ธุรกิจการศึกษาออนไลน์ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Digital education หรือ Electronic learning (E-Learning) จากการรายงานของเว็บไซต์ Statista ระบุว่า ตลาดโลกของธุรกิจการศึกษาในปี ค.ศ. 2016 มีเม็ดเงินสะพัดกว่า 165 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และคาดการณ์ว่าจะโตไปแตะ 243 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ มากกว่า 8 ล้านล้านบาท ในปี ค.ศ. 2022
ในวีดีโอจะเหลือ 4 โดยตัดหัวข้อสัมมนาออกไป และ หัวข้อคอร์สดีวีดีไปรวมกับคอร์สออนไลน์
ปัจจุบัน สถาบันการศึกษาในต่างประเทศนับร้อย ๆ รายมีการเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญต่อระบบ E-Learning รวมไปถึงมหาวิทยาลัยแนวหน้าในอเมริกา, ยุโรป, ออสเตรเลีย, และจีน ต่างแข่งขันกันนำสถาบันตัวเองขึ้นสู่โลกออนไลน์ และมีการทำหลักสูตรระยะสั้น เช่น หลักสูตร 6 เดือน หรือ 12 ปีพร้อมออกใบ Certificate ให้ผู้เรียนนำไปประกอบอาชีพได้
ต่อมา องค์กรเอกชนบางราย อาทิ Google สร้างหลักสูตรระยะสั้น พร้อมออกใบ Certificate ให้ผู้สำเร็จหลักสูตรใช้สมัครงานได้เช่นกัน ในขณะที่เอกชนบางรายโดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจ บริการ, ซอฟต์แวร์ และเทคสตาร์ทอัพ สร้างหลักสูตรขึ้นเพื่อเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาด การสร้าง Brand awareness และเพื่อสอนลูกค้าให้สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับรายย่อยอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ที่อยากประกอบอาชีพสอน — E-Learning ช่วยให้คุณเริ่มต้นอาชีพสอนได้ง่ายขึ้น และสร้างรายแบบ Leverage income ให้คุณอย่างน่าพอใจ E-Learning หรือ การสอนออนไลน์ เป็นการทำลายอุปสรรคด้าน ร่างกาย และ เวลา ของคุณออกไปโดยโอนย้ายความรู้ในตัวคุณมา Re-package เป็นชุดผลิตภัณฑ์ความรู้ดิจิตัล (Information products) และขายผ่านระบบออนไลน์โดยคุณไม่ต้องเดินทางไปสอนเองอีกต่อไป
นอกจากนั้น ความเป็นดิจิตัล ช่วยให้คุณไม่ต้องมีสต็อกสินค้า สินค้าเข้าถึงคนจำนวนมากได้ในเวลาเดียวกัน คุณจึงมีต้นทุนที่ต่ำกว่าและมีกำไรสูงขึ้น การทำธุรกิจสอนออนไลน์จึงเป็นหนึ่งในการทำ Leverage Income ในฝันของคนจำนวนมาก และ CEOblog จะพาคุณไปค้นพบรูปแบบ สินค้าความรู้ หรือ Information products
