4 ไอเดียสร้างรายได้ออนไลน์ ไม่ต้องมีสินค้าเป็นของตัวเอง

เมื่อพูดถึงการ สร้างรายได้ออนไลน์ คนมักพุ่งตรงไปที่การ ขายของออนไลน์ แต่นั่นเป็นเพียง 1 ในหลายสิบวิธี และที่สำคัญวิธีอื่น ๆ ที่ไม่เคยถูกพูดถึงสามารถสร้างรายได้โดยที่คุณ ไม่ต้องลงทุนกับสินค้า ไม่ต้องผลิต ไม่ต้องสต็อก และไม่ต้องส่งสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น— เว็บไซต์ CEOblog ทำเช่นนี้มา 5 ปีแล้วเช่นกัน และจะมาบอกเล่าแนวทางให้ผู้สนใจได้ฟังแบบเจาะลึกในบทความนี้

การสร้างรายได้ออนไลน์เป็นธุรกิจในกลุ่ม Internet business หรือ Internet marketing — E-Commerce หรือ การขายของออนไลน์ ก็จัดอยู่ในกลุ่มนี้เช่นกัน และน่าจะเป็นวิธีสร้างรายได้ออนไลน์ที่คนไทยส่วนใหญ่รู้จัก แต่ในความเป็นจริงแล้วธุรกิจอินเตอร์เน็ตยังมีอีกหลายแนวทางที่คุณสามารถมีรายได้มากกว่าเจ็ดหลักต่อปีโดยไม่ต้องลงทุนกับสินค้า

Spencer Haws นักธุรกิจอินเตอร์เน็ตได้สรุปแนวทางการ หาเงินออนไลน์ออกมาได้ถึง 53 แนวทาง และเกือบทั้งหมด ไม่ต้องมีสินค้าเป็นของตัวเอง! หรืออย่างน้อยก็ไม่ต้องสต็อกสินค้าเอง แต่อย่างไรก็ดีไม่ใช่ทั้ง 53 แนวทางที่เหมาะกับตลาดในประเทศไทย CEOblog จึงกรองมาเป็น 4 แนวทางหลักที่คนไทยสามารถทำเป็นธุรกิจจริงจังได้

4 ไอเดียสร้างรายออนไลน์ที่โดยไม่ต้องมีสินค้าเป็นของตัวเอง

จาก 53 วิธีที่นักธุรกิจอินเตอร์เน็ตรวมรวมมาให้สามารถควบรวมเป็น 4 วิธีหลักที่คนไทยและตลาดไทยสามารถทำได้ ได้แก่

1. Advertising business ขายโฆษณาบนเว็บไซต์
2. Affiliate marketing นายหน้าขายสินค้า
3. Dropshipping ตัวแทนขายสินค้า
4. E-Learning เว็บคอร์สออนไลน์ (อันนี้ต้องผลิตเอง แต่เป็น Digital ไม่มีสต็อก)

ทั้ง 4 วิธีดังกล่าวเป็นการทำงานผ่านแพลทฟอร์มที่เรียกว่า บล็อก (ฺBlog) หรือศัพท์ธุรกิจนี้เรียกว่า Blog Monetization ซึ่งเป็น 2 คำผสมกัน ได้แก่ Blog + Money making เป็นการสร้างรายได้จาก บล็อก

ก่อนสร้างรายได้ออนไลน์ คุณต้องสร้างบล็อก (Blog) 

บล็อก ภาษาอังกฤษเรียกว่า Blog และชื่อเต็ม ๆ เรียกว่า Weblog มาจาก 2 คำผสมกัน ได้แก่ Website และ Log ซึ่งภายหลังนิยมเรียกให้สั้นลงว่า Blog และคำว่า Blog ได้รับการบรรจุลงใน Merriam-Webster Dictionary ให้เป็นคำศัพท์อย่างเป็นทางการในปี 2004

บล็อก มีสถานภาพเป็น เว็บไซต์ชนิดหนึ่ง เรียงลำดับเนื้อหาแบบ Chronological order หรือ เรียงตามลำดับเวลาการเผยแพร่เนื้อหา บทความจากใหม่ล่าสุดไปบทความเก่า ถ้าเปรียบเทียบก็คล้ายกับ Facebook Timeline ของเรา ๆ ท่าน ๆ

วัตถุประสงค์ของ บล็อก ในอดีตและปัจจุบัน

ด้วยความที่ บล็อก มีบทความสดใหม่ตลอดเวลา ช่วยให้ Coporate website หรือ เว็บไซต์ของกิจการต่าง ๆ นิยมนำรูปแบบการแสดงเนื้อหาแบบ บล็อก มาบรรจุลงในเว็บไซต์ธุรกิจ ใช้ส่วนที่เป็น บล็อก เพื่อเป็นกระดานข่าวสาร ประกาศข่าว แจ้งกิจกรรม ผลงาน สินค้า และบริการต่าง ๆ ของบริษัทนั้น ๆ แก่ลูกค้าและผู้สนใจ

