CEO Uber กับ 5 หลักคิด ผู้พิชิตธุรกิจ 5 หมื่นล้านเหรียญใน 5 ปี

ceo ub

ตลอดปี 2014 ที่ผ่านมาผมเชื่อว่าหลายคนต้องผ่านหูผ่านตากับกระแสดราม่า Uber ที่หลายประเทศทั่วโลกรวมถึงไทยพยายามต่อต้าน เพราะเกรงว่าการมาของ Uber จะกระทบธุรกิจขนส่งโดยเฉพาะรถแท็กซี่

แต่ไม่ว่า Uber จะโดนอัดจากกลุ่มผู้ต่อต้านสักแค่ไหน Co Founder & CEO อย่าง Travis Kalanick ก็ลุยเดินหน้าแก้ปัญหาและนำ Uber สู่การเติบโตและเป็นรถสาธารณะทางเลือกอันมีประสิทธิภาพของผู้บริโภค

Uber ผ่านสถานการณ์อันยากลำบากทั้งปีมาได้และล่าสุดเมื่อต้นปี 2015 ที่ผ่านมา Travis Kalanick ก็ประกาศแผนระดมทุนอีก 1.2 ล้านเหรียญตอกย้ำการเติบโตแบบติดจรวดในปี 2015 เป็นต้นไปในขณะที่บรรดานักธุรกิจและนักลงทุนต่างให้คุณค่าบริษัท Uber สูงถึง 40,000 ล้านเหรียญและบางแหล่งข่าวบอกว่าอาจสูงถึง 50,000 ล้านเหรียญหรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท!

คุณค่าอันสูงลิ่วมาจากความเชื่อมั่นที่ตลาดมองถึงอนาคตของ Uber และปี 2015 นี้ Uber มีอายุครบ 5 ปี Travis Kalanick ได้กล่าวพูดถึงเรื่องที่ผ่านมาและแนวทางที่จะเป็นไปของ Uber แก่พนักงาน ทำให้ได้เห็นถึงหลักคิด 5 อย่างของเจ้าของธุรกิจ Startup ที่คนให้ค่าสูงถึงหลักล้านล้านบาท!

1. บริษัทยักษ์ใหญ่ล้วนเริ่มจากศูนย์

ผู้คนทึ่งในความเป็นบริษัทใหญ่โตระดับโลกที่ดำเนินกิจการอยู่ใน 50 ประเทศทั่วโลกและมีทีมคนขับ Uber กว่า 1 ล้านคน แต่ใครจะคิดว่าย้อนกลับไปเพียง 5 ปีที่แล้ว Uber เป็นธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีพนักงานเพียง 4 คนและ 4 คนนั้นเป็นผู้ร่วมก่อตั้งทั้งหมด

แม้แต่ Travis เองก็ไม่คิดว่าเขาจะมาได้ไกลขนาดนี้ เพราะ ณ เวลานั้นที่ธุรกิจเพิ่งเริ่มก่อตั้งใหม่ๆ ในหัวของบรรดาทีมผู้ก็ตั้งคิดแต่เพียงจะทำอย่างไรให้อยู่รอด จะทำอย่างไรให้มีรายได้เข้ามาเพียงพอที่จะดำเนินกิจการให้ผ่านไปในแต่ละไตรมาศ

ธุรกิจที่สวยหรูในวันนี้ไม่ได้มีเส้นทางที่ราบรื่น ความยิ่งใหญ่ของ Uber มาจากการทำงานหนักและการดิ้นรนให้ธุรกิจเดินหน้าไปได้ในแต่ละวัน

เราครุ่นคิดแต่จะสู้เพื่อมีชีวิตรอด เรื่องร่ำรวยนั้นแทบไม่มีเวลาให้คิดถึง” – Travis กล่าวในงานพูดครบรอบ 5 ปี

2. ธุรกิจที่ได้ผล คือธุรกิจทีแก้ปัญหาให้ผู้อื่น

ถ้าคุณอยากเป็น Startup founder ผู้ยิ่งใหญ่คนถัดไป หน้าที่ของคุณคือค้นหาช่องว่างในตลาด ค้นหาปัญหาเฉพาะทางที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ‘Be specific’ หรือ เฉพาะเจาะจงที่สุดยิ่งดี

จุดเริ่มต้นของ Uber มาจากที่ผู้ร่วมก่อตั้งอีกคนหนึ่งฝันถึงพาหนะที่กดปุ่มเรียกให้มารับและพาไปที่ไหนก็ได้โดยไม่มีข้อแม้

Travis บอกว่า “เราไม่ได้เริ่มธุรกิจนี้ด้วยเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ เราเริ่มธุรกิจนี้เพื่อตอบสนองปัญหาที่เพื่อนเราประสบ

3. ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีกว่า ในราคาที่ประหยัดด้วย

