ผมเป็นแฟนแนวคิดของหนังสือ Atomic Habits และเคยหยิบจับแง่มุมต่าง ๆ มาทำบอกเล่าเป็นระยะ ๆ ผ่านเฟซส่วนตัวบ้าง ผ่าน CEO Channels บ้าง ฯลฯ และล่าสุดไปเจอพระสูตรหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เคยสอนแนวคิดทำนองนี้เมื่อกว่า 2500 ปีก่อน!
ขอเท้าความ หนังสือ Atomic Habits กันก่อน
หนังสือ Atomic Habits เขียนโดย James Clear มีการพูดถึง The power of tiny gains โดยให้ข้อคิดว่า หากใครคิดว่าตนมีเวลาน้อย ให้ลงมือทำวันละนิด ก็ส่งผลที่ยิ่งใหญ่ได้ ด้วยสมการบางอย่างที่ผู้เขียนไปคำนวณมาว่า หากเราลงมือทำตามเป้าหมาย แม้เพียงวันละ 1% แต่ขอให้ทำทุกวัน ภายใน 1 ปี เราจะพัฒนาขึ้น 37 เท่า
คีย์คำแนะนำของ James Clear คือ จงสร้างระบบบางอย่าง ที่เอื้อให้เราลงมือทำทุกวัน จนกลายเป็นนิสัย โดยไม่ต้องรอแรงบันดาลใจ เช่น หากเป้าหมาย คือ ลดน้ำหนัก สิ่งที่ต้องทำคือ ออกวิ่งทุกวัน
ดังนั้น เปลี่ยนจากตั้งเป้าลดน้ำหนัก ไปเป็นตั้งเป้าออกวิ่งทุกวัน และหาระบบหรือกระบวนการช่วยทำตามเป้าหมาย อาทิ วางชุดวิ่งไว้ข้างเตียง วางรองเท้าวิ่งไว้กลางบ้าน เพื่อเตือนตัวเอง และเพื่อให้หยิบมาสวมใส่ง่าย โดยไร้ข้ออ้าง เป็นต้น
ทดคีย์นี้ไว้ในใจ ทำวันละนิดก็ได้ ขอให้ทำสม่ำเสมอ แล้วผลจะบังเกิดในที่สุด
แล้วไปดูพระสูตร ชื่อ ภาวนาสูตร
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนภิกษุว่า จงขยันหมั่นเพียรในการทำภาวนาอย่างสม่ำเสมอ เพราะหากภิกษุไม่หมั่นภาวนา ต่อให้ปรารถนาจะพ้นทุกข์ ก็จะไม่พ้นทุกข์ แต่หากหมั่นภาวนา ต่อให้ไม่ปรารถนาจะพ้นทุกข์ ก็จะพ้นทุกข์ และยกอุปมา ดังต่อไปนี้ :
“ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนรอยนิ้วมือ รอยนิ้วหัวแม่มือที่ด้ามมีด ย่อมปรากฏแก่นายช่างไม้ แต่เขาไม่รู้อย่างนี้ว่า วันนี้ด้ามมีดของเราสึกไปเท่านี้ เมื่อวานสึกไปเท่านี้ หรือเมื่อวานซืนสึกไปเท่านี้ ที่จริง เมื่อด้ามมีดสึกไป เขาก็รู้ว่าสึกไปนั่นเทียว ฉันใด
เมื่อภิกษุหมั่นเจริญภาวนาอยู่ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน แม้จะไม่รู้อย่างนี้ว่า วันนี้ อาสวะของเราสิ้นไปเท่านี้ เมื่อวานสิ้นไปเท่านี้ หรือเมื่อวานซืนสิ้นไปเท่านี้ แต่ที่จริง เมื่ออาสวะสิ้นไป ภิกษุนั้น ก็รู้ว่าสิ้นไปนั่นเทียว”
การอุปมาของพระพุทธเจ้า ตรงกับชีวิตจริงที่เวลาเราตั้งเป้าหมายแล้วลงมือทำ 2 – 3 วันบ้าง, 2 – 3 สัปดาห์บ้าง แล้วยังไม่ค่อยเห็นความคืบหน้าใด ๆ คนเราก็มักจะท้อใจหลังลงมือทำบางสิ่ง เมื่อย่างเข้าเดือนที่สอง หรือเดือนที่สาม เพราะไม่เห็นพัฒนาการในตัวเอง ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองดีขึ้น หรือเก่งขึ้น ท้อใจ และล้มเลิกไป ฯลฯ
ซึ่งก็ตรงกับที่ พระพุทธเจ้า ตรัสว่า ช่างไม้จับอุปกรณ์หั่นสิ่งของทุกวัน เขาก็ไม่รู้หรอกว่าด้ามมีดมันสึกไปเท่าไร แต่ผ่านไป 6 เดือนบ้าง 12 เดือนบ้าง เขาจึงเห็นว่าด้ามมีดนั้นสึกไปจากการใช้งานทุกวัน
การพัฒนาตัวเองก็เช่นกัน เราไม่รู้ว่าเมื่อวานเราเก่งขึ้นกี่หน่วย วันนี้เราเก่งขึ้นกี่หน่วย เรามองพัฒนาการวันต่อวันในตัวเองไม่เห็น แต่หากทำทุกวัน ผ่าน 6 เดือนบ้าง 12 เดือนบ้าง เอาผลลัพธ์ล่าสุดเทียบกับวันแรก คุณถึงจะเห็นชัดเจนว่า ชิ้นงานวันแรกเมื่อ 12 เดือนที่แล้ว กับชิ้นงานวันนี้ ความประณีตต่างกันราวฟ้ากับเหว
พระพุทธเจ้าจบพระสูตรนี้ด้วยข้อความ
“…เปรียบเหมือนเรือเดินสมุทรที่เขาผูกหวาย ขันชะเนาะแล้วแล่นไปใน น้ำตลอด ๖ เดือน ถึงฤดูหนาว เข็นขึ้นบก เครื่องผูกประจำเรือตากลม และแดดไว้ เครื่องผูกเหล่านั้นถูกฝนชะ ย่อมชำรุดเสียหาย เป็นของเปื่อยไป โดยไม่ยาก ฉันใด ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุหมั่นเจริญภาวนาอยู่ สังโยชน์ ย่อมสงบระงับไปโดยไม่ยาก ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล…”
แม้ถ้อยความนี้เป็นการสอนเรื่องการหลุดพ้น แต่ก็มีประโยชน์มากสำหรับฆราวาส นำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ได้แก่ เรื่องบางเรื่องในชีวิต ที่ดูเป็นเรื่องใหม่ ดูเป็นกิจที่ทำได้ยาก แต่หากเราฝึกฝนบ่อย ๆ ลงมือทำสม่ำเสมอ ทำจนเป็นนิสัย สิ่งที่ยากก็จะกลายเป็นเรื่องที่เราสามารถประพฤติปฏิบัติได้อย่างคล่องแคล่ว และเชี่ยวชาญ
– James Clear แนะนำไว้ใน Atomic Habits ว่า “แค่ 1% ต่อวัน” – ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ลงมือทำความสำเร็จให้เกิดขึ้น
– พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ใน เอกนิบาต ๑,๐๐๐ สูตร “แม้ชั่วกาลเพียงลัดนิ้วมือ” – ก็ขึ้นชื่อว่าไม่เหินห่างจากการปฏิบัติ
ทำวันละนิดก็ได้ ขอให้ทำสม่ำเสมอ แล้วผลจะบังเกิดในที่สุด