นอกจากนั้น ในฝั่งของบุคคลทั่วไปก็นิยมเขียน บล็อก เพื่อใช้เป็นไดอารี่ออนไลน์ บันทึกเรื่องราวที่ตนสนใจลงในบล็อก ในขณะที่คนสนใจเรื่องเดียวกันก็สามารถเข้ามาอ่านเพื่อเป็นความรู้หรือความบันเทิงก็ได้ นานไปก็พัฒนากลายเป็น แฟนคลับ ของ บล็อก นั้น ๆ และส่งผลให้ เจ้าของบล็อก หรือ บล็อกเกอร์ มีโอกาสกลายเป็น Influencer ในหมวดหมู่ที่เขาเขียน และนี่คือจุดเริ่มต้นของโอกาสในการสร้างรายได้จาก บล็อก

30 อันดับบล็อกทำเงินอันดับต้น ๆ ของโลก

* ข้อมูลโดย: Income Diary — สถิติปี 2017 รายได้แต่ละเดือนอาจขึ้นลงไม่เท่ากัน รายได้นี้เป็นค่าเฉลี่ยต่อเดือน และอาจเปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน

# ชื่อบล็อก เจ้าของ รายได้ต่อเดือน โมเดลรายได้
1 The Huffington Post Arianna Huffington $2,330,000 Pay Per Click
2 Techcrunch Michael Arrington $800,000 Advertising Banners
3 Mashable Pete Cashmore $600,000 Advertising Banners
4 Perez Hilton Mario Lavandeira $450,000 Advertising Banners
5 Noupe The Blonde Salad $200,000 Private Advertising
6 Smashing Magazine Vitaly Friedman $190,000 Advertising Banners
7 SmartPassiveIncome Pat Flynn $153,000 Affiliate Commissions
8 Timothy Sykes Timothy Sykes $150,000 Affiliate Sales
9 Tuts Plus Collis Ta’eed $120,000 Membership Area
10 Life Hacker Gina Trapani $110,000 Advertising Banners
11 Gothamist Jake Dobkin $110,000 Pay Per Click
12 Tuts Plus Collis Taeed $110,000 Membership Area
13 Venture Beat Matt Marshall $100,000 Pay Per Click
14 Slash Gear Ewdison Then $80,000 Pay Per Click
15 Car Advice Alborz Fallah $70,000 Advertising Banners
16 Life Hacker Nick Denton $60,000 Advertising Banners
17 Dooce Heather B. Armstrong $50,000 Pay Per Click
18 Steve Pavlina Steve Pavlina $45,000 Pay Per Click
19 Talking Point Memo Joshua Micah Marshall $45,000 Advertising Banners
20 Problogger Darren Rowse $40,000 Advertising Banners
21 Kotaku Nick Denton $32,000 Advertising Banners
22 Expert Photography Joshua Dunlop $30,000 Product Sales
23 Shoemoney Jeremy Schoemaker $30,000 Private Advertising
24 Coolest Gadgets Allan Carlton $30,000 Advertising Banners
25 1stWebDesigner Dainis Gr?veris $20,000 Product Sales
26 Joystiq AOL $18,000 CPM Advertising
27 PC Mech David Risley $16,000 Affiliate Sales
28 Abduzeedo Fabio Sasso $12,000 Advertising Banners
29 Sizlopedia Saad Hamid $11,000 Pay Per Click
30 Overhead in New York Michael Malice $9,000 Advertising Banner

เจาะลึก 4 วิธีหาเงินออนไลน์จากการทำบล็อก

1. Advertising ทำเงินออนไลน์จากการขายโฆษณา

เป็นวิธีหาเงินออนไลน์ และเป็นการสร้างรายได้จาก บล็อก ที่เก่าแก่ที่สุด การทำเงินออนไลน์จากการขายโฆษณาใช้หลักการเดียวกับธุรกิจสื่ออย่าง หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วิทยุ และโทรศัพท์ กล่าวคือสื่อเหล่านี้มี คอนเทนต์ และ มีผู้ติดตามจำนวนมาก ทางเจ้าของสินค้าจึงยินดีจ่ายเงินเพื่อแลกกับการนำสินค้ามาแสดงไว้ในพื้นที่สื่อ — บล็อก ก็เช่นกัน

เมื่อบล็อกเติบโตและมีคนอ่านจำนวนมาก เจ้าของสินค้าจึงเล็งเห็นเป็นช่องทางในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และยินดีจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อซื้อพื้นที่โฆษณาสินค้าบนบล็อก จากรายงานของ Statista พบว่ารายได้ในอุตสาหกรรมโฆษณาปี 2017 ในจำนวน 548,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีสัดส่วนของโฆษณาดิจิตัลสูงถึง 229,250 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือเป็นส่วนแบ่งที่สูงถึงกว่า 41% และมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นทุกปี

ทำเงินอย่างไร

คุณสามารถทำเงินจาก บล็อก ผ่านโมเดล Advertising ได้ 2 วิธีหลัก ได้แก่ Direct ad และ CPC ad network

Direct Ad

เป็นการดีลโฆษณากับ Advertiser หรือ ผู้ลงโฆษณา โดยตรง โดยมากจะเป็นการดีลผ่าน PR/Advertising agency ที่รับงานจากเจ้าของสินค้ามากระจายผ่านสื่ออีกทีหนึ่ง รูปแบบการลงโฆษณา

