ไอเดียขายของออนไลน์ไม่ต้องสต็อกสินค้าด้วย Dropship

คลิกเพื่อ ‘ดูวีดีโอ’ หรืออ่านเวอร์ชัน ‘บทความ’ ด้านล่าง

การขายของออนไลน์โดยทั่วไปได้แก่ ขายทางโซเชียลมีเดีย, ขายผ่าน Online marketplace อาทิ Lazada, Shoppee และ Amazon คุณต้องมีกระบวนการ ‘สั่งผลิต’ หรือ ‘สต็อกสินค้า’ รวมไปถึงมีการแพ็กและการขนส่ง

แต่ไอเดียต่อไปนี้มาเหนือ เพราะคุณตัดกระบวนการดังกล่าวออกไปทั้งหมด โดยผลักภาระเหล่านั้นไปให้ ‘ผู้ผลิต’ วิธีขายของออนไลน์แบบนี้เรียกว่า ‘Dropship

Dropship มีกระบวนการทำงานอย่างไร?

กระบวนแบบเข้าใจง่าย ๆ มี 4 กระบวนการ ได้แก่

1 เลือกตลาด สรรหาซัพพลายเออร์ : เลือกว่าคุณจะขายอะไร ช่วงแรกอย่าเพิ่งใจใหญ่ขายทุกอย่าง เลือกมาหนึ่ง Niche แบบ Amazon ตอนเปิดใหม่เลือกขายหนังสือ พอเลือกตลาดแล้วก็สรรหาซัพพลายเออร์ที่รับให้บริการ Dropship

2 ดีลสินค้า เจรจาเป็นพันธมิตร : เมื่อเจอซัพพลายเออร์แล้วก็ติดต่อ ติดต่อไว้หลาย ๆ รายเพื่อเป็นโปรไฟล์ และเจรจาเป็นคู่ค้า Dropship กัน ตกลงราคาส่วนต่างกันให้ชัดเจน ตกลงเงื่อนไขการชำระเงิน และทำบันทึกทุกอย่างเป็นรายลักษณ์อักษร

3 สร้างหน้าร้านรับออเดอร์ : พอมี ซัพพลายเออร์ และ รายการสินค้า แล้ว คุณเปิดหน้าร้านโดยในบริบทนี้ คือ หน้าร้านออนไลน์ เปิดเป็นเว็บไซต์ก็ได้ เป็นออนไลน์มาร์เก็ตเพลสก็ได้ บนแฟนเพจก็ได้ ช่วงแรกอาจขอใช้ รูปภาพ และ ข้อมูลสินค้า จากซัพพลายเออร์ – จากนั้นทำการตลาด ซื้อโฆษณา จนกระทั่งมีคนมาสั่งซื้อสินค้าจากคุณ

4 ส่งออเดอร์ให้ Dropshipper : เมื่อคนมาสั่งซื้อสินค้าจากคุณ คุณส่งออเดอร์ให้ Dropshipper – เขาจะทำการแพกสินค้าและจัดส่งไปให้ลูกค้าในนามของคุณ คุณจะมีกำไรขั้นต้นจากส่วนต่างระหว่าง ราคาที่คุณเสนอขายให้ลูกค้า และ ราคาต้นทุนสินค้าที่คุณดีลไว้กับซัพพลายเออร์ – กำไรของคุณจะอยู่ตรงกลาง

กรณีศึกษาเว็บไซต์ TrollingMotors.net

ขาย ใบพัดเรือยนต์ ที่มียอดขายคิดเป็นเงินไทยปีละหลักสิบล้านบาท ของ Andrew Youderian ก็ใช้โมเดล Dropship – เขาไม่ได้ผลิตใบพัดเรือยนต์เอง และไม่ได้สั่งซื้อใบพัดเรือยนต์มาสต็อกขาย แต่เขาไปดีลกับผู้จำหน่ายใบพัดเรือยนต์เพื่อเป็น Dropshipper ให้กับเขา

Andrew เลือก 1 นิช ต่อ 1 เว็บไซต์ โดยมีอีกเว็บไซต์หนึ่งชื่อ RightChannelRadios.com ขายสินค้าประเภทวิทยุสื่อสารอย่างเดียว ทั้ง 2 เว็บไซต์สินค้าแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และถามว่าเขาเป็นคนที่มีความหลงใหลในอุปกรณ์เหล่านี้หรือไม่? คำตอบ คือ ไม่มี

หลายคนอาจเริมต้นทำธุรกิจจากสิ่งที่ชอบ เช่น ชอบเสื้อขายเสื้อ ชอบออกกำลังกายก็ขายเวย์โปรตีน หรือ เห็นอะไรขายดี เช่น ครีมขายดีก็ขายตาม ซึ่งบางครั้งความชอบไม่ได้รับประกันความสำเร็จ แต่สิ่งหนึ่งที่คนขายของออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในต่างประเทศทำคล้าย ๆ กัน คือ การวิเคราะห์สินค้าในระดับ สถิติ

สถิติพื้นฐานที่ง่ายที่สุด สำหรับใช้วิเคราะห์ศักยภาพของสินค้าเบื้องต้นได้ทันที คือ Monthly search volume

เมื่อทำการเปิดโปรแกรมวิเคราะห์คียเวิร์ด Ahrefs.com ที่ผมใช้ประจำ และไปที่ Keyword Explorer พิมพ์คำว่า Trolling Motor สำหรับสหรัฐอเมริกา คุณจะพบว่าคำนี้มีคนค้นหา เดือนละ 32,000 ครั้ง

 

สมมุติว่า ชุด Trolling Motor มีราคาเฉลี่ย 1,500 ดอลลาร์ ให้นำ 1,500 ดอลลาร์ คูณ 32,000 ครั้ง เท่ากับ 48 ล้านดอลลาร์ หรือ 1440 ล้านบาท นี่คือ โอกาสและเม็ดเงินแบบดิบ ๆ ที่คุณจะหาได้จากตลาดนี้

แต่ขอย้ำเตือนว่านี่คือการคำนวณแบบหยาบ ๆ ไม่ได้อิงสถิติจากอุตสาหกรรม ไม่ใช่ทั้ง 32,000 ครั้งที่ค้นหา คือ ลูกค้า และไม่ใช่ ลูกค้าทุกคน จะมาซื้อของคุณ แต่ตัวเลขเบื้องต้นนี้ช่วยให้เห็น ‘ศักยภาพ’ ว่ามีประมาณใดก่อนที่จะวิเคราะห์เชิงลึก ได้แก่ สถิติของอุตสาหกรรมในลำดับต่อไป

และที่สำคัญ สินค้าเหล่านี้มักไปมุ่งเน้นทำกำไรจริง ๆ จัง ๆ จาก Accessory หรือ อุปกรณ์เสริม ต่าง ๆ ที่มีอัตราการซื้อถี่กว่าตัว ใบพัดเรือยนต์ นั่นเอง โดยหลักการนี้ก็ใช้ได้กับหลาย ๆ ธุรกิจ อาทิ สมาร์ทโฟนนั้นก็ไปทำเงินต่อเนื่องจาก Accessory เช่นกัน

เว็บไซต์ Dropshipping ทำยากหรือไม่ ถ้าคุณไม่ใช่โปรแกรมเมอร์?

ปัจจุบันมีแพลทฟอร์มให้บริการทำธุรกิจ Dropshipping สำเร็จรูปให้เลือกใช้ อาทิ Oberlo, Dropified และ AliDropship เป็นต้น

การทำงานของแพลทฟอร์มเหล่านี้ อาทิ AliDropship จะเป็น Plugin ที่เชื่อมต่อเว็บไซต์ AliExpress เข้ากับเว็บไซต์ WordPress ของคุณ จากนั้นคุณจะสามารถดึงข้อมูลสินค้าจาก AliExpress มาไว้ใน WordPress และกลายเป็น ร้านค้าออนไลน์ อยากรวดเร็ว

หรือ Oberlo เป็นโปรแกรมอิมพอร์ตข้อมูลสินค้ามาใส่ในเว็บไซต์ที่ใช้ระบบของ Shopify โดยเฉพาะ ช่วยให้คุณมีหน้าร้านออนไลน์อย่างรวดเร็ว กระบวนการนี้อาจฟังดูเหมือนง่าย แต่ในการปฏิบัติจริงก็จะมีกระบวนการซับซ้อนเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ยากจนน่าห่วง

นอกจากนั้นยังมีผู้ให้บริการ Dropship อีกหลายสิบราย ทั้งแบบที่เป็น ซอฟต์แวร์ และแบบ ไดเรคทอรี ที่คุณอาจต้องดีลคุยเป็นราย ๆ ไป เพียงไปที่เว็บไซต์ https://www.quicksprout.com/best-dropshipping-companies/ คุณจะพบกับรายชื่อ และรายละเอียดผู้ให้บริการ Dropshipping เหล่านั้น

ส่วนในไทยอาจไม่ได้มีระบบและผู้ให้บริการที่ทันสมัยเท่าต่างประเทศ ฉะนั้นวิธีดีลก็ทำอย่างตรงไปตรงมานั้นคือสนใจสินค้าตัวไหน กดโทรศัพท์โทรไปหาผู้ผลิตตรง ๆ แล้วถามเขาว่า รับทำ Dropship หรือไม่

จุดอ่อนใหญ่สุดของการทำธุรกิจแบบ Dropship คือ อัตรากำไรขั้นต้นต่ำมาก กล่าวคือ

  • หากคุณเป็นเจ้าของแบรนด์ คุณอาจมีอัตรากำไรขั้นมากกว่า 100%
  • กรณีซื้อมาขายไป คุณอาจมีอัตรากำไรขั้นต้น 30 – 60%
  • แต่สำหรับ Dropshipping คุณมักมีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่า 30%
  • และมีโอกาสสูงมากที่มีกำไรขั้นต้นจะต่ำกว่า 20%

กำไรขั้นต้น คือ อะไร?

คือ กำไรหลังหักต้นทุนสินค้า แต่ยังไม่หักค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ซึ่งกรณีของ TrollingMotors.net นั้นมีอัตรากำไรขั้นต้นเพียง 12% เท่านั้น แต่ที่อยู่ได้เพราะเอา มูลค่าการซื้อขายต่อปีหลักสิบล้านบาทนั่นเอง และประกอบกับการตลาดออนไลน์แบบเกือบ ๆ จะ Organic

คือ บางปีไม่มีการซื้อโฆษณาเลย ได้ยอดขายเพราะทราฟฟิกจาก Google ล้วน ๆ นี่คือสิ่งสำคัญในการทำ Dropship คือ คุณจะมานั่งยิงโฆษณาเฟสบุคตลอดไปไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนั้น คุณขาดทุนแน่นอน ต้องสร้างยอดขายจาก Organic traffic อาทิ ทำเว็บไซต์ให้ติด Google หรือขายใน ออนไลน์มาร์เก็ตเพลส ที่มีคนเข้าเว็บจำนวนมาก

รวมบทความเกี่ยวกับ หาเงินออนไลน์ทั้งหมด ที่นี่