สินค้าความรู้ หรือ Information products ทั้ง 6 ประเภทมีอะไรบ้าง
1. สัมมนา
สัมมนา เป็นรูปแบบการขายความรู้ที่เก่าแก่พอ ๆ กับหนังสือและตำรา เป็นการจัดสถานที่เพื่อสอนสด โดยสัมมนาจะเน้นการบรรยายพื้นฐานและปานกลาง มีกิจกรรมร่วมกับผู้ฟัง/ผู้เรียน ระยะเวลาการสัมมนาระหว่าง 1-2 วัน จำนวนผู้ฟังอาจเป็นหลักสิบ ไปจนถึงหลักร้อย และหลักพันคนก็ได้ ส่วนสัมมนาอีกประเภทที่เรียกว่า เวิร์คช็อป มักเป็นการบรรยายขั้นลึกและมีกิจกรรมเข้มข้น เน้นกลุ่มเล็ก 10 – 50 คนเพื่อการดูแลทั่วถึง ระยะเวลาเวิร์คช็อประหว่าง 2 วันขึ้นไป
ข้อดี
จุดเด่นของ สัมมนา/ เวิร์คช็อป คือ Connection —การพบเจอกันตัวเป็น ๆ สร้างประสบการณ์และ Connection ระหว่างผู้คนภายในงานได้ดีกว่าผลิตภัณฑ์ความรู้ประเภทอื่น ๆ มีโอกาสเกิดการต่อยอดไปสู่การร่วมธุรกิจและการจ้างงานต่าง ๆ นอกจากนั้น สัมมนา ยังเหมาะในการเป็น Front-end marketing คือการนำคนเข้าสัมมนา จากนั้นขายผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อย่างต่อเนื่องภายในงานที่เรียกว่า Back-end sales
ข้อเสีย
สัมมนา/ เวิร์คช็อป เป็น Active income มีต้นทุนสูงและกำไรน้อยกว่าผลิตภัณฑ์ความรู้ประเภทอื่น ทุก ๆ 1 ที่นั่งที่ขายได้จะมีต้นทุนเกิดขึ้นทุกครั้งนั่นคือ ต้นทุนค่าห้อง ต้นทุนค่าเอกสาร และต้นทุนในการบริหารจัดการ การจัดสัมมนาที่มีประสิทธิภาพจึงจำเป็นต้องมี Back-end sales จึงจะช่วยให้คุณทำกำไรได้สูงสุด
วิธีทำ
เริ่มต้นจากการร่างหลักสูตรการสอนและออกแบบกิจกรรม เพราะการสอนจะต้องแบ่งเป็นช่วงบรรยายและช่วงกิจกรรม นอกจากนั้นคุณยังอาจหา Guest speaker คนอื่น ๆ มาแบ่งชั่วโมงสอนภายในงาน เพื่อคุณจะไม่ทำงานหนักจนเกินไป เพราะหากพูดคนเดียวตลอดงานจะเป็นอะไรที่เหนื่อยมาก
เมื่อคุณร่างหลักสูตรและออกแบบหัวข้อกิจกรรมเสร็จแล้ว ให้แพกเกจหลักสูตรออกมาเป็น Slide ประกอบการบรรยาย และซ้อม Script บรรยายให้แม่น หากคุณขึ้นเวทีครั้งแรกอาจตื่นเต้นมาก ความตื่นเต้นอาจทำให้ลืมเนื้อหาในช่วงนาทีแรก ๆ ดังนั้นการซ้อมเยอะ ๆ ช่วยได้
การสรรหาสถานที่บรรยายให้คำนึงถึงความสะดวกของผู้มาเรียน ถ้าจะให้ดีควรจัดในที่ ๆ การคมนาคมสะดวก หรือใกล้รถไฟฟ้า BTS/ MRT สอบถามและเปรียบเทียบราคาค่าสถานที่แต่ละแห่ง และนำมาคำนวณต้นทุนเพื่อตั้งราคาค่าเข้าฟังสัมมนา
ราคา ต้นทุน และกำไร
ราคาค่าเข้าฟังสัมมนาจะอยู่ระหว่าง 2,000 – 10,000 บาทสำหรับสัมมนา 1 วัน และ 9,000 ไปจนถึงหลักหมื่นบาทขึ้นไปสำหรับเวิร์คช็อป 2 วันขึ้นไป
ต้นทุนของงานสัมมนา 1 วันจะประกอบไปด้วย ค่าเช่าห้องจัดสัมมนา ค่าเอกสารแจกในงาน ค่าทีมงาน และค่า Guest speaker (ถ้ามี)
กรณีที่คุณจัดใน โรงแรม ที่มีอาหารกลางวันให้ด้วย ค่าเช่าสถานที่จะถูกคิดตาม จำนวนคนเข้างาน และรวมทีมงานของคุณ นอกจากนั้นคุณต้องรับประกันจำนวนคนขั้นต่ำให้แก่โรงแรม อาทิ โรงแรม 5 ดาวใกล้รถไฟฟ้า BTS อาจมีค่าเช่าสถานที่ 800 บาทต่อคน ขั้นต่ำ 30 คน เท่ากับ 24,000 บาท ที่คุณต้องรับประกันให้กับทางโรงแรม แบ่งเป็นมัดจำ 30-50% ที่เหลือจ่ายวันจัดงาน เป็นต้น
กรณีที่คุณจัดใน Co-Working Space หรือ สถานที่จัด Event อิสระต่าง ๆ โดยคุณเป็นผู้จัดหาอาหารกลางวันมาเอง ค่าเช่าสถานที่จะคิดเป็น รายวัน/รายชั่วโมง ตามปกติ ซึ่งค่าเช่าอาจถูกกว่าโรงแรมครึ่งหนึ่ง แต่ความสะดวกสบาย ความประทับใจ และความน่าเชื่อถืออาจน้อยกว่าการจัดในโรงแรม
เบ็ดเสร็จแล้ว กำไรหลังหักค่าใช้จ่ายจะถึงคุณประมาณ 30 – 40% นั่นคือเหตุผลที่คุณควรวางแผน Back-end sales ขายสินค้าที่มีมูลค่าสูงต่อเนื่องในงานสัมมนานั่นเอง
คุณจะทำเงินล้านจากการขาย สัมมนา/ เวิร์คช็อป อย่างไร
วิธีทำเงินล้านจาก สัมมนา/ เวิร์คช็อป ควรแบ่งเป็น 3 ช็อต ช็อตแรกคือ Front-end ขายที่นั่งสัมมนาราคาถูกเพื่อดึงคนเข้างานจำนวนมาก ช็อตที่ 2 มี Product ไปขายหน้างาน อาทิ หนังสือ ดีวีดี ใบลงทะเบียนคอร์สออนไลน์ และ ช็อตที่ 3 มี เวิร์คช็อปราคาหลักหมื่นขายเป็น Back-end sales
- Front-end ค่าเข้างาน 3500 บาท เป้า 100 คน หรือยอดขาย 350,000 บาท
- Product หน้างาน หนังสือ 250 บาท เป้า 40 คน หรือยอดขาย 10,000 บาท
- Back-end ค่าเข้างาน 12,000 บาท เป้า 20 คน หรือยอดขาย 240,000 บาท
โครงการนี้จะทำให้คุณได้ยอดขาย 600,000 บาท และ 1 ปีทำประมาณ 2 – 3 ครั้ง คุณจะมียอดขายจากสัมมนาชุดนี้มากกว่า 1 ล้านบาท
2. หนังสือ
หนังสือ เป็นผลิตภัณฑ์ความรู้ที่เก่าแก่และซื้อง่ายขายคล่องที่สุด คนมีความรู้มักเริ่มต้นจากการเขียนหนังสือ เพราะเข้าถึงคนได้ง่าย ในปัจจุบัน หนังสือ พัฒนาบทบาทมาเป็นเครื่องมือการตลาดสำหรับ นักธุรกิจ และ นักสอน เพื่อเป็นใบเบิกทางสู่การขายสินค้าและบริการอื่น ๆ ในธุรกิจของพวกเขา
โอกาส