Advertorial content หรือ Sponsored content เป็นการจ้างเขียนบทความ หรือเขียนข่าวให้กับแบรนด์ลงในเว็บไซต์ และอาจแชร์ไปยังเครือข่ายโซเชียลเน็ตเวิร์คของเจ้าของ บล็อก — ราคา Advertorial content จะเริ่มต้นที่ 30,000 – 50,000 บาทต่อบทความ และหากคุณมี Traffic มากกว่าเดือนละ 500,000 Visitors ขึ้นไป คุณอาจขาย Advertorial ในราคาระหว่าง 70,000 – 100,000 บาทต่อบทความ

Banner เป็นการแปะป้ายโฆษณาของ Advertiser ลงในเว็บไซต์ และขอจ่ายค่าโฆษณาเป็นรายสัปดาห์ หรือรายเดือนแล้วแต่จะตกลง โดยจะมีราคาเริ่มต้นที่เดือนละ 50,000 บาทขึ้นไปต่อตำแหน่ง โดยเฉพาะบริเวณ Header ของเว็บไซต์ที่มีอัตราการ Click สูงสุด อาจขาย Banner ในราคามากกว่า 100,000 บาทต่อเดือนหากเว็บไซต์มี Traffic จำนวนมาก

CPC Ad Network

CPC ย่อมาจาก Cost per Click หรืออาจะเรียกว่า PPC หรือ Pay per Click ก็ได้ เป็นโฆษณาแบบจ่ายเงินตามจำนวน Click ที่ป้ายแบนเนอร์ (บางครั้งอาจจ่ายตามจำนวนการมองเห็น หรือ Impression) โดยเจ้าของสินค้าผู้ลงโฆษณาต้องจ่ายแก่เจ้าของระบบ Ad และระบบ Ad จ่ายให้ เจ้าของบล็อกผู้นำป้ายโฆษณาเหล่านั้นมาโปรโมทในบล็อกของพวกเขา CPC Ad Network มีผู้ให้บริการหลายราย แต่รายที่นิยมมากที่สุดคือ Google AdSense 

Google AdSense โดยคร่าว

การเริ่มต้นทำ Google AdSense จะง่ายกว่า Direct ads เนื่องจาก บล็อก จะมีคนติดต่อเข้ามาทำ Direct ads ก็ต่อเมื่อบล็อกนั้นเติบโตมีทราฟฟิกจำนวนหลายแสน Visitors ต่เดือน และมีชื่อเสียมากในระดับหนึ่ง ระยะเวลาตรงนี้อาจใช้เวลา 6 – 12 เดือนขึ้นไป ส่วน Google AdSense สามารถเริ่มต้นได้เกือบจะทันทีที่คุณมี บล็อก และนำ บล็อก ไปสมัครผ่าน (การสมัครให้ผ่านต้องมีบทความจำนวนหนึ่ง เช่น 10-20 บทความ แต่ยังไม่จำเป็นต้องมีทราฟฟิกจำนวนมากก็มีโอกาสผ่าน)

อย่างไรก็ดี การเริ่มต้นกับ Google AdSense ง่ายกว่า Agency ก็จริง แต่การจะทำเงินให้เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพนั้นไม่ง่าย เนื่องจาก Google AdSense อาจเริ่มต้นจ่ายเพียง Click ละ 0.10 เหรียญฯ โดยอัตราการ Click ที่ป้ายโฆษณาเฉลี่ยไม่ถึง 1%

ดังนั้น ต่อให้คุณมีทราฟฟิกเข้าบล็อกเดือนละ 1 ล้าน Visit คุณก็จะทำเงินจาก AdSense เพียง 30,000 – 40,000 บาทเท่านั้น เทียบกับการรับทำ Advertorial Content จาก Direct client เพียง 1 บทความคุณอาจได้เงินสูงถึง 40,000 – 70,000 บาททันที

อยากทำ Google AdSense ให้ได้เงินมากต้องทำอย่างไร

การทำ Google AdSense ให้ได้เงินแสนกับบล็อกไทยเป็นไปได้แต่ไม่ง่าย ในขณะที่คุณมีโอกาสสูงกว่าและคุ้มค่าการลงทุนมากกว่าหากทำบล็อกภาษาอังกฤษ เนื่องจากเป็นตลาดสากลที่รองรับผู้อ่านได้ทั่วโลก และมี Niche ที่จ่ายค่า Click ครั้งละจำนวนมาก ซึ่ง Niche เหล่านั้นหากนำมาทำเป็นบล็อกไทยอาจมีคนเข้าอ่านไม่มากพอที่จะทำเงิน และต่อไปนี้คือ Top 20 หัวข้อ และ คำค้นหา ที่มีค่า Click สูงที่สุด

