CEO’s Expert Series ชุด Digital Asset Empire
ตอน แนวคิดและกลยุทธ์การตลาดขายคอร์สออนไลน์ให้ได้ปีละล้าน
Script ใต้วีดีโอ
Script ใต้วีดีโอ
สิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้ในตอนนี้ ได้แก่ กลยุทธ์ทำคอร์สออนไลน์ให้ได้ปีละล้านบาท, ขั้นตอนสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ และรู้จักวิธีสะสมฐาน ‘ว่าที่’ ลูกศิษย์มาไว้ในมือคุณด้วยการทำ Lead Generation
ก่อนอื่น… การจะขายสินค้าให้ได้ 1 ล้านบาทคุณต้องขายอะไร? คำตอบคือขายอะไรก็มีโอกาสได้ 1 ล้านบาททั้งนั้น ขายลูกอมเม็ดละ 1 บาท จำนวน 1 ล้านเม็ดก็ได้ 1 ล้านบาท และขายขนมถุงละ 10 บาท จำนวน 1 แสนถุงก็ได้ 1 ล้านบาทเช่นกัน
คอร์สออนไลน์ราคาที่ซื้อง่ายขายคล่องจะอยู่ระหว่าง 1500 – 3000 บาท คุณต้องการผู้ซื้อระหว่าง 400 – 700 คนในการทำเงิน 1 ล้านบาท หรือตีเป็นตัวเลขกลม ๆ คือคุณอาจต้องการผู้ซื้อ 1,000 ออเดอร์ต่อปี
โจทย์คือ ถ้าคุณเพิ่งเริ่มต้นสอนเป็นปีแรกและคิดว่าชื่อเสียงของคุณในช่วงแรกอาจจะยังปิดไม่ได้ถึง 1000 ออเดอร์จะทำอย่างไร? วิธีทำง่ายมาก ให้คุณวางแผนออกคอร์สเรียนอย่างน้อย 3 คอร์สในปีนั้น ๆ
มิติที่ 1 คอร์สแนวดิ่ง – เป็นการสอนหัวข้อเดียวแล้วเจาะเป็น Basic, Intermediate, และ Advance ยกตัวอย่าง สอนถ่ายรูปสำหรับผู้เริ่มต้น, สอนถ่ายรูปสำหรับมือโปร และ สอนผู้ต้องการเป็นครูสอนถ่ายรูป
กรณีนี้ราคาคอร์สอาจสูงขึ้นตามระดับความแอดวานซ์
มิติที่ 2 คอร์สแนวราบ – สอนหลายหัวข้อที่ต่างกันแต่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน ยกตัวอย่าง ทำธุรกิจออนไลน์ สอนทำเว็บไซต์, สอนขายของบนอเมซอน, สอนปิดการขายทางแชท
สมมุติคุณทำคอร์สสอนถ่ายรูป Basic ราคา 1500, Intermediate ราคา 2500, และ Advance ราคา 4900
ต้นปี เปิดตัว Basic ยอดขาย 200 Orders x THB 1500 = THB 300,000
กลางปี เปิดตัว Intermedia ยอดขาย 300 Orders x THB 2500 = THB 750,000
ปลายปี เปิดตัว Advance ยอดขาย 50 Orders x THB 4900 = THB 245,000
รวมเป็นเงิน THB 1,295,000! และจำนวนนี้ยังไม่รวมกับยอดขายต่อเนื่องของแต่ละคอร์สหลังจากจบช่วงเปิดตัวอย่างเป็นทางการของแต่ละแคมเปญ
คุณสามารถที่จะอัพเดทเนื้อหาคอร์สเดิมทั้งหมด บันทึกถ่ายทำใหม่ ปรับปรุงให้ทันสมัย แล้วทำการตลาดเปิดตัวเวอร์ชั่นอัพเดทใหม่ ซึ่งคุณก็มีทางเลือกระหว่าง เวอร์ชั่นใหม่ขายใหม่หมดทุกคน หรือ อัพเกรดฟรีให้นักเรียนเก่า และหาลูกค้ากลุ่มใหม่สำหรับปีใหม่ แล้วแต่ว่าอยากทำแบบไหน
นอกจากนั้นก็อาจออกแบบหลักสูตรใหม่ ๆ ออกมาโดยอิงจากประสบการณ์และทักษะใหม่ ๆ ที่คุณเรียนรู้ตลอด 1 ปีที่ผ่านมาก
