6 ข้อคิดเตรียมพร้อม สำหรับคนจบใหม่อยากเป็นผู้ประกอบการ

6-thinking-for-new-graduate-to-entrepreneur-01

คนรุ่นใหม่แทบทุกคนมีความฝันอยากมีกิจการเป็นของตัวเอง และหลายคนอยากเป็นผู้ประกอบการแทบจะทันทีที่เรียนจบ แต่บันไดสู่การเป็นผู้ประกอบการนั้นไม่ง่าย และต้องอาศัยการเตรียมตัวล่วงหน้ามาอย่างดี และแม้ เงินลงทุน เป็นสิ่งสำคัญ แต่เชื่อหรือไม่ว่า เงินลงทุน ไม่ใช่สิ่งสำคัญอันดับหนึ่งในการทำธุรกิจ

กล่าวคือหากคุณเริ่มต้นด้วยเงินลงทุนที่เพียงพอตั้งแต่แรก แต่ขาดความเพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติในด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เงิน 10 ล้าน หรือ 100 ล้านก็จะหมดสิ้นไปอย่างรวดเร็วโดยไม่สร้างผลลัพธ์ใด ๆ ให้คุณเลย และต่อไปนี้ คือ 6 ข้อคิดเตรียมพร้อม สำหรับคนจบใหม่อยากเป็นผู้ประกอบการ

1. ต้องรู้ตัวว่าจะทำธุรกิจนั้นไปทำไม

อยากเปิดร้านกาแฟครับ, อยากทำแบรนด์เครื่องสำอางค่ะ, อยากขายเสื้อผ้าค่ะ ฯลฯ คนหนุ่มสาวที่อยากเป็นผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีความ ‘อยากทำ’ อะไรสักอย่างเป็นของตัวเองในใจอย่างน้อย 2 – 3 ประเภทธุรกิจ แต่การ อยากเปิดธุรกิจอะไร ไม่สำคัญเท่า อยากทำไปทำไม

เพราะ ‘อยากทำอะไร’ อาจเป็นเพียง ‘สิ่งที่คุณคิดไปเองว่ามันดี’ เช่น คุณอาจชอบดื่มกาแฟจึงอยากเปิดร้านกาแฟ คุณอาจรู้สึกว่าตัวเองชอบซื้อเสื้อผ้าจึงอยากเปิดร้านขายเสื้อ, หรือแม้กระทั่งอยากทำแบรนด์เครื่องสำอาง เพียงเพราะคิดว่ามันรวยเร็ว! โดยที่คุณไม่เคยมี ข้อมูล ความรู้ และ ข้อเท็จจริงใด ๆ เกี่ยวกับธุรกิจนั้นเลย นี่คือสิ่งที่อันตรายมากสำหรับคนรุ่นใหม่ที่อยากเป็นนายตัวเอง

ฉะนั้นคุณต้องถามตัวเองว่า ‘Why’ หรือ ‘ทำไม’ จึงอยากทำธุรกิจนี้

  • ธุรกิจและสินค้าของคุณ มีประโยชน์อย่างไรต่อลูกค้า
  • ธุรกิจและสินค้าของคุณ แก้ปัญหาอะไรให้ตลาด
  • ธุรกิจและสินค้าของคุณ สร้างผลกระทบทางบวกอย่างไรต่อสังคม
  • ธุรกิจและสินค้าของคุณ จะเป็นอย่างไรในอีก 5 – 10 ปีข้างหน้า
  • และทำไม ลูกค้าต้องซื้อสินค้าจากคุณ
  • ฯลฯ

หรือกล่าวโดยสรุป จงทำธุรกิจใด ๆ ไม่ใช่เพราะสักแต่เพราะว่าตัวเองอยากทำ แต่ทำโดยเอา ลูกค้าเป็นตัวตั้ง ว่ามันจะไปช่วยแก้ปัญหาอะไรให้ตลาดนั้น ๆ เป็นหลัก

อ่านเพิ่มเติม อยากขายของออนไลน์แต่ไม่รู้จะขายอะไรดี ทำอย่างไร (มีกรณีศึกษา)

2. ต้องรู้ตัวว่าตนเองถนัดอะไร

สิ่งที่คุณชอบ กับ สิ่งที่คุณถนัด (หรือเชียวชาญ) เป็นคนละเรื่องกัน คุณอาจชอบกินของอร่อย แต่คุณอาจไม่ใช่นักทำอาหารที่อร่อย แต่ถ้าหากคุณเป็นนักนำเสนอที่ พูด หรือ เขียน ให้อาหารดูน่าอร่อย นั่นคือ ความเชียวชาญของคุณ

ความเชี่ยวชาญมีผลต่อการ เลือกธุรกิจ และ การกำหนดหน้าที่หลัก ของคุณในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ เพราะในช่วงเริ่มต้น คุณอาจต้องทำหลายหน้าที่ภายในกิจการด้วยตนเอง และหากกิจการนั้นมีสิ่งที่คุณทำไม่เป็นเอาเสียเลยจนต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมาทำให้ นอกจากจะมีต้นทุนสูงแล้ว ยังเป็นการฝากอนาคตธุรกิจไว้ในมือคนอื่นมากเกินไป

กลับมาที่ตัวอย่าง : หากคุณ พูด เขียน และ นำเสนอ อาหารให้ดูน่าอร่อย อาจเป็นไปได้ว่าคุณมีความเชี่ยวชาญด้านการสื่อสารการตลาด คุณเริ่มต้นธุรกิจเล็ก ๆ โดยการรับให้บริการทำสื่อสำหรับผู้ประกอบการร้านอาหารอื่น ๆ สร้างเว็บไซต์ หรือ ช่องยูทูป ที่พูดเรื่องอาหาร และมีรายได้จากการลงโฆษณา และต่อยอดไปสู่การขาย วัตถุดิบ และ เครื่องประกอบอาหาร

ยกตัวอย่าง แฟนเพจ Tasty — กลุ่มผู้ก่อตั้งเป็นกลุ่มคนรักการกิน เริ่มต้นจากการทำวีดีโอสอนทำอาหาร แม้เราจะไม่รู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร แต่เรารู้เพียงว่าเขานำเสนอได้น่ากินมาก จนในที่สุดแฟนเพจนี้ก็ได้พัฒนาไปสู่การ ขายอุปกรณ์ทำอาหารโดยมีห้าง Walmart เป็นพาร์ทเนอร์การค้า — นี่คือตัวอย่างของคนชอบกินที่ไม่จำเป็นต้องเปิดร้านอาหาร ก็สามารถอยู่ในธุรกิจอาหารได้เช่นกัน

6-thinking-for-new-graduate-to-entrepreneur-03

6-thinking-for-new-graduate-to-entrepreneur-04

3. ต้องพาตัวเองไปอยู่ในระบบธุรกิจจริง

การทำธุรกิจมีความซับซ้อนกว่าที่หลายคนเข้าใจ การมีไฟ มีฝัน หรือแม้แต่มีทุน ไม่สามารถทำให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จได้หากปราศจากทักษะและประสบการณ์ในการ บริหารคน บริหารการเงิน และความเข้าใจกระบวนการทำงานแบบองค์กร

คุณจำเป็นต้องพาตัวเองเข้าไปอยู่ในระบบธุรกิจจริง และวิธีที่คุณจะเรียนรู้ธุรกิจจริงได้ดีที่สุด คือ ที่งานประจำ

หากคุณสงสัยว่า จำเป็นต้องทำงานในบริษัทที่เกี่ยวกับธุรกิจที่คุณอยากทำหรือไม่? คำตอบ คือ ถ้าได้ก็ดี แต่ก็ไม่จำเป็น เพราะสิ่งที่คุณต้องการเรียนรู้ คือ ระบบการบริหารงานตั้งแต่ภาค Operation, Office ไปจนถึงระดับ Management เพื่อให้เข้าใจโครงสร้างอย่างทะลุปรุโปร่ง

จงมองให้เห็นประโยชน์ของการทำงานประจำให้เป็น สำนักจอมยุทธ์ ที่จะบ่มเพาะให้คุณกลายเป็นผู้ประกอบการที่ดีในอนาคต และที่สำคัญ งานประจำ คือสถานที่ฝึกทำธุรกิจโดยที่เขาจ่ายค่าจ้างให้คุณในขณะเรียนรู้!

4. ต้องพาตัวเองไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง

6-thinking-for-new-graduate-to-entrepreneur-02

คุณคือค่าเฉลี่ยของคน 5 คนที่คบด้วย’ ประโยคสุดคลาสสิกของ Jim Rohn นั้นมีมูลความจริง หากวันนี้คุณอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่พากันลงสู่อบายมุข ก็เป็นการยากที่คุณจะใช้ชีวิตโดยไม่ไปกระทบกับอบายมุข ฉะนั้นคุณต้องจูนคลื่นชีวิตใหม่และย้ายตัวเองไปอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่มีเป้าหมายคล้ายกัน

ถึงจุดนี้บางคนอาจสงสัยว่าเมื่อเป็นคนรุ่นใหม่ อายุน้อย ไม่รู้จักใคร และไม่มีคอนเนคชั่น จะพาตัวเองไปหาคนเก่ง ๆ อย่างไร ช่องทางเริ่มต้นที่ง่ายที่สุดสำหรับคุณ คือ งานสัมมนา