* ข้อมูลโดย TechViral 

# KEY WORD/ NICHES UPDATE 2018 CPC in $
1 MESOTHELIOMA LAW FIRM 179.01
2 DONATE CAR TO CHARITY CALIFORNIA 130.25
3 DONATE CAR FOR TAX CREDIT 126.65
4 DONATE CARS IN MA 125.58
5 DONATE YOUR CAR SACRAMENTO 118.20
6 HOW TO DONATE A CAR IN CALIFORNIA 111.21
7 SELL ANNUITY PAYMENT 107.46
8 DONATE YOUR CAR FOR KIDS 106.01
9 ASBESTOS LAWYERS 105.84
10 STRUCTURED ANNUITY SETTLEMENT 100.80
11 ANNUITY SETTLEMENTS 100.72
12 CAR INSURANCE QUOTES COLORADO 100.93
13 NUNAVUT CULTURE 99.52
14 DAYTON FREIGHT LINES 99.39
15 HARDDRIVE DATA RECOVERY SERVICES 98.59
16 DONATE A CAR IN MARYLAND 98.91
17 MOTOR REPLACEMENTS 98.43
18 CHEAP DOMAIN REGISTRATION HOSTING 98.39
19 DONATING A CAR IN MARYLAND 98.20
20 DONATE CARS ILLINOIS 98.13
21 CRIMINAL DEFENSE ATTORNEYS FLORIDA 98.07
22 BEST CRIMINAL LAWYER IN ARIZONA 97.93
23 BETTER CONFERENCE CALLS 91.44
24 CAR INSURANCE QUOTES UTAH 97.92
25 LIFE INSURANCE CO LINCOLN 97.07
26 HOLLAND MICHIGAN COLLEGE 95.74
27 ONLINE MOTOR INSURANCE QUOTES 95.73
28 ONLINE COLLEDGES 95.65
29 PAPERPORT PROMOTIONAL CODE 95.13
30 ONLINECLASSES 95.06
31 WORLD TRADE CENTER FOOTAGE 95.02
32 MASSAGE SCHOOL DALLAS TEXAS 94.90
33 PSYCHIC FOR FREE 94.61
34 DONATE OLD CARS TO CHARITY 94.55
35 LOW CREDIT LINE CREDIT CARDS 94.49
36 DALLAS MESOTHELIOMA ATTORNEYS 94.33
37 CAR INSURANCE QUOTES MN 94.29
38 DONATE YOUR CAR FOR MONEY 94.01
39 CHEAP AUTO INSURANCE IN VA 93.84
40 MET AUTO 93.70
41 FORENSICS ONLINE COURSE 93.51
42 HOME PHONE INTERNET BUNDLE 93.32
43 DONATING USED CARS TO CHARITY 93.17
44 PHD IN COUNSELING EDUCATION 92.99
45 NEUSON 92.89
46 CAR INSURANCE QUOTES PA 92.88
47 ROYALTY FREE IMAGES STOCK 92.76
48 CAR INSURANCE IN SOUTH DAKOTA 92.72
49 EMAIL BULK SERVICE 92.55
50 WEBEX COSTS 92.38
51 CHEAP CAR INSURANCE FOR LADIES 92.23
52 CHEAP CAR INSURANCE IN VIRGINIA 92.03
53 REGISTER FREE DOMAINS 92.03
54 BETTER CONFERENCING CALLS 91.44
55 FUTURISTIC ARCHITECTURE 91.44
56 MORTGAGE ADVISER 91.29
57 CAR DONATE 88.26
58 VIRTUAL DATA ROOMS 83.18
59 AUTOMOBILE ACCIDENT ATTORNEY 76.57
60 AUTO ACCIDENT ATTORNEY 75.64
61 CAR ACCIDENT LAWYERS 75.17
62 DATA RECOVERY RAID 73.22
63 MOTOR INSURANCE QUOTES 68.61
64 PERSONAL INJURY LAWYER 66.53
65 CAR INSURANCE QUOTES 61.03
66 ASBESTOS LUNG CANCER 60.96
67 INJURY LAWYERS 60.79
68 PERSONAL INJURY LAW FIRM 60.56
69 ONLINE CRIMINAL JUSTICE DEGREE 60.40
70 CAR INSURANCE COMPANIES 58.60
71 BUSINESS VOIP SOLUTIONS 51.90
72 ONLINE STOCK TRADING 35.00
73 HEALTH RECORDS 40.00
74 AUTO MOBILE SHIPPING QUOTE 50.00
75 AUTO MOBILE INSURANCE QUOTE 59.00

 

2. Affiliate marketing ทำเงินออนไลน์จากการเป็นนายหน้า

Affiliate marketing ทำเงินจากการนำ สินค้า และ บริการ ของเจ้าของแบรนด์นั้น ๆ มาประชาสัมพันธ์ ใช้พื้นที่และชื่อเสียงของบล็อกในการเขียนบทความในรูปแบบใดแบบหนึ่ง ได้แก่

  • เขียนวิเคราะห์และรีวิวผลิตภัณฑ์
  • เขียนวิธีใช้งานและให้ความรู้ผลิตภัณฑ์
  • เขียนโฆษณาประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์

จากนั้นแปะลิงค์ไปยังหน้า Sales page ของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ซึ่งลิงค์ที่ส่งออกไปจะมี Affiliate ID ของเจ้าของบล็อกอยู่ด้วย หากมีการสั่งซื้อสำเร็จ (และไม่มีการยกเลิกสินค้าภายในระยะเวลาที่กำหนด) เจ้าของบล็อกจะได้ส่วนแบ่งจากยอดขาย โดยมีค่านายหน้าระหว่าง 5% ไปจนถึง 50% และ 70% ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้าและนโยบายเจ้าของสินค้า ซึ่งโดยมาก สินค้าที่เป็น Digital products เช่น ซอฟต์แวร์ต่าง ๆ จะมีค่านายหน้ามากกว่า 30% ขึ้นไป