หรือนำเนื้อหาที่มีอยู่แล้วไปแปลงเป็น สัมมนา เวิร์คช็อป โค้ชชิ่ง ที่ปรึกษา หรือหนังสือ ก็ได้ การทำแบบนี้เรียกว่าเป็นการแตกไลน์สินค้า เพื่อเพิ่มมูลค่าของพอร์ตสินค้าให้ใหญ่ขึ้น พัฒนาธุรกิจทุกปี ได้เงินล้านทุกปีครับ
เนื่องจากจักวาล Digital marketing มันใหญ่มาก อธิบายทั้งสัปดาห์ก็ไม่จบฉะนั้นผมจะดึงมาเฉพาะกลยุทธ์เดียวเพื่อให้ผู้เริ่มต้นสามารถเริ่มต้นได้วันนี้เลย นั่นคือกลยุทธ์ Content marketing + Facebook
Content Marketing Institute ผู้เชี่ยวชาญด้านคอนเทนต์ได้ให้ความหมายไว้โดยผมแปลเป็นไทยว่า…
การสร้างเนื้อหาที่มีประโยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งคำว่ามีประโยชน์นั้นจะเป็น ความรู้ก็ได้ ความบันเทิงก็ได้ เรื่องดราม่าก็ได้ ขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายของคุณให้ ‘คุณค่า’ กับอะไร
จากนั้นใช้ช่องทางการสื่อสารเพื่อเผยแพร่เนื้อหาไปยังกลุ่มเป้าหมาย เพื่อสร้างการรับรู้และนำพาพวกเขาไปยังต้นกำเนิดของคอนเทนต์ อาทิ เว็บไซต์ เพื่อหวังผลทางธุรกิจ เช่น Click ที่ป้ายโฆษณา Google AdSense, สั่งซื้อสินค้า, หรือสมัครสมาชิกเว็บไซต์ ซึ่งข้อสุดท้ายผมจะมีขยายความเรื่องนี้เพิ่มเติมภายหลัง
ในกรณีที่สินค้าของคุณเป็น คอร์สออนไลน์ และ การขายความรู้ กลุ่มเป้าหมายของคุณย่อมให้ คุณค่า กับความรู้ถูกต้องไหมครับ!
ดังนั้นแนวทางการทำ Content marketing ของคุณ คือ ทำบทความหรือวีดีโอให้ความรู้ในสิ่งที่คุณกำลังจะสอน เพื่อสร้างการรับรู้ หรือ Awareness ให้พวกเขาเห็นว่าคุณเป็นใคร เชี่ยวชาญเรื่องอะไร และจะช่วยแก้ปัญหาให้พวกเขาได้อย่างไร
เมื่อเกิดการรับรู้ ก็จะเริ่มเกิดความสนใจ หรือ Interest ตามมาด้วยการเริ่มติดตาม รอรับข่าวสาร และข้อมูลดี ๆ จากคุณ นี่คือการที่คนเข้าสู่ Journey อันจะนำไปสู่การขายต่อไป
วันนี้ การเริ่มต้นทำ Content marketing นั่นง่ายมาก คุณสามารถเปิดแฟนเพจและเริ่มต้นเขียนบทความ หรือวีดีโอ หรือไลฟ์ให้ความรู้ลงบท Facebook ได้เลย แต่ขอให้จำไว้เสมอว่ากระบวนการตรงนี้อาศัยเวลา ไม่ใช่ว่าเดือนแรกโผล่มาแล้วคนจะเชื่อฟังและอยากติดตามคุณ
ให้เผื่อใจไว้ประมาณ 3 – 4 เดือน โดยในช่วงเวลานี้คุณต้องให้ ให้ และให้ ฟรีคอนเทนต์ที่มีประโยชน์แก่พวกเขาอย่างสม่ำเสมอ ถ้าทำทุกวันได้จะดีมาก หรืออย่างน้อยวันเว้นวัน คุณจึงจะเริ่มเห็นผลตอบรับ เกิดแฟนคลับ มีคนติดตามเชียร์ใน 3 – 4 เดือน และอย่าลืมแบ่งเงินมายิงโฆษณา Facebook โปรโมทเพจและโพสต์ของคุณ เพราะถ้าไม่ใช้เลยในช่วงเดือนแรก ๆ คุณจะ Take off ได้ช้ามาก
คนที่เป็นนักสอนกึ่งโค้ชชิ่งที่คนตามเยอะ ๆ อาทิ เอเทน, ผู้กองเบนซ์, ณอน บูรณะหิรัญ, ขุนเขา, มันนี่โค้ช, บอย วิสูตร โพสต์ให้ความรู้ทุกวัน หรือวันเว้นวัน
