เว็บไซต์ หรือ บล็อก ที่เป็นศูนย์รวมเนื้อหาขนาดใหญ่ในบ้านเราก็ได้แก่ Sanook.com, Kapook.com เป็นต้น หากเฉพาะทางขึ้นมาหน่อยก็ Thumbsup.in.th เป็นบล็อกข่าวเทคโนโลยี และธุรกิจสตาร์ทอัพ อีกอันคือ Marketeer.co.th เป็นบล็อกข่าวธุรกิจและการตลาด เว็บไซต์/บล็อก เหล่านี้มีเนื้อหาจำนวนมาก จำนวนคนเข้าเว็บมหาศาล และมีโอกาสสร้างรายได้ปีละหลักล้านจากค่าโฆษณา
ส่วนในต่างประเทศก็น่าสนใจไม่แพ้กัน มีบล็อกข่าวขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงระดับโลก อาทิ Huffingtonpost.com, Inc.com, Entrepreneur.com, Techcrunch.com, Mashable.com ฯลฯ ที่ไม่เพียงทำรายได้คิดเป็นเงินไทยปีละหลักร้อยล้านบาท แต่ยังมีมูลค่าเว็บไซต์สูงถึงพันล้านบาท และวันนี้ผมจะเล่าถึงบล็อกที่มีประวัติน่าสนใจ กล่าวคือเป็นบล็อกระดับโลก แต่มีจุดเริ่มต้นเล็กๆ โดยเด็กวัยรุ่นที่ชอบเขียนบล็อกในห้องนอนทั้งวันทั้งคืน — เขาคือ Pete Cashmore เจ้าของ Mashable.com
Mashable [ดอทคอม] บล็อกสองร้อยล้านเหรียญ
จากการบันทึกและจัดอันดับโดย Sunday Times UK Rich List และนิตยสารชั้นนำต่างๆ ที่มีรายการจัดอันดับรายชื่อคนรวย, หรือผู้มีอิทธิพลในโลกออนไลน์ปี 2012 รายงานทรัพย์สินสุทธิของ Pete Cashmore ที่ประมาณ 95 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หากนำมาคูณอัตราแลกเปลี่ยน 35 บาท/เหรียญ จะเท่ากับประมาณ 3,325 ล้านบาท
และในปีเดียวกัน Mr. Felix Salmon นักข่าวการเงินค่าย Reuters ได้รายงานอย่างไม่เป็นทางการว่า CNN มีการเสนอขอซื้อบล็อก Mashable ในราคา 200 ล้านเหรียญ หรือคิดเป็นเงินไทยที่อัตราแลกเปลี่ยน 35 บาท/ เหรียญ จะเท่ากับประมาณ 7,000 ล้านบาท แต่เขาไม่ขาย! (Source: TheNextWeb.com)
พื้นฐานของ Mashable เป็นบล็อกข่าว เน้นรายงานข่าวเทคโนโลยี อาทิ Gadgets, Software, Application, Digital marketing เป็นต้น
รายได้ของบล็อกได้แก่ ค่าโฆษณาและค่าลงประกาศ ได้แก่ Google AdSense, Text Ads, Banner Ads, Sponsored Articles, Event Listing, Job Listing ฯลฯ โดยค่าพื้นที่ลง Banner Ads ราคาเริ่มต้นประมาณ 2,000 เหรียญต่อสัปดาห์เลยทีเดียว
ด้วยปริมาณผู้เข้าเว็บไซต์ปี 2015 สูงถึง 10 ล้าน – 16 ล้าน Unique visitors ต่อเดือนทำให้สื่อคาดการณ์รายได้จากค่าโฆษณาของ Mashable สูงกว่า 4 แสนเหรียญสหรัฐฯ ต่อเดือน
จุดเริ่มต้นของ Mashable.com
Pete Cashmore เป็นชาวสก็อตแลนด์ เริ่ม Mashable.com ในปี 2005 ตอนอายุ 19 ปี เขาหลงใหลการติดตามกระแสเทคโนโลยี, และธุรกิจไฮเทค, และเขารักการเขียนเรื่องราวที่เขาสนใจ จึงเลือกที่จะเขียนลงในบล็อก
ตอนนั้นเขายังไม่มีแนวทางที่ชัดเจนของบล็อกเสียทีเดียวเขาจึงไม่อยากตั้งชื่ออะไรที่มันเจาะจงมากไปจนเป็นการผูกมัดตัวเองจนเกินไป เขาจึงตั้งชื่อว่า Mashable
เขาทุ่มเทให้กับการสร้างบล็อกเป็นอย่างมาก เขาใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนกับการเขียนบทความลงในบล็อก และนอนพักเพียงวันละ 4 ชั่วโมงในช่วงเริ่มต้น เขาพบว่าผู้เข้าเยี่ยมชมส่วนใหญ่มาจากทางอเมริกา โดยตัวเขาเองตอนนั้นอาศัยอยู่ในฝั่งยุโรป เขาจึงพยายามปรับเปลี่ยนการโพสต์บทความให้ตรงกับช่วงเวลาที่คนอเมริกันจะอ่านบล็อกของเขาได้อย่างสดๆร้อนๆ — เรียกได้ว่าแทบจะหมกตัวอยู่กับการบล็อกที่แม้แต่พ่อแม่ก็ไม่รู้ว่าวันๆ เขาทำอะไรอยู่ในห้อง
เขียนบล็อก 18 เดือนกว่าที่จะมีรายได้ก้อนแรก
Pete Cashmore เขียนบล็อกด้วย Passion ทำให้บล็อกของเขามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีสำนวนและสไตล์ในแบบของเขาเองหรือจะเรียกว่านี่คือ Unique content สไตล์เหล่านี้ทำให้เนื้อหาถูกจริตผู้อ่านเฉพาะกลุ่ม ดึงดูดคนคอเดียวกันเข้าเว็บมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งย่างเข้าเดือนที่ 18 เขาได้รับการติดต่อจากบริษัทที่ทำธุรกิจด้านโปรแกรม Chat ออนไลน์เพื่อขอลงโฆษณา ในที่สุดตกลวราคาค่าเช่าเดือนละ $3,000 ซึ่ง ณ ตอนนั้น Mashable.com มีผู้เยี่ยมชมเว็บสูงถึงเดือนละ 2 ล้าน Unique visitors
เดินทางสู่อเมริกาเพื่อขยับขยาย
Mashable เติบโตขึ้นเรื่อยๆ และมีรายได้จากค่าโฆษณาอย่างต่อเนื่อง, ในปี 2008 Pete Cashmore จึงตัดสินใจย้ายไปอเมริกาเพื่อพัฒนาบล็อกให้เป็นธุรกิจอย่างจริงจัง เปิดเป็นบริษัท และจ้างทีมงานผลิตเนื้อหาเพื่อผลักดันบทความให้มีหลากหลายและมีจำนวนมากขึ้น
จากทีมงานหลักสิบเติบโตสู่หลักร้อย และจากบล็อกข่าวเทคโนโลยีสู่บล็อกข่าวธุรกิจและไลฟ์สไตล์ ปัจจุบัน Mashable แตกกลุ่มเนื้อหาออกเป็น Social media, Tech, Business, Entertainment, US& World, Life Style ฯลฯ
หลักคิดคู่ความสำเร็จของ Pete Cashmore : Mashable
ในโลกนี้มีบล็อกมากมาย และบล็อกข่าวเทคโนโลยีก็เหลือหลายกร่ายเกลื่อน แต่ส่วนน้อยจะประสบความสำเร็จ ทั้งๆที่บล็อกข่าวเทคโนโลยีเป็น Niche ที่มีความต้องการของตลาดสูง ฉะนั้นสาเหตุของความสำเร็จของ Peter Cashmore ที่มีต่อ Mashable เป็นสิ่งที่น่าเรียนรู้อย่างยิ่งซึ่งต้องบอกว่าพอผมได้ทราบหลักคิดของแล้วไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงกลายเป็นบล็อกเกอร์ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง
รากฐานทางความคิดในการก่อตั้ง Mashable คือการเป็นบล็อกที่ให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์บนสมมุติฐานว่าเทคโนโลยีต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีความอัพเดทตลอดเวลาอาจทำให้คนจำนวนมากยังไม่รู้ถึงประโยชน์และวิธีใช้งาน
Pete Cashmore ยกตัวอย่าง Twitter ว่านั้นมีคนจำนวนมากไม่รู้ว่าจะมีไว้เพื่ออะไร ใครจะอยากพิมพ์ข้อความ 160 ตัวอักษรไปทำไม และ Mashable ทำหน้าที่ให้ความกระจ่างตรงนี้ ทำให้คนเกิดความรู้ความเข้าใจในการใช้งานเทคโนโลยีว่ามีผลต่อศักยภาพทางธุรกิจอย่างไร เพื่อให้คนนำความรู้ที่ได้จาก Mashable ไปใช้พัฒนาธุรกิจและตัวของพวกเขาเองต่อได้
เขาใส่ใจรายละเอียดของบทความไล่ตั้งแต่ ชื่อ, รูปภาพประกอบ (Feature image), ความสัมพันธ์ของเนื้อหาภายใน ต่อชื่อ, และต่อรูปภาพประกอบ การส่งต่อผู้อ่านไปยังเนื้อหาที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอกเว็บไซต์ การหาคำกระตุ้นให้คนมีส่วนร่วมกับบทความ เช่น Comment และ Share ทำให้ Mashable กลายเป็นชุมชนย่อยๆ บนโลกออนไลน์ที่มีผู้คนร่วมกันแชร์บทความไม่ต่ำกว่า 2.5 ล้าน Shares ต่อเดือน
คมความคิดของ Pete Cashmore
Put a face to your product or company. Make yourself known to give a more personal impression to everyone.
