Artificial Intelligence เทรนด์ที่นักธุรกิจและนักการตลาดโลกจับตามอง

หากตอนนี้มีใครบอกคุณว่านี่มันหมดยุค Social media แล้ว คุณจะเชื่อไหม?

ยากที่จะเชื่อ เพราะว่าตอนนี้หันไปไหนต่อไหน เรายังเห็นโฆษณาสอนการทำตลาดกับด้วย Facebook, Twitter กันอยู่ และยังไม่รวมโฆษณาบิลบอร์ดที่มีการประชาสัมพันธ์ให้ตามมากด Like กันต่อที่ Fan page แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าหมดยุคของ Social media ได้อย่างไร?

ถ้าวัดจากการที่คุณสไลด์หน้า Facebook ตลอดทั้งวัน การเห็น Sponsor Ads แสดงผลอยู่ทั่วไปใน Facebook newsfeed ผนวกกับการเดินเข้าออกตามร้านหนังสือในบ้านเรา เห็นไหมว่าคู่มือสอนการทำตลาดออนไลน์ (ที่ถูกเขียนขึ้นโดยใครก็ไม่รู้) ก็ยังคงติดแผงและขึ้นอันดับ Best seller วันยังค่ำ เหล่านี้คือหลักฐานยืนยันว่านี่ยังอยู่ในยุครุ่งเรืองของ Social media

แต่ถ้าว่ากันระดับมหาภาค ผลจากการประชุมตามงาน World conferences ที่ได้รับความนิยมต่างๆ กลับเป็นเช่นนั้นไม่ จากการตั้งข้อสังเกตของการประชุมระดับนานาประเทศถึงความเป็นไปได้ของ Trends ของยุคล่าสุดที่ตอนนี้กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ ซึ่งมีแนวโน้มจะเติบโตถึงขั้นเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนได้เหมือนดั่งยุคที่ Social media ได้ถือกำเนิดขึ้น (และกำลังจะจบลง) นั้นคือการเข้าสู่ยุคของเทคโนโลยี AI (ปัญญาประดิษฐ์) ในการจัดการข้อมูล รวมถึงทดแทนแรงงานคนแบบ Automation อย่างเต็มตัว

อย่างไรก็ตาม หากเราลองสังเกตดูเองก็ได้ว่าการทำการตลาดบน Social media นั้นอิ่มตัวแล้ว โดยวัดจากที่สินค้าและบริการที่งอกเงยขึ้นมาใหม่ ที่แม้ว่าจะมีขึ้นมาใหม่ แต่ก็คือการแตกกิ่งก้านออกมาจากไอเดียเก่า อาทิเช่นบริการของ Application ต่างๆ ที่มีกันเกร่อ เช่นบริการเรียกรถรับส่ง ที่ต่างโฟกัสที่รูปแบบการทำตลาดแบบเดิมๆ เช่นการแจกส่วนลด และการประเมินคะแนนจากผู้โดยสาร

AI ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ Timing ของเขากำลังมา

แล้วสิ่งที่เรียกว่าปัญญาประดิษฐ์หรือ AI มันมีบทบาทอย่างไรที่เราควรรู้บ้าง จะว่าไปหากเรียกด้วยศัพท์สแลงสวยหรูแบบนี้ อาจฟังดูค่อนไปทางเทคโนโลยีเกินเอื้อม แต่อันที่จริงแล้ว เทคโนโลยี AI นั้นอยู่รอบๆตัวเราทุกที และมีมานานแล้ว เนื่องด้วยสมัยก่อนนั้นไม่ว่าจะทำอะไรก็ล้วนแต่ต้องใช้แรงงานมนุษย์ทำข้นมาทั้งนั้น และด้วยความฉลาดของมนุษย์เราก็เลยพยายามคิดค้นสิ่งที่จะมาทำงานแทนเราได้ นั่นคือจุดเริ่มต้นของปัญญาประดิษฐ์ หรือที่เราเรียกย่อๆว่า AI นั่นเอง

ในยุคแรกนั้น ด้วยข้อจำกัดหลายๆอย่าง ระบบปัญญาประดิษฐ์ยังทำงานแทนเราได้แค่พื้นฐาน เช่นประตูบานเลื่อนอัตโนมัติตามซูเปอร์มาร์เก็ต ก็จะสามาถทำได้ตามคำสั่งพื้นๆ เช่น หากมีวัตถุมาหยุดที่จุดเซ็นเซอร์ ประตูก็จะเปิดออก หากไม่มีก็ปิด ง่ายๆ เพียงเท่านี้ และจากนั้นก็เริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้น เช่น ตู้กดน้ำอัดลม ที่เมื่อผู้ใช้หยอดเหรียญ ระบบปัญญาประดิษฐ์ก็ต้อทำการคำนวณ ว่าเหรียญที่ผู้ใช้หยอดเข้ามานั้น เพียงพอซื้อสินค้าประเภทใดบ้าง หรือต้องทอนเงินเป็นจำนวนเท่าไรเป็นต้น

จุดสังเกตง่ายๆก็คือทักษะการทำงานอะไรก็ตาม ที่ต้องใช้การปฎิบัติซ้ำๆ สามารถถูกแทนทีด้วยเทคโนโลยี AI ได้หมดทั้งนั้น

เห็นได้ว่าในยุคที่ผ่านมา เทคโนโลยี AI สามารถทำงานพื้นฐานแทนเราได้ แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าในยุคปัจจุปันอันใกล้ ระบบปัญญาประดิษฐ์ที่ว่านี้จะสามารถทำในสิ่งที่แม้แต่เราเองก็ทำไม่ได้?

