Ai Artificial Intelligence

Ai มาแล้ว อีก 5 ปีนับจากนี้ พนักงานแบงค์จะตกงานกว่า 2 ล้านตำแหน่ง

Bloomberg รายงาน Vikram Pandit อดีต CEO ของ Citigroup กล่าวว่า เทคโนโลยีอาจทำให้ตำแหน่งงานธนาคารหายไปกว่า 2 ล้านตำแหน่งภายใน 5 ปีข้างหน้านี้

ปัญญาประดิษฐ์หรือ Ai (Artificial Intelligence) และหุ่นยนต์ มีบทบาทสูงขึ้นในทุก ๆ อุตสาหกรรม และเริ่มมีการลดจำนวนพนักงานที่เกินความจำเป็นลง และใช้ Ai หรือหุ่นยนต์เข้ามาทำงานแทน โดยหลังจากนี้เราจะเริ่มเห็น Ai และ หุ่นยนต์เข้าทำงานทดแทนมนุษย์มากขึ้นเรื่อย ๆ และในธุรกิจการเงินการธนาคาร ก็เป็นอีก 1 อุตสาหกรรมที่จะมีการทดแทนแรงงานด้วย Ai เช่นเดียวกัน

Vikram Pandit กล่าวว่า ในช่วงระหว่างปี 2015-2025 พนักงานแบงค์จะตกงานประมาณ 30% ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการที่ธนาคารต่าง ๆ ปรับตัวไปใช้ระบบออโต้ หรือใช้ Ai เข้ามาทำงานแทนมาขึ้น เช่นการให้กู้เงินกับลูกค้ารายย่อยอาจจะไม่จำเป็นต้องใช้พนักงานอีกต่อไป เพียงใช้แค่ Ai เท่านั้นก็พอ ซึ่งสิ่งที่น่าตกใจคือ การพัฒนาเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะทำให้พนักงานแบงค์ในสหรัฐอเมริกาต้องตกงานถึง 770,000 ตำแหน่ง และในยุโรปอีกประมาณ 1 ล้านตำแหน่ง ซึ่งแนวโน้มนี้มีความเป็นไปได้สูง เนื่องจากย่านการเงินอย่าง Wall Street ก็ยังมีการนำเทคโนโลยีเข้าไปใช้งานมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Machine Learning หรือ Cloud Computing ฯลฯ ส่วนพนักงานจำนวนมากจะต้องปรับตัว หรือหาตำแหน่งงานใหม่ ๆ

Tom Montag ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ Bank of America กล่าวว่า บริษัทจะสามารถลดค่าใช้จ่ายลงไปได้มากหากเราค้นหาเทคโนโลยีที่สามารถทำงานทดแทนมนุษย์ได้มากขึ้น

แม้แนวโน้มจะค่อนข้างชัดเจน แต่ก็ยังมีเสียงคัดค้านไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ เช่น Jamie Dimon ซีอีโอธนาคาร JPMorgan Chase กล่าวว่า ยังไม่ต้องตื่นตระหนก เพราะการใช้เทคโนโลยีเข้ามาเสริมในการทำงานก็เพื่อลดต้นทุน ซึ่งก็หมายความว่าจะเปิดโอกาสให้กับตำแหน่งงานใหม่ ๆ ด้วย ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้ขยายงานและจ้างพนักงานมากขึ้นด้วยซ้ำ และยังย้ำว่า เขาจะจ้างพนักงานที่เป็นมนุษย์ต่อไป พร้อม ๆ กับการนำเทคโนโลยีมาใช้ในธนาคารอย่างต่อเนื่อง

ข้อเสนอแนะในการปรับตัวในยุค Ai

ในอนาคตงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ ที่ไม่ต้องการการคิดวิเคราะห์มากนัก แต่ต้องการความแม่นยำ และละเอียดรอบคอบ จะถูกทดแทนด้วย Ai และ หุ่นยนต์ทั้งหมด สำหรับธุรกิจการเงิน การธนาคารนั้น ตำแหน่งที่มีความเสี่ยงที่สุดคือ พนักงานรับฝากเงิน หรือ Teller เพราะแม้แต่ในตอนนี้ การทำธุรกรรมที่หน้าเคาน์เตอร์จะเริ่มน้อยลงแล้ว ผู้ใช้บริการสามารถฝากเงินสดที่ตู้รับฝาก และถอนโดยเอทีเอ็ม หรือในอนาคตที่ประเทศไทยจะเข้าสู่ยุคสังคมไร้เงินสด การฝาก,  ถอน,  โอน หรือจ่ายบิล แทบจะไม่ต้องมาที่หน้าเคาน์เตอร์อีกต่อไปแล้ว และขณะนี้ ธนาคารหลายแห่งได้ทยอยปิดสาขาของตัวเองลงแล้ว แม้ว่าในอดีตธนาคารจะใช้ Teller ในการเชียร์ขายประกันซึ่งก็อาจมองได้ว่า เป็นตำแหน่งที่หารายได้ให้ธนาคารอีกทางก็ตาม แต่ในอนาคตเมื่อผู้คนได้ศึกษามากขึ้น การขายประกันก็แทบจะไม่ต้องใช้พนักงานมาช่วยเชียร์อีกต่อไป และแม้แต่งานสินเชื่อรายย่อยเองก็อาจถูกแทนที่ด้วย Ai เช่นกัน

การที่เจ้าของบริษัทต้องการลดต้นทุนโดยหาสิ่งอื่นมาทดแทนการจ้างแรงงานนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ผิด เพราะคนทำธุรกิจก็ย่อมต้องการกำไรที่มากขึ้น แต่ในมุมมองของพนักงาน อาจจะมองว่าไม่เป็นธรรมนัก และนับจากวันนี้เป็นต้นไป หากพนักงานยังไม่ตระหนักถึงความไม่มั่นคงของอาชีพ ก็คงยากที่จะเรียกร้องให้ใครมารับผิดชอบ

พนักงานจึงควรพิจารณาบทบาทของตนเองในองค์กรว่า มีความสำคัญต่อองค์กรมากน้อยแค่ไหน  ซึ่งคำถามนี้หาคำตอบได้ง่ายมาก อาจจะลองตั้งสมมติฐานว่า หากในวันพรุ่งนี้เราไม่ได้ทำงานในตำแหน่งนี้ บริษัทจะเป็นอย่างไร ถ้าคำตอบคือ สามารถหาพนักงานใหม่ หรือให้พนักงานคนอื่น มาทำหน้าที่แทนได้ทันที นั่นก็หมายความว่า ความสำคัญของเราต่อองค์กรมีน้อยมาก หรือแทบไม่มีเลย ความมั่นคงในอาชีพก็จะต่ำ และเมื่อเทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตำแหน่งของใครจะถูกปลดเป็นคนแรก

สิ่งที่ควรทำไม่ใช่การเรียกร้องขอสวัสดิการ หรือขอคำมั่นให้จ้างงานต่อไป เพราะบริษัทไม่ได้มีหน้าที่เลี้ยงดูคุณจนถึงวันเกษียณ แต่สิ่งที่ควรทำคือ พัฒนาศักยภาพของตัวเอง ให้พร้อมกับตำแหน่งงานใหม่ ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งคุณอาจจะต้องศึกษาหาความรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง และทำให้ตนเองมีความสำคัญกับบริษัท ที่ไม่ว่า Ai หรือ หุ่นยนต์จะฉลาดสักแค่ไหน ก็ไม่สามารถมาทำงานแทนในตำแหน่งของคุณได้

ที่มา Bloomberg , Fortune , business-standard , business-gurus