จุดเด่นของ หนังสือ คือเข้าถึงคนง่าย ด้วยราคาที่ถูกและเป็น Physical product จับต้องได้ คนจึงนิยมซื้อหนังสือเก็บไว้หรือพกติดตัวเพื่ออ่าน ปัจจุบัน นักธุรกิจ และ นักสอน นิยมใช้หนังสือเป็นเครื่องมือการตลาด เพื่อสร้าง Brand awareness ให้กับธุรกิจของตน
อุปสรรค
หนังสือมีราคาถูกและมีต้นทุนเกิดขึ้นทุกหน่วยการผลิต อัตรากำไร (Profit margin) จึงต่ำ และเม็ดเงินที่ได้รับต่อหน่วยก็ต่ำ หากคุณขายหนังสือได้ไม่มากพอก็ยากที่จะร่ำรวยจากหนังสือ
ราคา ต้นทุน และกำไร
หนังสือมีราคาขายเฉลี่ย 200 – 500 บาท กำไรที่คุณจะได้รับในกรณีทำหนังสือผ่านระบบสำนักพิมพ์ คือ 10% จากราคาปก หรือ 200 บาท คุณได้ 20 บาท และใน 20 บาทนี้คุณอาจต้องช่วยสำนักพิมพ์ทำการตลาดด้วย
ในกรณี Self publishing หรือ พิมพ์เองขายเองผ่านแฟนคลับออนไลน์ กำไรขั้นต้นหลังหักต้นทุนการผลิตและค่าจัดส่งของคุณจะขยับขึ้นไปที่ 50 – 60%
วิธีทำ
เริ่มต้นจากหัวข้อใหญ่ที่คุณจะเขียน จากนั้นออกแบบ ชื่อหนังสือ ปก สารบัญ หัวข้อย่อยในแต่ละบท การทำสิ่งเหล่านี้เพื่อเป็นการจัดระเบียบความคิดให้ชัดเจน และเริ่มต้นเขียนไปตามแผนงาน หากคุณจัดระบบความคิดชัดเจน คุณจะเขียนหนังสือจบไว การเขียนหนังสือในหัวข้อที่คุณมีความรู้อยู่แล้วจำนวน 1 เล่มขนาด 200 – 250 หน้าพ็อกเก็ตบุ๊คใช้เวลาเขียนต่อเนื่องกันเพียง 2 – 3 สัปดาห์เท่านั้น
ในกรณีที่คุณทำเป็น Self publishing เมื่อเขียนจบ ตรวจทาน ก็เพียงส่งต้นฉบับไปยังโรงพิมพ์เพื่อตีพิมพ์เป็นเล่ม เพียงเท่านี้หนังสือของคุณก็พร้อมขาย
คุณจะทำเงินล้านจากการขาย หนังสือ อย่างไร
หนังสือมีราคาขายเฉลี่ย 200 – 500 บาท หากคุณตั้งราคาหนังสือที่ 250 บาท คุณต้องการยอดขาย 4,000 เล่มเพื่อทำเงิน 1 ล้านบาท ซึ่งยอดขายขนาดนี้อาจไม่เกิดขึ้นภายในการ Launch สินค้าเพียงครั้งเดียว การขายหนังสือจึงค่อนข้างเป็นรายได้แบบน้ำซึมบ่อทราย ใช้เวลา 6 เดือน ถึง 1 ปีขึ้นไปในการทำยอดขายหลักล้านบาท
3. หนังสืออีเลคทรอนิกส์
หนังสืออีเลคทรอนิกส์ หรือ E-book มีหลักการทำงานคล้ายหนังสือ แต่ตัดขั้นตอนการตีพิมพ์และจัดส่งออกไปทั้งหมด และเปลี่ยนไปจัดส่งแบบออนไลน์ คุณสามารถทำได้สองแบบ แบบแรก คือทำเป็น E-book ด้วยไฟล์ PDF แล้วขาย กรณีนี้มีโอกาสถูกละเมิดลิขสิทธิ์สูง แต่กำไรก็สูงเช่นกัน แบบที่สองคือส่งไปขายที่ Ookbee กรณีนี้ป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ได้เกือบ 100% แต่จะถูกหักค่าใช้ระบบ
โอกาส
