรื่อง แค่คุณต้องมองให้ออกก็พอ ว่าภาพรวมของสิ่งที่จะต้องทำมีอะไรบ้าง แล้วที่เหลือก็แค่เลือกเครื่องมือหรือเลือกคนให้เหมาะกับงานนั้นๆ แล้วที่เหลือก็ไปเรียนรู้เอาที่หน้างานครับ ลงมือทำไปด้วยพร้อมกับเรียนรู้ไปกับของจริง แก้ปัญหากันจริงๆไปเลย สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณได้พัฒนาได้เร็วมากกว่ารอคนอื่นมาย่อยความรู้ให้คุณอ่านนะครับ ขอให้โชคดีกับทุกไอเดียดีๆครับ

Pathompoo Saksri (Tor)
CEO & Founder of EMS BUDDY