วิธีจำแนกประเภท Digital Asset

ต่อไปนี้คือวิธีจำแนก Digital Asset อย่างง่าย แบ่งเป็น จำแนกพื้นฐาน และจำแนกขั้นสูง มีรายการดังนี้ (หมายเหตุ : รายการสามารถจำแนกได้มากกว่านี้ แต่ขอนำเฉพาะตัวหลัก ๆ มาให้ดู)

การจำแนก Digital Asset ขั้นพื้นฐาน

ข้อความ : ข้อความสั้นบรรทัดเดียว, แคปชั่นบนโซเชียลเน็ตเวิร์คต่าง ๆ รวมไปถึงบทความทั้งสั้น และยาวที่คุณเขียนและโพสต์ขึ้นสู่ระบบอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะโพสต์ขึ้นสู่ เว็บไซต์สาธารณะ, บล็อกส่วนตัว, เฟซบุ๊ค, และทวิตเตอร์ เป็นต้น ฯลฯ

รูปภาพ : รูปภาพทั้งภาพถ่าย ภาพกราฟฟิก และงานศิลปะเขียนมือ เป็นต้น ฯลฯ ที่คุณสร้างสรรค์หรือมีสิทธิโพสต์ขึ้นสู่ระบบอินเตอร์เน็ต ไม่ว่าจะโพสต์ขึ้นสู่ เว็บไซต์สาธารณะ, บล็อกส่วนตัว, เฟซบุ๊ค, อินสตาแกรม เป็นต้น ฯลฯ รวมไปถึงเว็บไซต์กลุ่ม Stock Photo ไม่ว่าจะแจกฟรี หรือทำขาย ล้วนนับเป็น Digital Asset

เสียง : ไฟล์เสียง ออดิโอบุ๊ค และพอดคาสต์ ที่คุณสร้างสรรค์ หรือมีสิทธิโพสต์ขึ้นสู่ระบบอินเตอร์เน็ตผ่านเว็บไซต์สาธารณะ, บล็อกส่วนตัว, เฟซบุ๊ค เป็นต้น ฯลฯ รวมไปถึงเว็บไซต์แพลทฟอร์มออดิโอ อาทิ Ookbee, SoundCloud, Audible, และเว็บขาย Sound effect

วีดีโอ : ไฟล์วีดีโอทุกชนิดที่คุณสร้างสรรค์ หรือมีสิทธิ โพสต์ขึ้นสู่ระบบอินเตอร์เน็ตผ่านเว็บไซต์สาธารณะ, บล็อกส่วนตัว, โซเชียลเน็ตเวิร์ค, เป็นต้น ฯลฯ รวมไปถึงเว็บไซต์แพลทฟอร์มวีดีโอ อาทิ Youtube, Udemy, SkillLane, และ Video Stock เป็นต้น ฯลฯ

โลโก้ และ ฟอนต์ : สัญลักษณ์ขององค์กร แบรนด์ ตราผลิตภัณฑ์ และอักขระที่คุณออกแบบ หรือมีสิทธินำไปใช้ก็ล้วนเป็น Digital Asset บางครั้งแจกฟรี บางกรณีต้องซื้อเพื่อนำไปใช้งาน ยกตัวอย่าง เว็บไซต์ ฟอนต์.คอม

การจำแนก Digital Asset ขั้นสูง

โดเมนเนม : โดเมนเนม หรือ ชื่อเว็บไซต์จดทะเบียนเป็น Digital Asset สุดคลาสสิกที่สามารถมีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา และเคยมีประวัติการซื้อขายกันในราคาหลายสิบล้านบาท ไปจนถึงหลายร้อยล้านบาท

โดเมนเนมที่มีโอกาสมีมูลค่าเพิ่ม คือ สั้น จำง่าย นามสกุล Dot-Com ยกตัวอย่างเช่น Fund.com ราคา 9.9 ล้านเหรียญ และ Sex.com ราคา 13 ล้านเหรียญ

เว็บไซต์ : เว็บไซต์ประกอบไปด้วย โดเมนเนม โครงสร้างเว็บไซต์ และคอนเทนต์ เป็นรูปแบบของ Digital Asset ที่เก่าแก่อันดับต้น ๆ ของโลก และมีโอกาสซื้อขายกันในราคาหลักล้าน ไปจนถึงหมื่นล้านบาท