จุดเด่นสำคัญของ E-book คือทำง่ายมาก ลดกระบวนการทำงานให้เหลือเพียง ร่างโครงและลงมือเขียน เขียนเสร็จ E-book พร้อมขายทันที
อุปสรรค
E-book เป็นผลิตภัณฑ์ความรู้ที่ตลาดให้คุณค่าต่ำที่สุด เป็นการยากที่จะขาย E-book ในราคาสูงกว่า 500 บาท คนมักตีค่าว่า E-book เป็นไฟล์เอกสารอิเลคทรอนิกส์และไม่น่ามีราคาสูง ทั้งที่ความจริง คุณค่าอยู่ที่เนื้อหา เพียงแต่คนมักไม่ได้ถึงจุดนั้นสำหรับ E-book และที่เป็นจุดอ่อนที่สุดของ E-book คือ มีโอกาสถูกละเมิดลิขสิทธิ์ได้ง่าย
ราคา ต้นทุน และกำไร
ราคาขาย E-book เท่ากับหนังสือเล่ม กำไรขั้นต้น 100% หากคุณขายเป็นไฟล์ PDF และขายด้วยตนเอง กรณีนำไปขายที่ Ookbee จะมีค่าใช้บริการระบบระหว่าง 40% เศษ ๆ กล่าวคือคุณจะมีกำไรขั้นต้นประมาณ 50% เศษ ๆ
วิธีทำ
ขั้นตอนการผลิตเหมือนหนังสือเล่มทุกประการ ยกเว้นตัดขั้นตอนการตีพิมพ์เป็นเล่ม คุณสามารถเขียนงานลงในโปรแกรม MS Words แล้วใช้โปรแกรมแปลงไฟล์เป็น PDF และขายได้เลย จะขายเอง หรือส่งไปไว้บนระบบของ Ookbee ก็ได้
คุณจะทำเงินล้านจากการขาย E-book อย่างไร
หลักการเดียวกับการขายหนังสือเล่ม แต่อาจใช้เวลานานกว่า หรืออาจต้องออก E-book หลายปกเพื่อสั่งสมยอดขาย เพราะคนไทยยังไม่นิยมซื้อ E-book มากเท่าหนังสือเล่ม
4. หนังสือเสียง
หนังสือเสียง คือ การบันทึกเนื้อหาเป็นไฟล์เสียง ปัจจุบันได้รับความนิยมไม่แพ้ หนังสือเล่ม เพราะบางคนอยากพัฒนาตัวเองแต่ไม่สะดวกอ่าน จึงเลือกหนังสือเสียงแทน
โอกาส
หนังสือเสียง เป็นการเพิ่ม มูลค่า ให้ผลิตภัณฑ์ความรู้ของคุณ โดยหากนำเนื้อหาที่เคยเป็นหนังสือบันทึกเป็นเสียงอ่านและบรรจุเป็น Flash Drive หรือ CD Audio ออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้สวยงามก็อาจมีโอกาสขายในราคา 400 – 600 บาทขึ้นไป และในกรณีที่เป็น Online audio ต่อให้ขายในราคาเท่าหนังสือเล่ม แต่คุณจะไม่มีต้นทุนการผลิต
อุปสรรค
หนังสือเสียงจะมีกระบวนการทำงานที่ซับซ้อนขึ้นมาอีกระดับ ได้แก่ การร่างเนื้อหาให้เสร็จ จากนั้นนำเนื้อหาไปบันทึกเสียง และการผลิตบรรจุภัณฑ์ การบันทึกเสียงอ่านเป็นงานละเอียดอ่อนมาก ต้องการเครื่องมือที่เหมาะสมซึ่งอาจมีราคาแพง หรือคุณอาจต้องเช่าห้องบันทึกเสียงเพื่องานที่มีคุณภาพสูงสุด และไม่ใช่ทุกคนที่มีเสียงธรรมชาติที่ไพเราะ ในขณะที่การจ้างนักพากย์มีราคาสูงถึงนาทีละหลายร้อยไปจนหลักพันบาท