Uber แพร่หลายอย่างรวดเร็วเพราะความสะดวกกว่าการใช้บริการรถสาธารณะทั่วไป นั่นคือเรียกรับ Uber มารับและพาไปที่ไหนก็ได้โดยไม่ต้องถกเถียงต่อรองเพราะตกลงกันมาล่วงหน้าแล้ว และราคาที่เหมาะสมหรือถูกกว่า

Travis พูดในที่ประชุมครบรอบ 5 ปี Uber ว่า…
Uber เป็นบริการรถสาธารณะที่ดีในราคาที่ทุกคนเข้าถึงได้ โมเดล UberX ในหลายๆ ประเทศมีราคาถูกกว่านั่งแท็กซี่ และหากเทียบกับค่าใช้จ่ายจิปาฏะในระยะยาวจากการซื้อรถใช้เอง การใช้บริการ Uber นั้นถูกกว่าการเป็นเจ้าของรถส่วนบุคคลอย่างขาดลอย

ในฝั่งของผู้เข้ามาขับ Uber พวกเขาจะมีโอกาสในการสร้างรายได้พร้อม Life style ในการทำงานของตัวเอง Travis “บอกว่าบรรดาคนที่เข้ามาสมัครขับ Uber เพราะรายได้ดีและเลือกเวลาในการทำงานของตัวเองได้”

นี่แหละคือหัวใจของการเริ่มธุรกิจสักอย่าง ธุรกิจที่แก้ปัญหา และตอบโจทย์คุณภาพชีวิตของผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ทุกฝ่าย

4. ยอมรับความผิดพลาดและเร่งแก้ไข

เดิมที Travis ไม่ใช่ผู้ประกอบการที่มีภาพลักษณ์งดงาม ในทางกลับกันเขาถูกตำหนิจากสื่อในการแข็งกระด้างและดุดันในอารมณ์และการพูดจาจนบางครั้งดูเป็นคนหยิ่ง

Travis ยอมรับว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ โดยบอกว่าทั้งตัวเขาและบริษัทไม่สมบูรณ์แบบ แต่เขาก็พร้อมจะพัฒนาและปรับปรุงพฤติกรรมให้อ่อนโยนต่อสื่อมากขึ้น

สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่านักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง คือคนธรรมดาที่อาจมีพฤติกรรมหลุดๆ รั่วๆ บนเส้นทางการทำงานของคุณและแม้แต่ผมเองก็เคยหลุดเคยรั่ว เคยมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมมาแล้วทั้งสิ้น แต่เมื่อรู้ตัวแล้วยอมรับ ขออภัย ปรับปรุง และก้าวต่อไป คนที่ไม่ชอบและไม่ให้อภัยก็ปล่อยเขาไป เพราะมีคนมากกว่าที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างคุณ

5. อุปสรรคทำให้คุณเคลื่อนตัวได้ช้าลง แต่อย่าหยุดเดิน

Travis บอกว่า “ผมเชื่อว่าคุณต้องเคยฟังข่าว… เราถูกต่อต้านจากแทบทุกหนแห่งที่เราเหยียบย่างเข้าไป ผู้มีอิทธิพลในแต่ละพื้นที่จับมือกันขับไล่และหยุดยั้งไม่ให้เราเข้าไปขยายธุรกิจในเมืองหรือประเทศของพวกเขา

Uber และบรรดาผู้ก่อตั้งต้องเผชิญปัญหาหนักหนาจนถึงขั้นธุรกิจมีโอกาสล่มสลายเพราะเป็นปัญหาการไม่ให้ทำธุรกิจในระดับประเทศกันเลยทีเดียว

ในจังหวะที่ธุรกิจกำลังไปได้สวย แทบทุกคนจะต้องวิ่งไปเจอตออะไรสักอย่างที่ทำให้เซได้ด้วยกันทั้งสิ้น ระดับความรุนแรงของแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่ก็เชื่อว่าหนักหนากันไปตาม Scale และ กำลังของแต่ละคน อุปสรรคทำให้คุณเคลื่อนตัวได้ช้าลง แต่อย่าหยุดเดินครับ

การทำธุรกิจส่วนตัวเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เหตุการณ์ไม่คาดฝันที่จะมาท้าทายจิตใจคุณอาจเกิดขึ้นได้โดยไม่ตั้งตัว ปัญหาต่างๆ ที่เข้ามากระทบก็ทำให้ผมรู้สึกมืดมนจนคิดว่าจะไปต่อไปไม่ได้ แต่ผ่านไปสักสองสามวัน หรือสักสัปดาห์ พอสติกลับมาคุณจะเริ่มคิดเห็นและหาแนวทางในการไปต่อครับ

การเป็น Entrepreneur ผูกพันกับกฎเหล็กของธรรมชาติ นั่นคือ… ‘สัญชาติญาณการมีชีวิตรอด