แสดงตัวตนของคุณลงไปในสินค้าหรือบริษัท ทำให้ตัวตนของคุณป็นที่รับรู้เพื่อที่จะเข้าถึงใจผู้คนได้มากขึ้น
Loyalty is incredibly important. There’s a base of stability in [our] organization that [feels] like we can weather anything because we have these relationships with key people and they’re going to be with us whatever we do.
ความจงรักภักดีเป็นสิ่งสำคัญมาก เป็นรากฐานความมั่นคงขององค์กรและเราสามารถจะก้าวไปข้างหน้าได้เพราะความสัมพันธ์อันดีทำให้ผู้คนพร้อมจะสนับสนุนเราไปตลอดไม่ว่าจะทำอะไร
Failure has to be built into your business model. You only need more than a 50 per cent hit rate to be successful. It’s the mistakes that will teach you the way.
อันที่จริงความล้มเหลวมีประโยชน์ต่อการทำธุรกิจ คุณทำถูกแค่ 50% ก็สามารถประสบผลได้แล้ว ความผิดพลาดต่างๆจะเป็นตัวสอนและชี้แนวทางที่ถูกต้องให้คุณ
อยากเป็นอย่าง Mashable?
เวลาคุณสร้างบล็อกด้วย WordPress ใหม่ๆ จะเห็น Default tag line ที่ทาง WordPress ระบุไว้ให้ว่า ‘Just another wordpress blog’ แปลแบบเจ็บๆ คือ ‘ก็แค่บล็อกเวิร์ดเพรสอีกอันหนึ่ง’
ประโยคนี้ไม่ได้ระบุเป็น Default ไว้ขำๆ แต่เพื่อเตือนใจบล็อกเกอร์ใหม่ว่าคุณทำบล็อกขึ้นมาเพื่ออะไร หาจุดยืน จุดเด่น หรือจุดต่างจากบล็อกอื่นๆ ที่มีอยู่แล้วได้หรือไม่ หน้าที่ของบล็อกเกอร์ใหม่คือการหาเหตุผลของการมีตัวตนของคุณให้เจอแล้วเปลี่ยน Tag line เป็นบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เหมือนใคร — การจะเป็นอย่าง Mashable ก็เช่นกัน
Mashable เริ่มต้นจาก Just another wordpress blog, ก่อนจะเป็น Just another tech blog และก่อนจะค้นพบจุดยืนของตัวเองในการเป็นบล็อกเกอร์ 7 พันล้าน (บาท) ภายใต้ Tag line: Leading source for news, information & resources for the CONNECTED GENERATION.
Pete Cashmore บอกว่าการเริ่มต้นเขียนบล็อกเพื่อหวังจะทำเงินล้านเป็นเรื่องตลก ผมเข้าใจความรู้สึกนี้อย่างดีเช่นเดียวกับตอนเริ่มต้นทำ CEOblog.co ว่าหากผมพุ่งเป้าไปที่เงินล้านแต่วันแรก บล็อกผมก็คงไม่ได้มาไกลถึงวันนี้
สิ่งที่ Mashable และ CEOblog มีคล้ายกันคือ Passion หรือความหลงใหลในการเผยแพร่ข้อมูลที่สนใจ, Pete สนใจเทคโนโลยี, ผมสนใจธุรกิจและการตลาดออนไลน์
คุณไม่จำเป็นต้องเป็นนักเขียนมืออาชีพเพื่อจะเขียนบล็อก ผมไม่เคยมีความคิดที่จะเป็นนักเขียนอยู่ในหัว และไม่ชอบการเขียนสักเท่าไร แต่เพราะความมีใจอยากเผยแพร่เนื้อหาที่เรามี และวิธีเผยแพร่ที่ง่ายที่สุดคือเขียน ความอยากตรงนี้จะผลักดันให้คุณเขียนเป็นโดยปริยาย
สุดท้าย… การสร้างบล็อก เปรียบเสมือนการสร้างสินทรัพย์บนโลกออนไลน์ มันใช้เวลานับปี และแต่ละวันที่ผ่านไปคุณแทบมองไม่เห็นอนาคตหรือบางครั้งอาจมองไม่เห็นเหตุผลว่าคุณทำสิ่งนี้ไปเพื่ออะไร แต่เชื่อเถอะว่าสักวันหนึ่ง บล็อกที่คุณทำจะสร้างผลตอบแทนแก่คุณอย่างเหนือความคาดหมาย