ส่วนราคาขายหนังสือเสียงมีเพดานจำกัด ราคาของมันไม่เกินหลักร้อยบาท เต็มที่ 600 – 900 บาทต่อชุด ราคาสูงกว่านั้นจะเริ่มขายยาก
ราคา ต้นทุน และกำไร
กรณีผลิตหนังสือเสียงในรูปแบบ Physical products อาทิ Flash drive, CD Audiobook จะมีต้นทุนระหว่าง 40 – 60% ขึ้นอยู่กับความหรูหรา และราคาที่คุณขาย ถ้าหรูหราแต่ขายแพงก็อาจมีกำไร 40% ก็ยังเป็นไปได้อยู่
กรณีผลิตหนังสือเสียงฟังออนไลน์ จะมีต้นทุนการผลิตครั้งเดียว ได้แก่ ค่าเช่าห้องอัดเสียง (โดยคุณพากย์เสียงด้วยตัวเอง) และอาจมีค่าโปรแกรมระบบสมาชิก หรือ Membership software เพื่อล็อกเนื้อหาของคุณไว้สำหรับสมาชิกที่จ่ายเงินแล้วเข้ามาฟัง โปรแกรมเหล่านี้มีค่าใช้จ่ายปีละเกือบหมื่นบาท ไปจนถึงหลายหมื่นบาท (ต่อปี)
วิธีทำ
ร่างเนื้อหาให้แล้วเสร็จ จากนั้นเช่าห้องอัดเพื่อบันทึกเสียงบรรยาย จากนั้นคุณจะนำเสียงบรรยายไปบรรจุเป็น CD Audio หรืออัพโหลดขึ้นเว็บเพื่อขายแบบออนไลน์ 100% ก็ได้
คุณจะทำเงินล้านจากการขาย หนังสือเสียง อย่างไร
หลักการเดียวกับการขายหนังสือเล่ม
5. คอร์สวีดีโอบรรจุแผ่น
เป็นการนำเนื้อหามาบันทึกเป็นไฟล์วีดีโอซึ่งมีทั้งภาพและเสียง อาจเป็นการบันทึกจากงานสัมมนาก็ได้ หรือบันทึกใหม่ในสตูดิโอก็ได้ แล้วนำมาบรรจุแผ่นเป็น DVD Video
โอกาส
DVD Video ได้รับความนิยมสูงในอดีต และยังคงได้รับความนิยมพอควรในปัจจุบัน คนให้ Value ค่อนข้างสูง ทำให้ขายได้ในราคาหลักพันบาท
อุปสรรค
ขั้นตอนการทำงานค่อนข้างเยอะ ตั้งแต่ร่างเนื้อหา ถ่ายทำวีดีโอ ตัดต่อ บรรจุแผ่นที่ต้องออกแบบให้สวยงามจึงจะมีราคาดี กระบวนการทั้งหมดนี้มีต้นทุนที่คุณอาจต้องจ่ายไปก่อน และอาจสูงเป็นหลักเกือบแสนบาท ในขณะเดียวกัน ความนิยมการดูเนื้อหาแบบแผ่นกำลังลดน้อยลง เพราะคนยอมรับการดูออนไลน์มากขึ้น
ราคา ต้นทุน และกำไร
DVD Video มีราคาขายระหว่าง 800 – 900 บาทไปจนถึงหลักหลายพันบาท ขึ้นอยู่กับชื่อเสียงของผู้บรรยาย ความยาวและความ Niche ของเนื้อหา และความหรูหราของบรรจุภัณฑ์
วิธีทำ
ร่างเนื้อหาให้แล้วเสร็จ จัดหาอุปกรณ์การบันทึกเนื้อหา เช่น ซื้ออุปกรณ์มาบันทึกและตัดต่อเอง หรือเอาต์ซอสทีมงานวีดีโอและเช่าสตูดิโอเพื่อถ่ายทำก็ได้ เมื่อสำเร็จเป็นไฟล์วีดีโอแล้วจึงนำไปให้ผู้รับประกอบ DVD ทำการผลิตเป็นแพกเกจ DVD สำเร็จรูปเพื่อขายต่อไป
คุณจะทำเงินล้านจากการขาย คอร์สวีดีโอแบบ DVD อย่างไร