แต่แน่นอนว่าองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้เราได้สัมผัสเทคโนโลยีใหม่ๆ เร็วหรือช้า ก็ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมในสังคมด้วย คงไม่เร็วนักที่บ้านเราจะเห็นรถยนต์วิ่งบนท้องถนนแบบไร้คนขับ แต่ความปลอดภัยสูงยิ่งกว่า

ธุรกิจเก่าแก่เริ่มใช้ AI ทำงานแทน

การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้สามารถรวมไปถึงอาชีพในสายงานอื่นๆอีกมากมายที่ได้รับผลกระทบจากการเข้าสู่ยุคใหม่อย่างมากมาย ไม่ใช่เพียงแต่คนขับรถเท่านั้น เพราะอย่างในวงการการศึกษาเอง ตอนนี้มหาวิทยาลัยชื่อดังในด้านเทคโนโลยีอย่าง Caltech หรือ MIT ก็มีการเรียนการสอนด้วยครูที่เป็น AI แล้ว

หรือจะลองดูกลุ่มอาชีพยอดนิยมในยุคปัจจุปันนี้ก็ได้ อีกไม่นานอาชีพนักบินอาจไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป เพราะการนำเครื่องบินขึ้นและลงจอดถูกทำโดย AI ที่ชาญฉลาด และแม่นย่ำมากกว่ามนุษย์

นอกจากนี้แม้ว่าปัจจุปัน IBM Watson หรือหนึ่งในเทคโนโลยี AI ที่ว่าฉลาดเป็นกรดที่สุดในทศวรรษนี้ จะถูกนำเสนอในแง่การเป็นเครื่องมือที่ช่วยย่นระยะเวลาในการประมวลข้อมูลอย่างแม่นย่ำเพื่อให้ความช่วยเหลือแพทย์ชาวมนุษย์ในการทำการวินิจฉัยโรค

แม้แต่อาชีพระดับสูงบางส่วนจะถูกแทนที่ด้วย AI

แต่ในอนาคตอันใกล้ กรณีที่เทคโนโลยีมีความเจริญก้าวหน้ามากจนมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มากกว่าการเป็นเพียงเครื่องมืออำนวยความสะดวกแก่มนุษย์ อาชีพหมอเองจากเดิมที่มักจะหาข้อสรุปว่าคนไข้ป่วยเป็นอะไรด้วยการสังเกตลักษณะอาการของโรค 15 % และความคาดเดาบนพื้นฐานของประสบการณ์อีก 75 % นั้นอาจจะตกงานได้เหมือนกัน

นี่เป็นเพียงตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าเมื่อใดก็ตามที่มียุคใหม่เริ่มขึ้น ผู้ที่มีความรู้เฉพาะทางบางอย่างที่สอดคล้องกัน มักจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ จากในบริบทของยุค AI นี้ก็ได้แก่ผู้ที่อยู่ในสาขาอาชีพของวิทยาการ วิศวกรรม หรือคอมพิวเตอร์ ที่ดูมีความเป็นไปได้ว่าหมดห่วงในการเอาตัวรอดได้มากกว่าชาวบ้านเขา

อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ที่ต้องการรู้ข้อมูลความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเทคโนโลยี AI อย่างใกล้ชิดไม่ว่าจะเพื่อความได้เปรียบ หรือเพื่อความสบายใจก็ตามแต่ การติดตามข่าวสารเกี่ยวกับเทคโนโลยี AI ตามช่องทางต่างๆ ผ่านแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ว่าโลกของเรา ณ ขณะนี้ มีที่ไหนที่เริ่มใช้เทคโนโลยีประเภทนี้บ้าง และใช้ในรูปแบบใด โดยอิงจากข้อเท็จจริงเข้าไว้ ไม่ต้องพยายามกระโตกกระตากคาดคะเนไปเอง หรือฟังเขาคาดคะเนกันมาอีกที

สรุป

กล่าวโดยสรุป ในยุคปัจจุบันนี้มีข้อมูลข่าวสารมากมายในโลกอินเตอร์เน็ตที่สมองของมนุษย์อย่างเราๆ คงไม่มีทางเข้าถึงและรวบรวมเอามาได้หมด นั่นหมายความว่า การตัดสินใจของเรานั้นอาจจะไม่ถูกต้อง เพราะเราได้รับข้อมูลไม่ครบ หรือหลายครั้งก็เป็นข้อมูลที่ได้มาจากการทำ Content ของนักการตลาดก็เป็นได้

ในทางกลับกันการใช้เทคโนโลยี AI ที่มีหน้าที่รวบรวมข้อมูลข่าวสารทั่วโลกไว้ตลอดเวลาที่เข้าใจทุกภาษา ทุกศัพท์แสลง ซ้ำยังเข้าใจคำสั่งของเรา สามารถแยกแยะข้อมูลต่างๆเพื่อตอบสนองคำสั่งที่เฉพาะเจาะจงของเรา การทำ Content บนโลก Social media เพื่อหวังผลทางการตลาดในการโน้มนาวการตัดสินใจของลูกค้าอาจไม่เวิร์คอีกต่อไป นี่คือที่มาของทัศนะที่ว่าหมดเวลาการทำตลาดแบบเดิมๆของยุค Social media แล้วนั่นเอง

may peeAuthor : Peeraya Ungkasiriwanon