ปัจจัยมูลค่าของเว็บไซต์ ได้แก่ ปริมาณคอนเทนต์ ทราฟฟิก และรายได้ที่มาจากทราฟฟิก เช่น จำนวนการ Click ที่ป้ายโฆษณา Google AdSense บนเว็บไซต์จำนวนมากอันเป็นเพราะทราฟฟิกที่เข้ามายังเว็บไซต์
ซอฟต์แวร์/ แอปพลิเคชัน : เป็นโปรแกรมต่าง ๆ เช่น โปรแกรม/ แอปฯ บริการจองที่พัก, โปรแกรม/ แอปฯ ดูราคาหุ้น, โปรแกรมเกมส์ เป็นต้น ฯลฯ อีกนับไม่ถ้วน

มูลค่าเพิ่มของ ซอฟต์แวร์/ แอปพลิเคชัน เหล่านี้เกิดจากจำนวนของ User ในระบบซึ่งบางครั้งกิจการอาจยังไม่กำไร แต่ก็สามารถมีมูลค่านับพันล้านบาทได้

ยกตัวอย่างเช่น Twitter เข้าตลาดหุ้นปี 2013 โดยที่บริษัทยังขาดทุนอยู่ และเพิ่งกำไรครั้งแรกในปี 2017 หรือเป็นการมีกำไรครั้งแรกในรอบ 11 ปี

4 ข้อมูลดิจิตัล : หรือ Information Products ได้แก่ E-Book, Audiobook, Online Course, รวมไปถึง Subscription Content ที่ต้องชำระเงินเพื่อเข้าเสพเนื้อหา เป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีตัวตน หรือ เป็น Intangible Products

ตัวอย่างที่น่าสนใจ ได้แก่ สื่อเก่าแก่อย่าง New York Times รายงานว่าในปี 2018 บริษัทมีรายได้จาก Digital Product สูงถึง 709 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยส่วนหนึ่งมาจาก Subscription Content

5 ฐานข้อมูลผู้ใช้งานในระบบ : หรือ User database คือตัวสร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจ Startup หลายรายแม้พวกเขาจะยังไม่มีกำไรจากธุรกิจ นอกจากนั้น ฐานข้อมูลผู้ใช้งานในระบบ ยังรวมไปถึง Website membership, Email list และ Chatbot subscribers

6 เฟสบุ๊คพิกเซล : Facebook conversion pixel ที่เก็บข้อมูลคนที่เข้ามายังเว็บไซต์ของคุณไปสะสมไว้ในฟังชันพิเศษของ Facebook ที่เรียกว่า Custom Audience หรือ กลุ่มเป้าหมายที่กำหนดเอง สำหรับนำไปยิงโฆษณาแบบ ตามกลุ่มเป้าหมายที่กำหนด หรือ Retargeting ad

คริปโตเคอร์เซนซี : เงินอิเลคทรอนิก ที่มีมูลค่าและสามารถใช้ซื้อสินค้าผ่านทางระบบออนไลน์ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายที่เปิดรับคริปโตเคอร์เซนซีนั้น ๆ นอกจากนั้นยังนิยมใช้ในการเก็งกำไร

อย่างไรก็ดีคริปโตเคอร์เซนซี มีความผันผวนสูงและอาจสร้างผลขาดทุนและกำไรเกิน 100% ในช่วงเวลาไม่กี่สัปดาห์ คริปโตเคอร์เซนซีมีมากกว่า 1600 สกุล โดยสกุลที่นิยมเก็งกำไรได้แก่ Bitcoin, Etherreum, และ Litecoin

6 ไอเดียสร้างรายได้ออนไลน์จาก Digital Asset

1. Affiliate Marketing

นายหน้าออนไลน์ เป็นการสมัครร่วมเป็น Affiliate Partners กับทางเจ้าของสินค้า จากนั้นคุณจะได้ Affiliate ID และลิงค์สินค้าที่ฝัง Affilliate ID ดังกล่าวสำหรับนำไปแปะไว้ในเว็บไซต์ หรือ Blog ที่คุณสร้างขึ้นมาเพื่อเขียนรีวิวผลิตภัณฑ์ เมื่อคนเข้ามาอ่านบทความรีวิวสินค้าและคลิ๊กลิงค์ Affiliate ID ของคุณ เขาจะถูกส่งไปยังหน้าชำระเงินสินค้านั้น ๆ และหากการซื้อขายเสร็จสมบูรณ์ คุณจะได้ค่า Commission