คอร์สวีดีโอในรูปแบบ DVD มีราคาขายสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คุณสามารถตั้งราคาขายระหว่าง 1000 – 3000 บาทขึ้นไป ในกรณีที่คุณขาย 2500 บาทต่อชุด คุณต้องการยอดขายเพียง 400 ชุดในการทำเงิน 1 ล้านบาท ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ภายใน 1 – 3 เดือน ขึ้นอยู่กับชื่อเสียงและความนิยมของคุณ
6. คอร์สวีดีโอออนไลน์
ปัจจุบัน คอร์สวีดีโอออนไลน์ ถือเป็นพระเอกแห่งวงการ Digital Education ที่ผู้ประกอบการด้านการศึกษา อาทิ มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกก็ลงมาเล่นตลาดนี้ มูลค่าของผลิตภัณฑ์ประเภท คอร์สวีดีโอออนไลน์ แทบไม่มีเพดานจำกัด โดยมีราคาตั้งแต่หลักร้อยบาท ไปจนถึงหลักเกือบแสนบาทสำหรับบางหลักสูตร โดยเฉพาะหลักสูตรระยะยาวที่จัดสอนโดยสถาบันชั้นนำในต่างประเทศ
โอกาส
ปัจจุบันผู้คนให้การยอมรับการเรียนออนไลน์มากขึ้น ให้คุณค่ากับคอร์สออนไลน์และทำให้คอร์สออนไลน์มีราคาสูง และบ่อยครั้งก็สูงกว่าราคาค่าบัตรสัมมนา ในขณะที่ต้นทุนต่ำกว่ามาก และยังเป็นตัวพ่อของการทำ Leverage income กล่าวคือ ทำครั้งเดียวแล้ววางระบบขายต่อเนื่องไปตลอด โดยคุณไม่ต้องตื่นขึ้นมาสอนเองเรื่อยไป
อุปสรรค
คอร์สวีดีโอออนไลน์มีกระบวนการทำงานซับซ้อนและใช้ทักษะจำนวนมาก โดยเฉพาะทักษะการบรรยายหน้ากล้องซึ่งต้องการการฝึกฝนเพื่อให้บรรยายสนุก น่าฟัง ติดใจผู้ฟัง การบรรยายเดี่ยวหน้ากล้องยากกว่าการบรรยายสดหน้าผู้คนจริง ๆ ในงานสัมมนา การทำคอร์สวีดีโอออนไลน์จึงนับว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่เหนื่อยพอตัวกว่าจะทำเสร็จ
ราคา ต้นทุน และกำไร
ราคาขายคอร์สวีดีโอออนไลน์โดยรายย่อยเริ่มต้นที่ 1,000 – 10,000 บาท ขึ้นอยู่กับชื่อเสียงและความนิยมของผู้สอน หรือโดยเฉลี่ยที่ซื้อง่ายขายคล่องจะอยู่ที่ 1,500 – 2,500 บาท ในกรณีที่ผู้สอนมีชื่อเสียงมากจะสามารถขายคอร์สวีดีโอออนไลน์ในราคา 5,000 – 9,000 บาท ไปจนถึงหลักหมื่นได้ไม่ยาก
ต้นทุนของคุณ ได้แก่
ก) อุปกรณ์การถ่ายทำวีดีโอ
