- Elon Musk เปิดตัวรถ Tesla รุ่นใหม่ล่าสุด เป็นรถบรรทุกหัวลากขนาดใหญ่ ชื่อ Tesla Semi
- Elon Musk กล่าวว่า รถบรรทุกไฟฟ้าเป็นความพยายามที่จะเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจให้หลุดพ้นจากพลังงานจากฟอสซิล(หมายถึงน้ำมันหรือก๊าซ)
- Tesla Semi สามารถวิ่งได้ระยะทาง 500 ไมล์ โดยบรรทุกน้ำหนักเต็มพิกัด วิ่งโดยความเร็วสูงสุดบนทางหลวง ต่อการชาร์จเพียง 1 ครั้ง
- Tesla Semi สามารถทำความเร็วจาก 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง ได้ภายในเวลาเพียง 5 วินาที (เฉพาะหัวลาก ที่ไม่ได้บรรทุก) และทำความเร็ว 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมงในเวลา 20 วินาทีที่การบรรทุกน้ำหนักสูงสุดที่อนุญาตบนทางหลวงสหรัฐที่ 80,000 ปอนด์
Elon Musk CEO Tesla ได้เปิดตัวรถ Tesla รุ่นล่าสุด Tesla Semi ที่เป็นรถ Semi Truck หรือรถบรรทุกหัวลาก เมื่อวันที่ 16 พ.ย. ที่ผ่านมา โดยจัดงานเปิดตัวที่โรงเก็บเครื่องบินใกล้กับสนามบิน Los Angeles ท่ามกลางแขกที่ได้รับเชิญซึ่งเป็นผู้สั่งจองรถรุ่น Semi และลูกค้าผู้ที่เคยซื้อรถยนต์ Tesla รุ่นก่อน ๆ
Elon Musk ได้อธิบายว่ารถบรรทุกไฟฟ้านี้จะเป็นความพยายามครั้งต่อไปของ Tesla เพื่อนำพาเศรษฐกิจให้หลุดพ้นจากการใช้เชื้อเพลิงจากซากฟอสซิลซึ่งเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านทางโครงการต่าง ๆ เช่นรถยนต์ไฟฟ้า, หลังคาพลังงานแสงอาทิตย์ และที่เก็บพลังงาน
นักวิเคราะห์บางส่วนกังวลว่า การเปิดตัวรถบรรทุกนี้จะส่งผลกับบริษัท เนื่องจากจะต้องมีการใช้งบประมาณมหาศาลในการผลิตรถไฟฟ้าขนาดใหญ่ ซึ่งทาง Tesla เองไม่เคยประกาศถึงผลกำไรประจำปี และในขณะนี้กำลังอยู่ในช่วง “โรงงานนรก” ที่เป็นการเปรียบเทียบการผลิต Tesla Model 3 ที่มีความล่าช้ากว่ากำหนดเป็นอย่างมาก กับจำนวนยอดจองที่สูงถึงกว่า 5 แสนคัน (เพราะหากยังผลิตด้วยความเร็วเท่านี้ คนสุดท้ายลำดับที่ 5 แสนอาจจะต้องรอถึง 3,000 ปี!!) ซึ่งจากความกังวลนี้ส่งผลให้หุ้นของ Tesla ร่วงลงทันที
รายละเอียดของ Tesla Semi มีดังนี้
Tesla Semi สามารถวิ่งได้ระยะทาง 500 ไมล์ (หรือ 804 กิโลเมตร) ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง (ใช้เวลาชาร์จไม่เกิน 30นาที) ที่น้ำหนักบรรทุกสูงสุด คือ 80,000 ปอนด์ (หรือ 36,287 กิโลกรัม) ในขณะที่รถบรรทุกที่ใช้น้ำมันสามารถเดินทางได้ถึง 1,000 ไมล์ (1,609 กิโลเมตร)
Tesla Semi สามารถทำความเร็วจาก 0-60 ไมล์/ชั่วโมง (ประมาณ 0-96 ก.ม./ชม.) ภายใน เวลา 5 วินาที โดยไม่มีการบรรทุก (ทดสอบเฉพาะหัวลาก) ปกติรถที่ใช้น้ำมันใช้เวลา 15 วินาที และหากมีการลากบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์แบบเต็มพิกัดที่ 80,000 ปอนด์ จะสามารถทำความเร็วจาก 0-60 ไมล์ได้ภายในเวลา 20 วินาที ในขณะที่รถใช้น้ำมันต้องใช้เวลามากกว่า 1 นาที
มีมอเตอร์ทั้งหมด 4 ตัว อยู่ที่ล้อทั้ง 4 ของ Semi ซึ่งจะปรับแรงบิดและลดความเป็นไปได้ที่จะเกิดแรงกระแทกแบบ jack-knifing (ลักษณะการพับของรถหัวลากกับพ่วงบรรทุกที่ถูกลากมา คล้ายกับมีดพับแบบพกพา Jackknifing)