2. Blog

Blog (บล็อก) เป็น Digital Asset ประเภท Own Media สาขา Digital Media หรือ สื่อออนไลน์ เป็นพาหนะในการสร้างรายได้ออนไลน์ที่คุณไม่จำเป็นต้องมีสินค้าของตัวเอง เพียงเขียนบทความลง Blog ก็มีคนมากมายพร้อมจะเอาเงินมายื่นให้คุณในฐานะ ‘เจ้าของสื่อ’ และ Blog ไม่เพียงทำเงินจากค่าโฆษณาเท่านั้น แต่มีการบันทึกไว้ว่ามีโมเดลทำเงินบน Blog มีถึง 53 วิธี และคุณต้องการเพียง 1 วิธี ก็สามารถทำเงินปีละ 7 หลัก จาก 1 Blog ไทย

3. Creative Content

Creative content ได้แก่ งานออกแบบอันมีลิขสิทธิ์ก็ดี หรือเปิดให้สาธารณะมีสิทธิในการนำไปใช้ประโยชน์อย่างมีเงื่อนไขก็ดี ได้แก่ Fonts, Memes, Photos, Videos ตัวอย่าง Digital Asset ประเภท Creative Content ที่มีมูลค่าสูงได้แก่ เว็บไซต์ในกลุ่ม Stock Photo หรือ Stock Video และ รูปภาพและวีดีโอที่อยู่ในระบบทั้งหมด

4. Information / Knowledge Content

เนื้อหาที่ให้ข้อมูลและความรู้ในรูปแบบของ อาทิ บทความ (หมวดตัวอักษร) อินโฟกราฟฟิก (หมวดรูปภาพ) เสียง (ออดิโอบุ๊ค) หรือ วีดีโอ (คอร์สออนไลน์) เป็นต้น เหล่านี้ล้วนเป็น Digital Asset ทั้งสิ้น

5. Platform

แพลทฟอร์ม คือ สื่อกลางในการเก็บรวมรวบ Digital Asset ทั้งหมดที่กล่าวมา — รวมไปถึงผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบ Digital ก็ได้ — ไว้ในที่เดียวกัน และทำหน้ารวบรวม User ทั้งสองขา ได้แก่ Supplier (ผู้ผลิต) และ Buyer (ผู้ซื้อ) ให้เขามาทำธุรกรรมกันบนแพลทฟอร์ม ยกตัวอย่างเช่น ShutterStock.com ซื้อขายรูปภาพ, PremiumBeat.com ซื้อขายเสียงดนตรีประกอบวีดีโอคลิป, หรือ Udemy.com ซื้อขายคอร์สออนไลน์

อย่างไรก็ดี แพลทฟอร์ม ไม่จำเป็นต้องขายสินค้า Digital เสมอไป เพราะแพลทฟอร์มมีความเป็น Digital ในตัวเองอยู่แล้ว นั่นคือการเป็นสื่อการในการอำนวยการด้าน Online Transaction อาทิ eBay.com ขายสินค้า Physical Products และ UpWork.com ขายบริการฟรีแลนซ์

6. Software/ Application

ซอฟต์แวร์ และ แอปพลิเคชัน เป็นโปรแกรมบริการต่าง ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นโดย Software developer เพื่อให้บุคคลนำไปใช้งานตามเงื่อนไข อาทิ Trello โปรแกรมในการทำโปรเจคแมนเนจเมน, WhatsApp โปรแกรมแชท, ManyChat โปรแกรมแชทบอท, และ Tinder โปรแกรมหาคู่ เป็นต้น ฯลฯ ล้วนเป็น Digital Asset โดย Asset ที่โดดเด่นที่สุดของ ซอฟต์แวร์ และ แอปพลิเคชัน ได้แก่ User ในระบบซึ่งต่อให้ โปรแกรม มี User ฟรีจำนวนมากก็มีโอกาสมีมูลค่า และเป็นที่สนใจของนักลงทุน

4 ขั้นตอนเริ่มต้นสร้างรายได้ออนไลน์จาก Digital Asset

1. ค้นหาความเชี่ยวชาญ หรือสิ่งที่ทำแล้วมีความสุข

ในชีวิตของคุณจะมี 3 สิ่ง ได้แก่ 1) สิ่งที่คุณเชี่ยวชาญ, 2) สิ่งที่คุณรัก, และ 3) สิ่งที่ทำแล้วได้เงิน เมื่อ 3 สิ่งนี้มารวมกันแล้วเกิดรายได้ เราเรียกว่า ‘Sweet Spot’ — จง List แต่ละหัวข้อออกมาอย่างน้อย 5 – 10 รายการต่อหัวข้อ จากนั้นค่อย ๆ ยุบรวมกันจนเหลือ 3 รายการต่อหัวข้อ แล้วนำไป Matching กับ 6 ไอเดียสร้างรายได้ออนไลน์จาก Digital Asset

 

2. ดูสิ่งที่อยากทำว่าอยู่ในกลุ่มใดใน 6 ไอเดียสร้างรายจาก Digital Asset

เมื่อได้ 3 รายการหลักในแต่ละหัวข้อแล้ว ให้นำไปพิจารณาว่าตรงกับรายการใดใน 6 ไอเดียสร้างรายจาก Digital Asset และคัดเลือกไอเดียที่คุณอยากทำมากที่สุดออกมา 1 – 2 อย่าง คำแนะนำในการเลือกอย่างน้อย 2 ไอเดียเพื่ออาจเป็นแผนในการกระจายช่องทางการทำเงิน

3. ศึกษาคู่แข่งในหมวดหมูที่อยากทำเพื่อหาช่องว่างและความแตกต่าง

สัจจธรรมหนึ่งของธุรกิจ คือ ‘โลกนี้ไม่มีอะไรใหม่’ อะไรก็ตามที่คุณคิดได้ มีคนคิดและทำมาก่อนคุณแล้วทั้งสิ้น ดังนั้นไม่ต้องพยายามไปคิดอะไรที่แปลกประหลาดแบบหาคนทำไม่ได้มาก่อน เพราะ 1) มันแทบไม่มีเหตุการณ์นั้น 2) หรือมีแต่คนคิดและทำเจ๊งไปแล้วเพราะมันไม่เวิร์คบนโลกนี้!

ให้คุณโฟกัสที่การสำรวจ วิเคราะห์ วิจัย แนวทางของโมเดลที่ประสบความสำเร็จอยู่แล้วว่าเขาทำอะไร จากนั้นค้นหาช่องว่างของโอกาส ยกตัวอย่างกรณี CEOblog เป็นเว็บข่าว อย่างไรก็ดีเว็บข่าวในประเทศไทยมีเยอะแล้ว หรือแม้แต่ข่าวธุรกิจและการตลาดก็มีเยอะเช่นกัน ดังนั้น CEOblog เพียงหาช่องว่างในตลาด นั่นคือมุ่งเป็น ‘ข่าวธุรกิจออนไลน์+ต่างประเทศ’ และจับคีย์นี้เป็นหลัก

4. ลงมือทำอย่างต่อเนื่อง วัดผล และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ

เมื่อเลือกแนวทางลงตัวแล้วก็มาถึงขั้นตอนวางแผนและลงมือทำ! ก่อนมาทำ CEOblog ทางผู้ก่อตั้งฯ เคยมีประสบการณ์ วางแผน และทำหัวปักหัวปำเป็นเส้นตรง และเสียเวลาไปถึง 2 ปีกับการทำ Blog ที่ไม่ประสบความสำเร็จ และไม่มีรายได้ บทเรียนนั้นทำให้ ผู้ก่อตั้งฯ เริ่มต้น Blog ใหม่กับ CEOblog โดยมีการวางแผนที่รัดกุม มีการวัดผล และพัฒนาแนวทางใหม่ ๆ อยู่เสมอ

แผนจะทำให้คุณชัดเจนในเส้นทางที่จะเดินในระยะ 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี ฯลฯ ส่วนการวัดผลจะเป็นตัวบอกว่า คุณทำถูกหรือทำผิดสูตร สูตรไหนใช้ไม่ได้ตัดทิ้ง สูตรไหนใช้ได้พัฒนาต่อยอดต่อไป

และที่สำคัญ การวัดผลจะช่วยให้คุณไม่จมอยู่กับกลยุทธ์ธุรกิจออนไลน์ที่ไม่เวิร์คนานจนเกิน 4 – 6 เดือน

สรุป

Digital Asset และ Digital Business คือโมเดลธุรกิจแห่งอนาคตที่เริ่มต้นแล้ววันนี้ ท่ามกลางโลกออนไลน์ที่คับคั่งไปด้วยสินค้าแบบ Physical Asset และตลาดออนไลน์ไทยที่เต็มไปด้วย พ่อค้าแม่ค้าที่แข่งกันขายของออนไลน์เหมือน ๆ กัน

หากคุณเร่งผันตัวมาเป็นนักธุรกิจผู้สร้าง รายได้ออนไลน์จาก Digital Asset ก่อนใคร คุณจะมีโอกาสประสบผลลัพธ์เร็วและได้ผลตอบแทนสูงกว่าดั่งวลีของ แม่ทัพซุนวู…

“…Plan for what it is difficult while it is easy, do what is great while it is small…”

จงเริ่มต้นในวันที่อะไร ๆ มันยังง่ายอยู่