การให้ความรู้ทุกวันจะทำงานแบบ Snowball effect คือเริ่มต้นเล็ก ๆ ดูไม่มีพลังอะไรมากมาย แต่มันเก็บสะสมเนื้อหิมะทุกรอบที่กลิ้งลงเขาจนถึงจุดที่มันใหญ่ แล้วพอมันใหญ่พลังในการกวาดลูกหิมะในหนึ่งรอบก็ใหญ่ตาม หลักการเดียวกันกับการทำ Content marketing
แต่! คุณอาจจะไม่เห็นผมทำแบบนั้น เพราะหนึ่งผมเป็นไทพ์ Introvert ขนาดสอนยังต้องมี Script ผมจึงเลือกใช้วิธีสร้างระบบรอไว้แล้วเอาซอฟต์แวร์ครอบให้มันรันตัวเอง ดังนั้นถ้าคุณเป็น Introvert เหมือนกัน ผมกำลังทำให้ดูว่า คุณก็สอนได้โดยใช้ระบบมาช่วย แต่ถ้าคุณชอบคนเยอะ ๆ ก็ทำไลฟ์หน้า Facebook — ได้ผลทั้งสองครับ
กลยุทธ์นี้เรียกว่าการทำ List building ซึ่งมีมานานก่อนที่อินเตอร์เน็ตจะแพร่หลาย ในสมัยก่อนคนไปซื้อของตามร้านค้าก็มีสมัครสมาชิกรับคูปองโค้ดส่วนลดสินค้า จากนั้นทางร้านได้ Contact information ของคุณไปเขาก็ส่งจดหมายโปรโมชั่นประจำเดือนไปถึงบ้าน
วันนี้เปลี่ยนมาเป็นออนไลน์ แบรนด์ต่าง ๆ มีวิธีสร้าง List โดยการติดตั้งเครื่องมือไว้บนเว็บไซต์ มี Pop up แบบฟอร์มสมัครสมาชิกแลกคูปองโค้ดส่วนลด คนสมัครก็เข้าสู่ระบบ Email marketing จากนั้นแบรนด์ก็ส่งอีเมล์ไปขายของ
ต่อมาระบบ Chatbot เริ่มได้รับความนิยม แบรนด์ก็เปลี่ยนมาใช้ Chatbot ผมเองก็ใช้ และคุณจึงได้มาดูวีดีโอนี้ ทั้งหมดนี้ผมรันด้วยโปรแกรม Chatbot เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดกึ่งอัตโนมัติ
เพราะบนโลกออนไลน์ในกว้างใหญ่ไพศาลมาก การที่คนจะเจอคุณ หรือคุณจะเจอคนที่ตรงกลุ่มนั้นไม่ง่าย และเมื่อเจอแล้วไม่ว่าจะจากการค้นหาเว็บไซต์คุณเจอผ่าน Google หรือจากโพสต์ที่เพื่อนของคุณแชร์มาบน Facebook มันอาจเป็นการเจอกันเพียงครั้งเดียวแล้วก็ลืมกันไปเลย
นักการตลาดออนไลน์ จึงเล็งเห็นว่าการได้มาซึ่ง Contact information ของกลุ่มเป้าหมายคือหลักประกันว่าคุณจะสื่อสารกับพวกเขาได้โดยตรง ในต่างประเทศจึงนิยมทำการตลาดออนไลน์และยิงโฆษณาที่เน้นไปที่การเก็บ List แล้วค่อยไปขายของต่อใน List มากกว่าการยิงโฆษณาขายของตรง ๆ แบบในบ้านเรา
อย่างไรก็ดี ในไทยหลายคนก็มีการทำ List building โดยไม่รู้ตัว นั่นคิดการพาคนเข้า LINE@ — ผมยอมรับว่า LINE@ เป็นเครื่องมือทำ Chat marketing ที่มีประสิทธิภาพ แต่มีข้อจำกัดคือคุณไม่รู้ว่าใครอยู่ใน List บ้าง ในขณะที่ Chatbot ช่วยให้คุณรู้จัก Subscriber ได้ละเอียดกว่า และสามารถสร้างแคมเปญการตลาดที่ซับซ้อนและตรงกับความต้องการมากกว่า
ส่วนข้อจำกัดหลัก ๆ ของ Chatbot คือ คุณไม่ได้ Contact information ของเป้าหมายแบบ Email marketing อย่างไรก็ดี อัตราการตอบสนองต่อ Chatbot นั้นสูงกว่า Email marketing
รายละเอียดเกี่ยวกับ Chatbot นั้นผมมีอธิบายในซีรีย์แยกต่างหาก รอให้จบซีรีย์นี้แล้วถ้าคุณอยากติดตามเรื่อง Chatbot ต่อผมจะเอามานำเสนอครับ