การออกแบบรถรุ่น Semi ได้แรงบันดาลใจมาจากหัวกระสุน ซึ่งทำให้รถรุ่นนี้มีค่าสัมประสิทธิแรงเสียดทานของอากาศ (Coefficient of Drag – Cd) ดีกว่ารถไฮเปอร์คาร์รุ่นใหม่อย่าง Bugatti Chiron hypercar โดย Tesla Semi ทำได้ 0.36 ในขณะที่ Bugatti Chiron ทำได้ 0.38 เรียกเสียงฮือฮาได้เป็นอย่างมาก
(*หมายเหตุ ค่าสัมประสิทธิแรงเสียดทานลม หรือ Cd วัดค่าการต้านลมของรถแต่ละคัน ค่าน้อยคือต้านลมน้อย แต่ไม่ได้บ่งชี้ว่าทำให้รถวิ่งได้เร็วกว่าหรือสมรรถนะดีกว่าแต่อย่างใด)
- ผู้ขับขี่จะนั่งอยู่ตรงกลางของห้องโดยสาร แทนที่จะชิดไปด้านใดด้านหนึ่ง และมีหน้าจอสั่งงานระบบสัมผัส 2 หน้าจอ คล้ายกับรุ่น Model 3
- แบตเตอรี่รับประกันอายุการใช้งานที่ 1 ล้านไมล์ (หรือ 1,609,344 กิโลเมตร) และยังคงมีประสิทธิภาพดีกว่ารถบรรทุกดีเซล
- จะมีหลายสีให้เลือก
- สามารถใช้พลังงานแสงอาทิตย์ได้ และเข้าชาร์จตามสถานีชาร์จไฟ Mega Charger ได้ทั่วสหรัฐอเมริกา
- มีระบบ Auto pilot ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ที่จะช่วยเบรกและควบคุมรถให้ยังอยู่ในเลนของตัวเอง
- ที่น้ำหนักบรรทุกเต็มพิกัด สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 65 ไมล์ต่อชั่วโมง ในขณะที่รถใช้น้ำมันทำความเร็วได้ 45 ไมล์ต่อชั่วโมง
- Tesla Semi ไม่มีเกียร์ คือมีเพียงเกียร์เดียวเท่านั้น คุณจึงไม่ต้องคอยเปลี่ยนเกียร์ให้ยุ่งยาก จะรู้สึกเหมือนขับ Tesla Model S, Model X หรือ Model 3 เลยทีเดียว เนื่องจากเป็นเกียร์ไฟฟ้า
- ผู้ซื้อสามารถจองโดยวางเงินจอง $5,000 ดอลลาร์ และจะเริ่มผลิตในปี 2019 (ไม่แจ้งวันส่งมอบ)
นักลงทุนต่างกังวลในการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ของ Tesla (ซึ่งมักจะแสดงความวิตกกังวลทุกครั้ง) เนื่องจาก Elon Musk เพิ่งใช้งบประมาณไปถึง 1,000 ล้านดอลลาร์ในการสร้างโรงงานผลิต Tesla Model 3 และยังคงต้องสร้างโรงงานต่อในประเทศจีน (ขณะนี้ยังไม่ได้เริ่มสร้าง แต่ใช้เงินไปแล้ว 1,000 ล้านดอลลาร์) และสำหรับ Tesla Semi รถบรรทุกรุ่นนี้ก็คงจะต้องสร้างโรงงานใหม่แยกออกมาอีก ซึ่งเงินจองจากลูกค้าไม่เพียงพอที่จะสร้างโรงงานเพื่อมารับออเดอร์จำนวนมากขนาดนี้ ยิ่งมีออเดอร์มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นภาระที่หนักมากเท่านั้น เมื่อกำลังการผลิตมีจำกัด และไม่สามารถส่งมอบรถได้ในเวลาอันรวดเร็วในขณะที่เทคโนโลยีก็พัฒนาไปเรื่อย ๆ วันที่ผู้ซื้อได้รับรถ Model 3 เทคโนโลยีนั้นอาจล้าสมัยไปแล้ว
ปัญหาหลักของ Tesla ในตอนนี้ก็คือ จะเพิ่มกำลังการผลิตอย่างไรให้ทันกับความต้องการของตลาด และผู้บริโภคจะอดทนรอได้นานแค่ไหน เพราะ Elon Musk เป็นจอมโปรเจ็คที่มีบิ๊กโปรเจ็คมากมายเหลือเกิน
และหากคุณชอบใน Content ที่ทาง CEO Blog ได้นำเสนอ ในเร็ว ๆ นี้ ทาง CEO Blog ของเรานั้น กำลังจะมีโปรเจค CEO Premium Content ซึ่งเป็น Content ด้านการค้าปลีกออนไลน์ แบบพรีเมี่ยม ที่หาอ่านไม่ได้บน Blog ปกติของ CEO Blog โดยจะเปิดรับสมัครสมาชิกพรีเมี่ยมในเร็ว ๆ นี้
หากคุณไม่อยากพลาด Content ระดับ Premium สามารถลงทะเบียนเพื่อรับแจ้งข่าวสารได้ที่นี่ก่อนใครเลยครับ รับรองได้เลยว่ามันเป็น Content ระดับพรีเมี่ยมในราคาที่คุ้มสุด ๆ อย่างแน่นอน >>> ลงทะเบียนรับข่าวสารที่นี่ก่อนใคร
Resources: