Toys “R” Us Inc. กิจการขายของเล่นรายใหญ่ของสหรัฐอเมริการับศึกหลายทาง ตอนนี้กำลังต่อสู้กับคดียื่นฟ้องล้มละลายที่เริ่มตั้งแต่เมื่อเดือน กันยายน ปี 2017 ล่าสุดประสบกับความผิดหวังและแรงกดดันจากเจ้าหนี้และนักลงทุนกับรายได้ไตรมาส 3 ปี ค.ศ. 2017 ลดลง 7.5% แถมขาดทุน
Toys “R” Us Inc. มียอดขาย ไตรมาสที่ 3 ปี ค.ศ. 2017 จำนวน 2,107 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 75,800 ล้านบาท เทียบกับ ไตรมาสเดียวกันของปี 2016 ที่ 2,278 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 7.5% ในขณะที่ผลการดำเนินงานสุทธิแล้ว ขาดทุนจำนวน 623 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนขาดทุน 156 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
Dave Brandon, CEO Toys “R” Us Inc. แถลงต่อสื่อว่า ยอดขายที่ลดลงมีผลมาจากการฉุดรั้งของกลุ่มสินค้าประเภท ของเล่นสำหรับวัยทารก และ ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการเรียนรู้สำหรับเด็ก
อย่างไรก็ตาม หากมองในภาพใหญ่ของตลาดจะพบว่าค้าปลีกคู่แข่งต่าง ๆ ก็ลงมาแข่งขันในตลาดของเล่นได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Walmart, Target รวมไปถึง Amazon โดยยอดขายเฉพาะช่องทาง ทางออนไลน์ กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้และของเล่นสำหรับเด็กในอเมริกาปี ค.ศ. 2016 โดยประมาณ ดังนี้:
T “R” Us 11,540 ยอดขาย เหรียญสหรัฐ ลดลง 2.2% เทียบกับ 2015
Amazon ยอดขาย 4,000 เหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 24% เทียบกับ 2015
ในขณะที่ตลาดของเล่นสหรัฐอเมริกาโตขึ้น 5% จากปี 2015
(Source: Slide Share)
ส่วนยอดขายผ่านช่องทาง E-Commerce — Amazon กินตลาดเป็นอันดับ 1 ตามมาด้วย Walmart ที่ 2 และ Toy “R” Us ที่ 3 ตามรูปภาพด้านล่าง
(Source: Business Insider)
ในขณะเดียวกัน ลูกหนี้ ของบริษัท Toys “R” Us Inc. ยังได้รับการอนุมัติจากศาลเมื่อช่วงเดือน ธันวาคม 2017 ให้สามารถเดินหน้าทำเรื่องตรวจสอบอย่างเต็มที่ถึงธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นก่อนจะมีการฟ้องล้มละลาย อาทิ การถ่ายโอนเงินระหว่างบริษัท การใช้สินทรัพย์บริษัทกู้ยืมเงิน ค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น และการชำระเงินให้แก่ผู้สนับสนุนทุนภาคเอกชน
ทั้งนี้ Toys “R” Us Inc. เคยได้รับการลงทุนจากภาคเอกชนอย่าง Bain Capital และ KKR & Co. และการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ Vornado Realty Trust ในข้อตกลงมูลค่า 6.6 พันล้านดอลลาร์ในปี ค.ศ. 2005