ตัวอย่าง 3 บล็อกไทย ทำเงินจาก Affiliate Marketing

1. Promotions.co.th : เว็บข่าวโปรโมชั่นสินค้า บัตรเครดิต ที่พัก ท่องเที่ยว

 

2. Dealcha.com : เว็บโปรโมชั่นคูปองส่วนลดและโปรแกรมแคชแบ็ก


3. Priceza.com : บทความเปรียบเทียบราคาสินค้า

 

ตัวอย่าง 3 บล็อกต่างประเทศ ทำเงินจาก Affiliate Marketing

1.This is Why I’m Broke

เป็นเว็บไซต์นายหน้าขายสินค้าร่วมกับ Amazon.com เน้นการเขียน Copy Writing สั้น ๆ แต่น่า Click เพื่อให้คนคลิ๊กไปยังหน้าขายสินค้าของ Amazon, มีผู้เยี่ยมชมประมาณ 4 ล้าน++ Visitors ต่อเดือน และมีรายได้จากค่านายหน้าประมาณ 70,000 เหรียญ+ ต่อเดือน

2. Skyscanner

เป็นเว็บไซต์นายหน้าขายจองตัวเครื่องบิน และโรงแรม มีผู้เยี่ยมชมประมาณ 20 ล้าน+ Visitors ต่อเดือน และมีรายได้จากค่านายหน้าประมาณ 10-15 ล้านเหรียญ+ ต่อเดือน

 

3. Wire Cutter

เป็นเว็บไซต์นายหน้าขายสินค้าร่วมกับ Amazon.com เน้นการเขียนรีวิวสินค้าแบบละเอียดเจาะลึก โดยทีมงานมีการทดลองใช้สินค้าจริง มีผู้เยี่ยมชมประมาณ 10 ล้าน+ Visitors ต่อเดือน และมีรายได้จากค่านายหน้าประมาณ 10-15 ล้านเหรียญ+ ต่อเดือน

ข้อดีของ Affiliate marketing

ได้เงินต่อหน่วยเยอะกว่า Google AdSense และกำหนดแผนรายได้ได้ดีกว่า Direct ads เพราะ Affiliate marketing เป็นการขายสินค้าที่มีคนรอซื้ออยู่แล้ว หน้าที่ของเจ้าของบล็อกคือทำให้ผู้ซื้อเจอสินค้าบนบล็อกของคุณก่อน ซึ่งสามารถทำได้ผ่าน Search engine optimization เป็นการทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับบน Google และ Search engine marketing (ซื้อ Google Ad)

อุปสรรคของ Affiliate marketing

คุณต้องมีความสามารถในการผลิตคอนเทนต์ที่ละเอียดลึกซึ้งกว่าการทำบล็อกเพื่อขายโฆษณา และใช้เวลานานหลายเดือนกว่าที่จะเริ่มทำเงินเม็ดแรก และอาจจะใช้เวลาประมาณ 1 ปีขึ้นไปกว่าที่จะเลี้ยงชีพอย่างจริงจังจากโมเดล Affiliate marketing (โมเดลโฆษณาก็เช่นกัน)

อย่างไรก็ดีทั้งหากคุณประสบความสำเร็จไม่ว่าจะด้วยโมเดล Affiliate marketing หรือ Advertising หรือทั้งสองโมเดลบนบล็อกเดียวกัน บล็อกของคุณจะทำเงินจาก Passive income เกือบ 100%

สำหรับตลาดไทย คุณสามารถสมัครเป็น Affiliate partner กับ Lazada และ Access Trade

3. Dropshipping ทำเงินออนไลน์จากการขายตัวแทนขายสินค้า

Affiliate เป็นนายหน้าขายสินค้า ส่วน Dropshipping เป็นตัวแทนขายสินค้า สองโมเดลนี้ต่างกันอย่างไร? — ความแตกต่างหลัก ๆ คือ Affiliate จัดอยู่ในกลุ่ม ประชาสัมพันธ์ แต่เปลี่ยนจากรับเงินจากค่าประชาสัมพันธ์ไปเป็นรับส่วนแบ่งจากยอดขาย โดยเจ้าของบล็อกจะต้องส่ง Visitors ไปปิดการขายบนหน้าเว็บไซต์ของเจ้าของสินค้า

ส่วน Dropshipping เป็นการที่เจ้าของบล็อกสร้างหน้า E-Commerce store ขึ้นบนบล็อกของตนเอง ทำการตลาดออนไลน์ ทำระบบขาย และระบบชำระเงิน ปิดการขายทั้งหมดบนพื้นที่ตัวเอง แต่ส่งออเดอร์ไปให้เจ้าของสินค้าเพื่อทำการจัดส่งไปให้ลูกค้า โดยเจ้าของบล็อกมีกำไรจากส่วนต่างระหว่าง ราคาปลีกที่แสดงบนบล็อก และ ราคาส่งที่ตกลงกับเจ้าของสินค้า

ข้อดีของ Dropshipping

คุณไม่ต้อง ผลิต, สต็อก และไม่ต้องจัดส่งสินค้าเองเหมือนการทำ E-Commerce ปกติ หลักการทำงานคล้าย Affiliate marketing แต่ได้กำไรสูงกว่า กล่าวคือ การทำ Affiliate สินค้าที่เป็น Physical products มีค่านายหน้าระหว่าง 5 – 10% ต่อหน่วย แต่หากทำเป็น Dropshipping คุณจะได้กำไรประมาณ 15 – 25% ต่อหน่วย

อุปสรรคของ Dropshipping

คุณต้องเรียนรู้การใช้ซอฟต์แวร์ต่าง ๆ เสมือนการทำเว็บไซต์ E-Commerce เต็มรูปแบบซึ่งจะมีความซับซ้อนกว่าการทำ บล็อก และเขียนบทความประชาสัมพันธ์สินค้าแบบ Affiliate marketing และส่งไปปิดการขายที่หน้าระบบของเจ้าของสินค้า หากคุณใช้ WordPress ในการทำบล็อก โปรแกรมทำระบบ E-Commerce บนบล็อกได้แก่ WooCommerce

นอกจากนั้นยังมีผู้ให้บริการซอฟต์แวร์นำเข้าข้อมูลสินค้าจำนวนมากเข้าสู่ระบบ WordPress ซึ่งซอฟต์แวร์ตัวนี้ทำงานร่วมกับ AliExpress เพื่อช่วยให้คุณนำเข้ารายการสินค้าจาก AliExpress มาไว้บน บล็อก ที่ทำด้วย WordPress ของคุณภายในไม่กี่วินาที โปรแกรมดังกล่าวชื่อ WooDropship

แต่หากคุณไม่ต้องการสร้างระบบเอง คุณสามารถใช้บริการ E-Commerce platform โดยเฉพาะซึ่งมีผู้ให้บริการหลายราย รายที่นิยมที่สุด ได้แก่ Shopify และ BigCommerce

รายชื่อผู้ให้บริการ Dropshipping ในต่างประเทศ

* ข้อมูลโดย BigCommerce

# ชื่อ Dropshipper ค่าสมัครสมาชิก
1 AliExpress Free Sign Up
2 Salehoo $67/Year
3 Doba $29/Month
4 Wholesale2B $24.99/Month
5 WorldwideBrands $249 (One-Time Fee)
6 Wholesale Central Free Sign-Up
7 Dropship Direct Free Sign-Up
8 Sunrise Wholesale $99/Year
9 MegaGoods $14.99/Month
10 InventorySource $50/Month
11 National Dropshippers $19.99/Month or $89.88/Year
12 Dropshipper.com $69/Month
13 League License $39.95/Month

4. E-Learning ทำเงินออนไลน์จากการขาย หลักสูตรเรียนออนไลน์

วิธีนี้เป็นวิธีเดียวที่คุณต้องเป็นเจ้าของสินค้าเอง แต่ไม่ต้องสต็อกสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้นเพราะอยู่ในรูปแบบดิจิตัล โดยก่อนจะอธิบายเรื่อง E-Learning เราขอพาคุณไปรู้จัก Information Business:

Information business คือ ธุรกิจขายข้อมูลและความรู้ ผู้ประกอบอาชีพนี้เรียกว่า Infopreneur และสินค้าความรู้เรียกว่า Information products มี 7 รูปแบบ ได้แก่ หนังสือ, หนังสืออิเลคทรอนิกส์, ออดิโอบุ๊ค (CD/ Flash drive / Online), วีดีโอคอร์ส (DVD/ Flash drive/ Online), อบรม/ สัมมนา/ เทรนนิ่ง, โคชชิ้งส่วนตัว, ที่ปรึกษาส่วนตัว — ศึกษาเรื่อง Information Products ที่นี่

ทั้ง 7 รูปแบบนี้มีเพียงกลุ่ม หนังสือ, ออดิโอบุ๊ค และวิดีโอคอร์ส ที่จะช่วยให้คุณมีรายได้แบบ Passive income และมีเพียงวีดีโอคอร์สที่ทำกำไรสูงสุดในกลุ่ม Passive income model การทำวีดีโอคอร์สออนไลน์เรียกอย่างเป็นทางการว่า E-Learning

E-Learning ย่อมาจาก Electronic Learning สำนักงาน Research and Market ทำการวิจัยและพบว่าในปี 2010 อุตสหากรรมการศึกษาเฉพาะส่วนของ E-Learning มีมูลค่าตลาด 32,000 ล้านเหรียญ ต่อมาในปี 2015 กระโดดขึ้นมาที่ 107,000 ล้านเหรียญ และคาดการณ์ว่าภายในปี 2025 จะโตไปแตะ 325,000 ล้านเหรียญ หรือประมาณกว่า 11 ล้านล้านบาท — ศึกษาเรื่อง E-Learning ที่นี่

ทำเงินอย่างไร

คุณสามารถทำเงินจาก E-Learning โดยการบันทึกความรู้ของคุณออกมาในรูปแบบวีดีโอและนำไปขาย โดยในตลาดมีความรู้ 3 ประเภทที่ขายดีที่สุด ได้แก่