ส่วนนี้ลงทุนครั้งเดียว ประกอบไปด้วย ไมค์บันทึกเสียงและ Pop filter ราคารวมกัน 7,000 – 10,000 บาท กล้องวีดีโอและไมโครโฟนแบบเหน็บกับเสื้อ มีหลายราคา หรือหากบันทึกผ่านสมาร์ทโฟนก็ตัดเรื่องกล้องวีดีโอออกไป (แต่ในระยะยาวควรใช้กล้องจริงจัง) และโปรแกรมตัดต่อวีดีโอ หากงบจำกัดแนะนำของ Wondershare Filmora ราคาคิดเป็นเงินไทยประมาณ 2100 บาทตลอดชีพ หรือหากใช้ MacBook จะมี iMovie Maker ติดมาให้เลย ก็ไม่ต้องซื้อโปรแกรมตัดต่อวีดีโอเพิ่ม มูลค่าการลงทุนกับอุปกรณ์ครั้งเดียวประมาณ 12,000 – 60,000 บาท (การลงทุนจะสูงขึ้นหากซื้อกล้องวีดีโอดี ๆ และอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ เช่น ไฟ และฉาก)
ข) กรณีไม่ต้องการลงทุนกับอุปกรณ์
และไม่อยากใช้เวลากับการตัดต่อและ Edit งานมากนัก คุณสามารถจ้างทีมเอาต์ซอสด้าน Producation มาถ่ายทำให้ จ่ายเป็นรายโครงการ ค่าใช้จ่ายครั้ง 20,000 – 40,000 บาท
ค) โปรแกรมระบบ E-Learning
ในกรณีที่คุณต้องการสร้างระบบลงบนเว็บไซต์ของตนเองจะมีค่าโปรแกรม Membership software อาทิ MemberMouse, โปรแกรมโฮสต์และล็อกไฟล์วีดีโอ อาทิ Vimeo, การเช่าโฮสต์ จดโดเมน และติดตั้งโปรแกรมทำเว็บไซต์ WordPress ค่าใช้จ่ายเหล่านี้รวมประมาณปีละ 20,000 – 25,000 บาท
ส่วนจิปาถะอื่น ๆ ได้แก่ ค่ารูปภาพถูกลิขสิทธิ์ ค่าเพลงประกอบถูกลิขสิทธิ์ ฯลฯ
ง) ในกรณีที่คุณใช้ E-Learning Platform สำเร็จรูป
อาทิ Teachable, Clickfunnels หรือ Kajabi มีค่าใช้จ่ายรายปี โดย Teachable ถูกที่สุดใน 3 ค่ายนี้ เริ่มต้นประมาณปีละ 17,000 บาท ซึ่งใช้งานง่ายกว่าการสร้างระบบเองหลายเท่า
จ) และสุดท้าย คือ กรณีที่คุณไม่ต้องการยุ่งงานระบบใด ๆ เลย
คุณสามารถนำหลักสูตรไปขายผ่าน Marketplace อาทิ SkillLane, Talad Punya และ TutorMe by Mono เป็นต้น ทางต้นสังกัดจะหักส่วนแบ่งเป็นค่าใช้ระบบของเขา และคุณจะได้ส่วนแบ่ง 50 – 60% จากยอดขาย
การขายผ่าน Marketplace เป็นทางเลือกที่สะดวกที่สุดสำหรับคนที่ไม่ต้องการสร้างระบบใด ๆ และต้องการโฟกัสที่การผลิตสินค้า และทำการตลาด Marketplace จะเป็นคนดูแลระบบการขาย การเงิน และแบ่งเงินให้คุณเอง
วิธีทำ
วิธีทำเหมือนการทำ DVD เพียงแต่ตัดขั้นตอนการผลิต DVD และนำไฟล์ไปอัพโหลดขึ้นระบบเว็บไซต์ โดยกรณีที่คุณทำระบบเอง คุณต้องลงโปรแกรมประเภท Membership software เพื่อล็อกคอนเทนต์ไว้เฉพาะผู้มีสิทธิ์เข้าชม หรืออีกกรณีคือนำไปขายบน Marketplace ก็ตัดเรื่องการวางระบบซอฟต์แวร์ออกไปทั้งหมดเลย
นี่คือแนวทางอาชีพนักสอนเงินล้าน กับ 6 วิธีสร้างรายได้ออนไลน์จากงานสอน โดยทั้งหมดนี้คุณสามารถเริ่มต้นได้ทำด้วยตนเองได้เลยโดยใช้โน้ตบุ๊คเครื่องเดียวเป็นอุปกรณ์การทำงานเกือบทั้งหมด!