งานสัมมนา คือ สถานที่รวมตัวของยอดขุนพล คนเก่ง และนักธุรกิจ เพราะคนที่ประสบความสำเร็จส่วนมากมีคุณลักษณะหนึ่งที่คล้ายกัน คือ รักการเรียนรู้ พวกเขาจึงมักจัดเวลาในแต่ละเดือนไปเข้าคอร์สอบรมและสัมมนาต่าง ๆ โดยนักธุรกิจบางคนมียอดขายในกิจการปีละหลายร้อยล้านบาทก็ยังไปเข้าสัมมนากันเป็นปกติ

อ่านเพิ่มเติม: 5 วิธีสร้างคอนเน็คชั่นเงินล้าน เข้าหาคนรวยไม่ยากอย่างที่คิด

5. ต้องเริ่มต้นทำจากเล็ก ๆ คู่กับงานประจำ

คนรุ่นใหม่ควรระมัดระวังอารมณ์มั่นใจเกินเหตุโดยการกระโดดมาทุ่มทำธุรกิจเต็มตัวอย่างกะทันหัน โดยที่คุณสมบัติการเป็น ผู้ประกอบการ ในตัวคุณยังไม่สุกงอม

คุณควรเอาไอเดียที่มีมาเริ่มต้นทำธุรกิจเล็ก ๆ คู่กับงานประจำ — ภาษาอังกฤษเรียกว่า Side Hustle — เพื่อเป็นการทดลองว่าไอเดียของคุณมีตลาดรองรับ และเพื่อให้มีกระแสเงินสดหมุนเวียนใช้จ่ายในระหว่างฟักตัว เพราะในโลกของการทำธุรกิจนั้นต่างจากงานประจำโดยสิ้นเชิง

งานประจำ มีเงินเดือนที่แน่นอนทุกเดือน รวมไปถึงมีโบนัส และสวัสดิการต่าง ๆ ในขณะที่ธุรกิจส่วนตัวไม่มีหลักประกันใด ๆ ทั้งสิ้น นอกจากนั้น การทำธุรกิจในช่วงปีแรกมักยังไม่ทำกำไรเพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ ดังนั้นคุณจึงต้องการ กระแสเงินสด จากช่องทางอื่นเพื่อมาหล่อเลี้ยงตัวเองในช่วงกำลังตั้งไข่ธุรกิจส่วนตัว

อ่านเพิ่มเติม: รีวิวหนังสือ The $100 Startup โดย Chris Guillebeau หนังสือสำหรับคนเริ่มธุรกิจแบบ Side Hustle

6. ต้องวางแผนการเงินก่อนเริ่มธุรกิจจริง

อย่างที่บอกไปว่า ธุรกิจส่วนตัว อาจใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปีเพื่อที่จะมีกำไรพอเลี้ยงตัวได้ และอาจใช้เวลา 3 – 5 ปีในการ Scale ไปในระดับที่เริ่มพอกินพอใช้ และ 10 ปีขึ้นไปสู่ความมั่งคั่งจริงจัง ดังนั้นคุณต้องวางแผนการเงินให้ดีก่อนเริ่มธุรกิจจริง และการวางแผนการเงินขั้นพื้นฐานสุด คือ อย่าก่อหนี้ระยะยาว

หนี้ระยะยาว ได้แก่ หนี้บ้าน และ หนี้รถ เป็นหนี้ก้อนใหญ่ และเป็นตัวดึงเงินสดในแต่ละเดือนออกจากคุณไปเป็นจำนวนมาก ค่าผ่อนรถยนต์รวมค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับรถยนต์ อย่างน้อยประมาณ 12,000 -15,000 บาทต่อเดือน ค่าผ่อนบ้านก็เช่นกัน หากคุณเป็นหนี้ 2 อย่างนี้ คุณอาจต้องเสียเงินไม่น้อยกว่า 30,000 บาทต่อเดือน ซึ่งเป็นอุปสรรคใหญ่ต่อความยืดหยุ่นในการลาออกจากงานประจำมาทำธุรกิจส่วนตัว

หากเป้าหมายของคุณชัดว่าอยากเป็น ผู้ประกอบการ จงอย่าด่วนก่อหนี้ แต่จงวางแผนทำงาน ออมเงิน แบ่งเวลาไปสร้างธุรกิจ จนกระทั่งเมื่อธุรกิจของคุณเจริญรุ่งเรื่องในอีก 5 – 10 ปีข้างหน้า ถึงตอนนั้นจะซื้อบ้านซื้อรถก็ไม่มีปัญหาอีกแล้ว