สอนสร้างรายได้:

ได้แก่ สอนประกอบอาชีพเฉพาะทาง (นักขาย, นักโปรแกรมเมอร์, นักกราฟิกดีไซน์), สอนวิธีสอบรับราชการ สอนวิธีสอบเป็นนักบิน สอนทำธุรกิจเฉพาะสาขา, สอนวิธีทำการตลาดออนไลน์, สอนการลงทุน เช่น เล่นหุ้น อสังหาฯ เทรดบิตคอยน์ เป็นต้น ฯลฯ

สอนสร้างสุขภาพ:

ได้แก่ สอนฟิตเนส สอนฟิดหุ่นสวยหรือกล้ามใหญ่ สอนวิธีลดน้ำหนักด้วยการโภชนาการที่ถูกต้อง สอนการดูแลรักษาร่างกาย สอนกายภาพบำบัดให้คนที่กำลังฟื้นฟูร่างกาย เป็นต้น ฯลฯ

สอนสร้างความสัมพันธ์:

ได้แก่ สอนจีบเพศตรงข้าม สอนหาคู่ สอนวิธีรักษาความสัมพันธ์ในคู่หรือในครอบครัว พ่อ แม่ ลูก สอนวิธีพัฒนาความสัมพันธ์ในสังคม และที่ทำงาน เป็นต้น ฯลฯ

นี่คือ 3 หัวข้อใหญ่ที่ขายได้อย่างแน่นอนโดยคุณมักสังเกตได้ด้วยเองอยู่แล้ว เช่น ตามแผงหนังสือชั้นนำมักมีหนังสือใน 3 หัวข้อนี้ติดอันดับ Best Seller อยู่เสมอ

ราคาคอร์สเรียนออนไลน์ที่ซื้อง่ายขายคล่องจะมีราคาเฉลี่ยระหว่าง 1,000 – 3,000 บาท แต่หากคุณมีแบรนดิ้งที่แข็งแกร่ง คุณอาจขายคอร์สออนไลน์ในราคามากกว่า 10,000 บาท

ช่องทางการขาย E-Learning 3 ช่องทาง

1. E-Learning Marketplace อาทิ SkillLane, CourseSquare, Talad Panya, TutorMe by Mono, Udemy เป็นต้น

ข้อดี: เริ่มต้นง่าย รวดเร็ว ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้น เจ้าของแพลทฟอร์มบริหารงานทั้งหมดแทนคุณ รวมไปถึงอาจถ่ายทำเนื้อหาให้ด้วย เช่น SkillLane

ข้อจำกัด: หักส่วนแบ่งจำนวนมาก ออกแบบหน้าเว็บไซต์เองไม่ได้ มีโอกาสถูกเปรียบเทียบกับคอร์สคู่แข่งในแพลทฟอร์มได้ง่าย

2. Hosted E-Learning Platform เป็นการเช่าแพลทฟอร์มด้าน E-Learning โดยเฉพาะ ได้แก่ Teachable, Thinkific, Podia เป็นต้น

ข้อดี: เริ่มต้นง่าย มีค่าใช้จ่ายเล็กน้อย ได้หน้าเว็บสวยงามในระดับหนึ่ง เจ้าของแพลทฟอร์มทำระบบสำเร็จรูปไว้ให้ คุณเข้าไปใช้งานด้วยเองได้เลย

ข้อจำกัด: ต้องเรียนรู้การใช้งานพอสมควร มีข้อจำกัดในการออกแบบหน้าเว็บไซต์

3. Create Own Website เป็นการสร้างเว็บไซต์ E-Learning ด้วยตนเองจากศูนย์ สามารถทำได้ด้วยโปรแกรม WordPress และนำ Plugin ที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ มาประกอบ

ข้อดี: ได้เว็บไซต์ E-Learning ในแบบที่คุณต้องการ มีอิสระในการออกแบบ และบริหารจัดการ 100% เป็นแบรนด์ของตัวเอง และเป็นสินทรัพย์ของคุณ 100%

ข้อจำกัด: ยุ่งยากและซับซ้อนมากถึงมากที่สุด ต้องลงเงินก้อนระหว่าง 30,000 – 40,000 บาทในการก่อตั้งครั้งแรก และเสียเวลากับการ Set up ระบบในช่วงแรกจำนวนมาก

หากคุณต้องการเริ่มต้นธุรกิจ E-Learning:

  • อ่านหลักคิดการทำ E-Learning จาก WordPress ที่นี่
  • จากนั้นดูขั้นตอนการเช่า Host และติดตั้งโปรแกรม WordPress ที่นี่ 

4 ขั้นตอนเริ่มต้นหาเงินออนไลน์จากบล็อก

ตอนนี้คุณรู้จัก 4 โมเดลหาเงินออนไลน์จากบล็อกแล้ว ต่อมาจะมาสรุปเป็น 4 ขั้นตอนเตรียมตัวเพื่อเริ่มทำงานจริง

1. เลือกแนวทางที่จะทำ

คำถามที่ถามบ่อย ‘แนวทางไหนรวยสุด’ คำตอบสั้น ๆ คือ รวยทุกโมเดล — แต่ขยายความคือ แต่ละโมเดลมีคนที่ทำแล้วประสบความสำเร็จสุด ๆ อยู่ทั้งสิ้น แต่คุณทำแล้วจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้นอีกเรื่อง คุณไม่สามารถเริ่มต้นทำทุกโมเดลพร้อมกันเพราะหวังว่าจะได้เงินเยอะ ๆ หลักความสำเร็จที่แท้จริงเกิดจากการเลือกแนวทางทำเงินที่ชัดเจนมา 1 แนวทางแล้วมุ่งทำอย่างเต็มที่ให้ถึงที่สุด

อย่างไรก็ดี แนวทาง Advertising และ Affiliate อาจทำใน บล็อกเดียวกันได้ ส่วน E-Commerce และ E-Learning โดยมากเป็นแนวทางแบบ Stand alone ที่มีกลยุทธ์การทำงานต่างกันสุดขั้ว และคุณอาจต้องเลือกทำเพียง 1 แนวทางระหว่าง E-Commerce หรือ E-Learning เพื่อเริ่มทำให้สำเร็จก่อนขยับขยายไปแนวอื่น ๆ

2. เริ่มทำใน Niche ที่ถนัด

เหตุผลในการเลือกทำ บล็อก ใน Niche ที่ถนัดเพราะคุณจะผลิตเนื้อหาได้เร็วกว่า หรือหากคุณต้อง Outsource นักเขียน คุณจะสามารถตรวจงานนักเขียนได้อย่างเต็มความเข้าใจว่านักเขียนเหล่านั้นผลิตเนื้อหาถูกหรือผิด

3. Niche นั้นต้องมีผลิตภัณฑ์ทำเงินรองรับ

หากสังเกตุในข้อ 2 เราไม่ได้แนะนำให้คุณทำใน ‘สิ่งที่รัก’ (Passion) เพราะสิ่งที่รักในโลกจริงอาจไม่สามารถทำเงินได้เลย เราแนะนำให้ทำในสิ่งที่ถนัดเพื่อ ประสิทธภาพ ในการทำคอนเทนต์ และต่อมาคือหัวข้อที่ถนัดนั้นต้องมีผลิตภัณฑ์ทำเงินรองรับ ยกตัวอย่างเช่น

ทำเงินจาก Direct Ad VS Google AdSense

ทำบล็อกเพื่อทำเงินจากโฆษณา คุณขายสินค้าแบบ Business-to-Business หรือ B2B ลูกค้าของคุณคือ ผู้ประกอบการ และกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่พวกเขานิยมนำมาลงตามเว็บไซต์และบล็อก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์การเงิน การลงทุน ไฟแนนซ์ อสังหาริมทรัพย์ และ ซอฟต์แวร์/แอปพลิเคชั่น ฉะนั้น หากคุณสร้างบล็อกเล่าเรื่องพันธ์ไม้ดอกไม้ประดับ จะไม่มี Direct ad มาลงกับคุณเลย

ส่วน Google AdSense กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีค่า Click สูงได้แก่ ประกันต่าง ๆ, การลงทุน, การลงทุนในฟอเร็กซ์, การหาเงินออนไลน์, บริการโฮสติ้ง เป็นต้น ฯลฯ และควรเป็นภาษาอังกฤษ

ทำเงินจาก Affiliate Marketing 

ถ้าคุณทำ Affiliate marketing คุณต้องทำบล็อกที่มีสินค้า Affiliate รองรับ ซึ่งสินค้าที่มี Affiliate รองรับจะอยู่ในกลุ่มเดียวกับสินค้าที่คนชอบลงโฆษณาใน Google AdSense เช่นกัน อาทิ บริการโฮสติ้ง, บริษัทประกัน, บริษัทโบรกเกอร์การลงทุน เป็นต้น ฯลฯ

4. ต้องมีเว็บไซต์

การทำธุรกิจออฟไลน์ต้องมีหน้าร้านและสำนักงาน การทำธุรกิจออนไลน์ก็ต้องมีเว็บไซต์เท่านั้น — ย้ำ คุณจะมี Facebook page มี Twitter มี Instagram ด้วยผู้ติดตามมากมายแค่ไหนก็ตาม คุณก็ต้องมีเว็บไซต์ เว็บไซต์คือสำนักงานใหญ่บนโลกออนไลน์ และควรเป็นจุดหมายปลายทางอันสูงสุดในการส่งคนจาก Social media ก็ดี จาก Google search ก็ดีกลับมายังเว็บไซต์ — อ่านเพิ่มเติม ทำไมต้องมีเว็บไซต์

เรียนรู้เพิ่มเติม

หากคุณต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมในระดับลึกเกี่ยวกับการสร้างบล็อกเป็นของตัวเอง คุณสามารถศึกษาเพิ่มได้ตามลิงค์ดังต่อไปนี้

  • วิธีสร้าง เว็บไซต์/บล็อก จาก WordPress อย่างละเอียด ที่นี่
  • ใช้โฮสต์ที่ไหนดี รีวิว 5 โฮสติ้งยอดนิยมในสหรัฐอเมริกา ที่นี่